หน้ากากมยุเรศ บทที่ 16 : หน้ากากนกยูง (1)

หน้ากากมยุเรศ บทที่ 16 : หน้ากากนกยูง (1)

โดย : สิตา

Loading

หน้ากากมยุเรศ นวนิยายโรแมนติกดราม่า โดย สิตา ผู้ที่เคยได้รับรางวัลชนะเลิศในโครงการ อ่านเอาก้าวแรก ปี 2 ในนามปากกา “เยว่หวา” ที่ครั้งนี้ เธอขอพาทุกคนสู่การเฉือดเฉือนในวงการธุรกิจของครอบครัวบุหรงกาญจน์ ที่ต่างฝ่ายต่างสวมหน้ากากปิดบังเป้าหมายในใจ ผลลัพธ์จะเป็นอย่างที่คาดเดาหรือหักมุม อ่านออนไลน์กันได้ที่ anowl.co

มันเหมือนมีคนผลักเขาตกเหวอย่างไม่ทันตั้งตัว ตะเกียกตะกายกลับคว้าจับได้เพียงความว่างเปล่า กระแทกก้นเหวลึกสังเวยความโง่เง่าของตัวเอง เจคผวาเฮือก อ้าปากจะแก้ตัวแต่ลิ้นกลับชาดิกไม่ฟังคำสั่ง ปล่อยให้วิมลินสาธยายไปเรื่อยๆ ด้วยท่าทางสุขุมเย็นชาราวกำลังอ่านตำราให้ฟัง

“ฉันเองก็เคยเป็นนะ เวลามองคุณแล้วเผลอทับด้วยเงาพี่แคนหรือแม้กระทั่งเงาพ่อในตัวคุณ แต่ทุกครั้งจะรีบสลัดมันทิ้งเห็นแค่เรื่องไร้สาระ จนกระทั่งคุณพูดขึ้นมาเองว่าสามารถจับผิดพริมเพราะเธอชี้รูปแม่เป็นป้าผกา ฉันเลยเอะใจ เพราะปกติถ้าสงสัยพริมแค่จ้างนักสืบแอบหาประวัติเธอก็พอไม่ใช่หรือ แต่ถ้าลองกลับมาเทียบลำดับเวลาดู คุณขอโทรศัพท์ฉันตอนอยู่โรงพยาบาลเพื่อแอบเอาเบอร์นักสืบไปใช้ แล้วก็เก็บตัวอย่างดีเอ็นเอของพริมในวันเดียวกัน แต่ตอนนั้นคุณยังไม่ทันจ้างนักสืบ ยังไม่รู้ประวัติพริมเลยด้วยซ้ำ ทำไมข้ามขั้นตอนถึงขนาดนั้น แต่แล้วมันก็อธิบายได้ด้วยเหตุผลง่ายๆ คุณรู้มาตั้งแต่แรกว่าแม่ฉันต่างหากที่เป็นคนคบชู้”

เธอเคาะนิ้วลงบนซองจดหมาย “ตอนอยู่นิวซีแลนด์คุณถึงกล้าท้าให้ฉันไปตรวจดีเอ็นเอใช่ไหม เพราะผลมันเป็นได้แค่อย่างเดียว…เราไม่มีทางเป็นพี่น้องกัน” ขยำจดหมายจนยับคามือ “มันโคตรพิลึกเลยว่าไหม กับคุณที่ปฏิเสธเอาเป็นเอาตายไม่ขอกลับบุหรงกาญจน์ แต่สุดท้ายดันยอมจำนนตามคำขู่ฉัน คำขู่ที่ไม่ตั้งอยู่บนพื้นฐานความจริงเลยเพราะคุณไม่ใช่กังหัน ตรงกันข้ามคุณน่าจะเป็นฝ่ายข่มขู่ฉันด้วยเรื่องที่ฉันไม่ใช่ลูกพ่อเสียด้วยซ้ำจะได้ไม่ต้องกลับบุหรงกาญจน์ แต่คุณก็ไม่ทำ ยอมสวมรอยหลอกคนทั้งโลกเพื่อปกปิดความลับให้ฉัน…คนที่เพิ่งเจอกันครั้งแรกอย่างนั้นหรือ ไม่…คนแปลกหน้าที่ไหนจะทำถึงขนาดนั้น”

วิมลินโน้มเข้าไปใกล้สีหน้าแตกตื่นของเขา พอวางประกบจิกซอว์ได้สักคู่แล้วชิ้นต่อๆ ไปก็เลื่อนตามกันมาจนกลายเป็นคำตอบหนึ่ง “คุณเคยรู้จักฉันมาก่อนใช่ไหม คุณมองฉันตั้งแต่อดีตจนถึงตอนนี้ผ่านสายตาของพี่แคนในร่างเจคมาตลอด คนที่ตายตอนไฟไหม้ป่าคือกังหัน อัฐิบนหิ้งที่คุณคอยดูแลพร้อมป้าผกาก็เป็นของเขา คุณคือพี่แคนที่สวมรอยเป็นกังหันต่อหน้าฉันแล้วสวมรอยกลับเป็นตัวเองอีกที”

เจคลูบใบหน้าที่ขาวซีดราวกระดาษ หลงนึกว่าโกหกแนบเนียนแล้วเชียว กลับยังตบตาเธอไม่สำเร็จ “คุณเลยพิสูจน์ทฤษฎีด้วยการตรวจดีเอ็นเอผมสินะ”

หญิงสาวหวนนึกถึงตอนเจอกันที่นิวซีแลนด์คราวแรก เขาเฝ้าแต่ปฏิเสธครั้งแล้วครั้งเล่าว่าตัวเองไม่ใช่พี่ชายเธอ เหตุผลไม่ใช่เพราะเขาคือกังหัน แต่เพราะเธอไม่ใช่ลูกสาวของพ่อต่างหาก!

พอความจริงปรากฏต่อหน้า พฤติกรรมแปลกๆ ในช่วงก่อนของเจคก็มีคำอธิบายขึ้นทันที ตอนไหว้อัฐิพ่อกับแม่เจคถึงใช้เวลาไหว้นานกว่าเธอ นั่นเพราะเขามีเรื่องในใจต้องสารภาพกับพวกท่านมากมาย ตอนนั่งในศาลาท่าน้ำหลังไหว้อัฐิแม่ก็เช่นกัน เจคโน้มน้าวเธอให้เล่าเรื่องตอนผกาหนีออกจากบ้าน ก็เพื่อหลอกถามว่าเธอรู้ความจริงมากแค่ไหน แล้วยังมีช่วงเวลาที่คุยถึงวาดจันทร์ เจคมักหลบสายตาเธอหรือมีกิริยาแปลกๆ อยู่หลายครั้ง

วิมลินสบตาคนบนเตียงแน่วนิ่ง ผู้ชายที่เคยใกล้ชิดเธอมากกว่าใคร บัดนี้กลับดูไกลห่างเสียยิ่งกว่าคนแปลกหน้า

“คุณหลอกฉันทำไม เป็นคำถามที่คุณติดค้างฉันนะคะ”

ศีรษะเจคจมลึกกับหมอนโรงพยาบาล จึงยิ่งเห็นว่าหน้าเขาซีดเผือดแทบเป็นสีเดียวกับหมอนอยู่แล้ว “ใช่ ผมรู้ชาติกำเนิดคุณแต่แล้วยังไงล่ะ คุณไม่ใช่คนผิดอะไรเลย ถ้าผมบอกความจริงคุณจะสูญเสียทุกอย่างในพริบตา ผมทำอย่างนั้นกับน้องสาว…ทำอย่างนั้นกับอิงไม่ได้” เขากัดริมฝีปาก “ทุกอย่างมันก็ลงตัวอยู่แล้ว ผมเกลียดบุหรงกาญจน์ ไม่เคยอยากกลับมาที่นี่ ฉะนั้นให้ผมใช้ชีวิตของตัวเองส่วนคุณอยู่บุหรงกาญจน์ต่อไป จะเปลี่ยนแปลงมันเพื่อแลกกับความเจ็บปวดของคุณทำไม เลยพยายามไล่คุณกลับไปเรื่องจะได้จบๆ แต่คุณดันดึงดันจะตรวจดีเอ็นเอ ทำเอาผมเริ่มรู้ตัวคงปิดบังความจริงไม่ได้แล้วแต่ก็ไม่อยากบอกคุณในแบบนั้น เลยตั้งใจจะกลับมาหาพ่อ บอกความจริงเขาให้พ่อพูดกับคุณเอง”

วิมลินเอนหลังพิงพนัก ไหล่ลู่ตก “แล้วฉันก็แจ้งข่าวพ่อเสีย”

“ผมช็อก ทั้งข่าวพ่อกับเรื่องที่ความลับคุณตกมาอยู่ในความรับผิดชอบของผมคนเดียว ทุกอย่างมันโถมมาพร้อมกันไม่ทันตั้งตัว ผมต้องการเวลาคิด”

หญิงสาวยังจำได้ ดวงตาแห้งผากของชายหนุ่ม ท่าเดินลากขาราวกำลังแบกโลกไว้ทั้งใบนั่น

“แล้วผมค่อยปลงตก คุณไม่ใช่คนผิด ไม่ควรต้องมารับผลร้ายจากการกระทำในอดีตของพวกผู้ใหญ่ คุณอยู่บุหรงกาญจน์ต่อไปน่ะดีแล้ว”

“งั้นคุณล่ะคะ” วิมลินสวนกลับ “คุณเองก็ไม่เกี่ยว มิหนำซ้ำยังเป็นเหยื่อจากแผนการแม่เสียด้วยซ้ำ คุณยังจะช่วยลูกสาวของแม่ทำไมอีก”

“พ่อเคยบอกผมไว้นี่ ‘เป็นพี่ชายก็ต้องปกป้องน้อง’”

“แต่ฉันไม่ใช่น้องคุณ! คุณก็รู้ทั้งรู้!”

“นั่นสินะ” เขารำพึง “ผมเคยเป็นแค่ลูกคนเดียวของแม่มาตลอด จนเจอคุณ…ยัยเด็กที่น่ารักเหมือนตุ๊กตาฝรั่งคนนี้ ก็ยังนึกไม่ออกว่าการมีน้องสาวมันเป็นยังไง ไม่รู้ด้วยซ้ำความเอ็นดูที่มีให้มันคือความรู้สึกของพี่ชายต่อน้องไหม แต่ตลอดสองปีที่อยู่ด้วยกัน ผมเกลียดเวลาเห็นคุณเศร้า ชอบมองคุณยิ้มจนตามใจทุกอย่างเพราะอยากมองรอยยิ้มนั่นนานๆ ยืดอกภูมิใจทุกครั้งที่เวลามีปัญหาแล้วคุณวิ่งมาหาผมเป็นคนแรก ผมอยากปกป้องคุณนะอิง จะใช่พี่ชายหรือไม่ความรู้สึกนี้ก็ไม่เคยเปลี่ยน”

ภาพของเจคพร่าเลือนยามมองผ่านม่านน้ำตา วิมลินปาดทิ้งอย่างรวดเร็ว สูดหายใจลึกระงับอารมณ์แล้วเอ่ยขึ้น “คุณเล่าต่อเถอะค่ะ”

คำสารภาพด้วยใจจริงของเขาไม่ทำให้เธอใจอ่อนลงแม้สักนิด แววตาชายหนุ่มถูกความผิดหวังฉาบทับจนหม่นแสง “ผมเลยตัดสินใจสวมรอยเป็นกังหัน แบบนั้นถึงจะมีผลดีเอ็นเอ คุณก็ยังเป็นคนของบุหรงกาญจน์เหมือนเดิม ส่วนผมได้ตัดขาดความสัมพันธ์พวกเขาสมใจ”

“ฉันติดใจตรงนี้มากที่สุด ทำไมคุณสวมรอยเป็นกังหันได้ง่ายนัก ทุกอย่างดูสมเหตุสมผลไปหมดอย่างกับเตรียมไว้แล้ว”

เจคนิ่งเงียบ หลุบตาต่ำราวไม่อยากเผชิญหน้าความทรงจำซึ่งฝังแน่นในหัวใจ “ผมต้องรักษาแผลไฟไหม้เป็นเดือนๆ คนเยี่ยมมีแค่ลุงเชิดแฟนใหม่แม่ แกเองก็สูญเสียลูกชายจากไฟไหม้ป่าเหมือนกันแต่พยายามเข้มแข็ง คอยดูแลผมอย่างดี จนวันหนึ่งผมตื่นขึ้นแต่ยังไม่ยอมลืมตา หูแว่วได้ยินลุงเชิดร้องไห้อยู่ข้างเตียง แกคงนึกผมหลับอยู่กระมัง เลยกล้าร้องไห้ไปพึมพำไปว่าทำไมกังหันถึงตายแล้วผมรอด”

หญิงสาวขมวดคิ้ว “พูดจาโหดร้ายจัง”

“แกเสียลูกชายคนเดียวไปนะครับ กับผมยังไงก็เป็นแค่คนนอก” น้ำเสียงเขาเฉยเมยคล้ายเคยบอกตัวเองแบบนี้นับครั้งไม่ถ้วน “และบางครั้งเวลาปวดแผลทรมานทนไม่ไหว คิดถึงแม่แทบขาดใจ ผมเองก็แอบเห็นด้วยนะ ตายไปพร้อมกับแม่อาจสบายกว่าเยอะ จนมันเริ่มเป็นความฝังใจ ตอนนั้นผมพอจะพูดและอ่านภาษาอังกฤษได้แล้ว เพียงแต่วันๆ อยู่กับกังหันเลยไม่ค่อยได้พูดกับใคร เมื่อร่างกายเริ่มดีขึ้นผมเลยขอข้อมูลตอนเกิดเหตุมาดู จินตนาการว่าสมมุติถ้ากังหันยังอยู่แต่ผมตายจะเป็นยังไง”

จู่ๆ มือเย็นเฉียบของเขาก็ถูกความอบอุ่นเกาะกุมไว้ วิมลินคว้ามือเขาไปแนบแก้ม มองอย่างตัดพ้อ “ห้ามคิดอย่างนั้นค่ะ”

“แต่ตอนนั้นผมยังเด็กแล้วก็สับสน”

“จะตอนนี้ตอนไหนก็ห้ามคิดค่ะ…ฉันไม่ยอม”

เขายิ้ม ถ้าไม่เพราะร่างกายไม่เอื้ออำนายคงคว้าเธอมากอดแน่นๆ “ผมเล่าต่อนะ ทีนี้มีทนายจะช่วยฟ้องร้องเรียกค่าเสียหาย ผมถึงเพิ่งรู้ตัวเองกับพ่อจะได้เงินคนละก้อน มันเหมือนเติมเชื้อไฟให้จินตนาการแบบเด็กๆ เพราะถ้ากังหันรอดชีวิตพวกเขาสองพ่อลูกจะได้เงินน้อยลงนี่ ผมเองนอนโรง’บาลทั้งเหงาทั้งเบื่อ พอว่างก็เอาข้อมูลเกี่ยวกับตัวเองมานั่งอ่าน แต่งเรื่องไปเรื่อยถ้าตัวเองเป็นกังหันแต่สวมรอยเป็นแคนเพื่อเอาเงินค่าเสียหาย จะทำได้จริงๆ ไหม แล้วมันก็เข้ารูปเข้ารอยทีละนิด” ชายหนุ่มส่ายหัว “คงเป็นวิธีหลีกหนีความรู้สึกผิดในใจผมละมั้ง แต่ก็ช่วยให้ผ่านวันเวลามาได้”

หญิงสาวไม่เอ่ยอันใดสักคำ แต่มือที่กุมนิ้วเขาไว้กลับยิ่งบีบกระชับขึ้น

“หลังผมออกจากโรงพยาบาลทนายก็เข้ามาช่วยดูแลหลายอย่าง เพราะยังไงลุงเชิดกับผมก็ไม่มีความผูกพันตามกฎหมาย เลยเริ่มห่างจากลุงเชิดไปเรื่อยๆ จากนั้นหลายปีเขาก็แต่งงานใหม่ ด้วยอาชีพทำให้เขากับเมียมักอยู่ไม่ค่อยเป็นที่ วันหนึ่งผมว่างเลยมีจังหวะไปช่วยเขาจัดของย้ายบ้าน เจอโกศใส่กระดูกของกังหันถูกเก็บในกล่อง ลุงเชิดยังไม่มีเวลาเอาออกมาตั้งก็ต้องย้ายบ้านอีกแล้ว เขาบอกผมว่ากำลังหาทางทำพิธีลอยอังคารที่นี่แต่ก็ไม่มีเวลา ผมเลยตัดสินใจขอเอากลับมาเพราะยังไงก็ดูแลโกศใส่กระดูกของแม่อยู่ เพิ่มขึ้นมาคงไม่ต่างกันนัก”

พยาบาลเคาะประตูเพื่อขออนุญาตเปลี่ยนขวดน้ำเกลือที่กำลังจะหมด วิมลินจึงถอยห่างจากเตียงเพื่อให้พยาบาลทำงานสะดวก หลังพยาบาลออกไปค่อยกลับมานั่งที่เดิม

“คุณเสี่ยงมากนะคะที่โกหกหน้าตาย เพราะทางฉันอาจเอาเรื่องที่คุณสวมรอยเป็นพี่แคน และถ้าฉันเอะใจตามไปถามลุงเชิด ความคงแตกทันที”

“แต่ผมไม่คิดอย่างนั้น ทางบุหรงกาญจน์น่าจะไม่อยากทำให้เป็นคดีใหญ่โต เพราะกลัวเสียชื่อเสียงที่อดีตประธานบริษัททอดทิ้งลูกตัวเองมาตั้งหลายปี จะเอามันมาแลกเพื่อคืนความยุติธรรมให้สะใภ้ที่ถูกกล่าวหาว่าคบชู้กับเด็กไร้ความสำคัญคนหนึ่งทำไม อีกอย่างในช่วงแบ่งมรดกถ้าแคนตายไปซะพวกเขาน่าจะดีใจด้วยซ้ำ คงไม่มาวุ่นวายกับผมเรื่องคดีที่อาจหมดอายุความไปแล้วหรอก”

ข้อนี้เธอเถียงไม่ออก เขาก็เล่าต่อโดยไม่รอวิมลินร้องขอ

“ผมนึกว่าถ้าบอกตัวเองเป็นกังหันคุณคงจะยอมรามือแค่นั้น ที่ไหนได้คุณดันเสนอแผนสวมรอยเป็นแคนขึ้นมา ผมตกใจมาก ลังเลว่าจะบอกความจริงคุณดีหรือเดินหน้าต่อดี” เจคยกมือเกาคาง ยังอาลัยความอบอุ่นจากมือเธอที่เคยเกาะกุมไว้ “แต่แล้วผมก็ยอมตามเพราะคุณเล่นใช้สารพัดวิธี ทั้งข่มขู่เอาลุงเชิดมาอ้าง ทั้งไม่ยอมบอกเหตุผลที่ให้ผมสวมรอยผมจะได้อยากรู้จนยอมเป็นพวกเดียวกัน แต่สิ่งสำคัญที่สุดก็คงเพราะ…ผมคิดถึงคุณ”

วิมลินจ้องเขาด้วยแววตาวูบไหวจนชายหนุ่มเผลอยิ้มตอบ

“ไหนๆ แผนคุณก็จะจบในไม่กี่เดือน ผมหวังใช้เวลานั้นมาดูคุณใช้ชีวิตยังไง แค่อยากเห็นกับตาว่าคุณสบายดี จบเรื่องผมจะได้จากไปอย่างโล่งใจ” รอยยิ้มเขาคลายลงช้าๆ “แต่แล้วผมก็ได้รู้ คุณไม่เคยมีความสุขเลยที่บุหรงกาญจน์ มันทำให้ผมเปลี่ยนความคิด”

หญิงสาวกอดอก ปากเม้มตึงแทบเป็นเส้นตรง “ฉันอยู่ที่นี่ได้”

“อยู่ได้กับอยู่อย่างมีความสุขมันต่างกันนะครับ” เขาพยายามยันตัวลุกนั่งหลังตรง แผลปวดแปลบก็ไม่สนใจ “อิง…ความรู้สึกที่ผมมีให้คุณเป็นของจริงนะ ผมอยากพาคุณไปจากที่นี่ สนับสนุนคุณได้ใช้ชีวิตอย่างที่ต้องการ ให้โอกาสผมสักครั้งไม่ได้หรือ”

“ให้โอกาสคุณ หมายความว่ายังไง”

“ความลับของคุณกับความลับของผม ปล่อยให้มันเป็นความลับต่อไปเถอะ ยังไงผลสุดท้ายก็ไม่เปลี่ยนแปลงอะไร เพราะเราสองคนตั้งใจทิ้งทุกอย่างเพื่อไปจากบุหรงกาญจน์อยู่แล้ว ไม่มีใครเสียผลประโยชน์จากเรื่องนี้เลย”

วิมลินจ้องลึกเข้าไปในดวงตาเขา “ถ้าความไม่แตกขึ้นมา คุณตั้งใจจะปิดบังฉันเรื่องที่คุณเป็นพี่แคนไปตลอดชีวิตเลยใช่ไหม”

ลมหายใจเขาสะดุดวูบ “เพราะผมกลัวถ้าคุณรู้จะรับไม่ได้ แต่ตอนนี้เข้าใจแล้ว…ผมมันโง่จริงๆ”

เขาโน้มตัวมาข้างหน้า สองมือยันขอบเตียง แทบเหมือนกำลังคุกเข่าวิงวอน “ได้โปรดไปกับผมเถอะนะอิง ให้โอกาสผมได้ปกป้องคุณอีกครั้ง”

วิมลินลุกขึ้นยืนชิดเตียง ใช้สองมือประคองแก้มเขาแล้วแตะหน้าผากลง ใกล้จนเห็นความรักของเขาสะท้อนยังนัยน์ตาเธอเช่นกัน เป็นชั่วพริบตาที่เจคมั่นใจเหลือแสนว่าเธอต้องตอบรับคำอ้อนวอนของเขา จนกระทั่งวินาทีถัดมาเธอจึงพูดขึ้นเบาๆ

“เรื่องของเรา…ให้มันจบลงตรงนี้เถอะค่ะ”

ชายหนุ่มเบิกตาโพลง ส่วนเธอปล่อยมือแล้วถอยห่างจากเตียง แทบเป็นเวลาเดียวกับที่ภวัตเปิดประตูห้องเข้ามา สัญญาณอันตรายดังลั่นในหัวเจค ภวัตมาได้จังหวะจนเกินไป เกิดอะไรขึ้นกันแน่!

แล้วหนุ่มใส่แว่นก็ตอบคำถามในใจเขาด้วยการก้มลงหยิบโทรศัพท์มือถือจากพื้นใต้เตียงขึ้นมา หันหน้าจอให้เจคเห็นว่าโทรศัพท์ถูกเปิดใช้งานการสื่อสารอยู่ จากนั้นค่อยกดปิดสัญญาณ

“ก่อนออกจากห้องผมแอบวางโทรศัพท์ไว้ ปลายสายเป็นเครื่องของลุงเสริฐที่อยู่ในห้องพักผ่อนของญาติฝั่งตรงข้ามนี่เอง ทุกคนได้ยินที่พวกคุณคุยกันหมดแล้ว”

เจคสะบัดหน้าไปหาวิมลิน เพิ่งเข้าใจทุกอย่างในวินาทีนั้น เขาคิดไปเองว่าหญิงสาวยังซ่อนความลับไว้ นึกว่าเธอแอบเก็บตัวอย่างดีเอ็นเอจากประเสริฐกับปวินท์ไปตรวจสอบเงียบๆ แต่ที่จริงเธอบอกให้ญาติทุกคนรับรู้มาตั้งนานแล้ว!

“พวกเราขอโทษที่เล่นละครปิดบังคุณนะเจค” ภวัตเก็บโทรศัพท์ “แต่เราไม่เข้าใจคุณจะซ่อนตัวตนแท้จริงไปทำไม อิงก็ตอบคำถามนี้ให้ไม่ได้ เราถึงอยากฟังทุกอย่างจากปากคุณเอง”

หนุ่มใส่แว่นมองสีหน้าร้าวรานของญาติผู้พี่แล้วก็ส่ายหัวเบาๆ “อันที่จริงลุงเสริฐเขาอยากเข้ามาพร้อมผมตอนนี้แหละ แต่ผมห้ามไว้เพราะกลัวคุณจะเหนื่อยและเครียดเกินไป คุณไหวไหมเจค ให้พวกญาติเข้ามาพบได้ไหม ทุกคนสงสัยอยากถามคุณกันทั้งนั้น”

แต่คนเจ็บไม่สนใจภวัตเลย สายตาเขาจับจ้องยังวิมลินเพียงคนเดียว “คุณทำอย่างนี้ทำไม”

หญิงสาวถอยหลังไปจนถึงปลายเตียง “แม่ทำผิดไว้มากค่ะ ฉันในฐานะลูกมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบด้วยการบอกความจริงทุกคน เพื่อคืนความยุติธรรมให้ป้าผกา”

“แม่ผมเสียไปหลายปีแล้ว อีกอย่างแม่ก็เคยทำผิดไว้ ได้รับความยุติธรรมตอนนี้มันจะมีประโยชน์อะไร คุณต่างหากอิง…ถ้าความจริงเปิดเผยคุณจะเสียทุกอย่าง!”

“ก็แค่เสียสิ่งที่มันไม่เคยเป็นของฉันมาตั้งแต่ต้น เพื่อคืนให้คุณที่เป็นเจ้าของตัวจริงไงคะ” วิมลินหันไปทางหนุ่มใส่แว่น “อิงทำตามที่พวกคุณต้องการแล้ว โปรดอย่าลืมข้อตกลงของเรา”

“ไม่ต้องห่วง สำหรับที่ดินของมูลนิธิพี่จะดูแลไม่ให้ลุงเสริฐกับพี่ปริ้นเล่นตุกติกได้อีก ถ้ายังดื้อพี่จะฟ้องกรรมการบริษัท ส่วนเรื่องคดีที่ป้าผกาผลักคุณวิตกบันไดทางเราจะปิดไม่ให้คุณวิรู้ เพราะป้าผกาก็เสียไปแล้วเรื่องมันควรจบลงพร้อมเธอ”

เจคนั่งเบื้อใบ้ปานประหนึ่งรูปปั้นกับข้อต่อรองทั้งสองของวิมลินนั้น ข้อแรกเขาพอเดาได้อยู่ เพราะถ้าเธอบอกความจริงทั้งหมด ย่อมไม่อาจปิดบังจุดประสงค์ที่อยากจะใช้แผนสวมรอยขึ้นมา ในเมื่อวิมลินไม่ใช่คนของบุหรงกาญจน์แล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องถนอมน้ำใจพวกญาติๆ อีกต่อไป

แต่ข้อต่อรองลำดับสองต่างหากที่ทำเอาเขาตัวชา แม้ตอนที่เจ็บปวดที่สุด…หญิงสาวก็ยังมีแก่ใจนึกถึงแม่กับเขา วางแผนเพื่อรักษาชื่อเสียงผกาและป้องกันเทวิการับรู้แล้วกลับมาแก้แค้นเขาแทนแม่

วิมลินค้อมศีรษะเล็กน้อย หมุนตัวเตรียมเดินไปที่ประตู เจคผวาเฮือก ตะโกนลั่น

“อิง อย่าไป!” เมื่อเห็นมือที่จับลูกบิดประตูชะงักนิ่ง ชายหนุ่มก็รีบพูดระรัว “ผมขอโทษ ผมทำผิดเพราะอยากปกป้องคุณ ผมรักคุณ! อย่าเดินหนีผมไป”

“คุณนี่ไม่รู้อะไรเลยนะเจค” ภวัตทนไม่ไหวต้องกล่าวตำหนิ “คุณปิดบังความจริงกับอิง อ้างว่าทำไปเพราะรัก ถามหน่อยเถอะ…สิ่งที่คุณทำมันต่างจากที่น้าวาดและลุงศลทำกับอิงตรงไหน!”

หญิงสาวหมุนตัวกลับมา “พอเถอะค่ะพี่วัต”

แต่หนุ่มใส่แว่นไม่หยุด “อิงเจ็บปวดกับการกระทำของพ่อแม่มากแค่ไหน เธอก็รู้สึกกับคุณแบบนั้นเหมือนกัน เจอหน้าคุณทีไรเหมือนกระตุ้นให้คิดถึงความผิดพ่อแม่ซ้ำๆ คุณยังจะยื้อเธอไว้อีกหรือ”

ราวกับถูกรถพุ่งชนโครมใหญ่ เจคทิ้งตัวกระแทกเตียง หัวสมองมึนงงคล้ายมีพายุหมุนคว้างอยู่ในนั้น โกศลพยายามทำให้วิมลินเป็นแบบเขาโดยอ้างว่ารักเธอ วาดจันทร์ทำร้ายคนมากมายโดยอ้างว่ารักเธอ เขาเองก็โกหกเธอแล้วอ้างความรักเช่นกัน ทุกคนล้วนทำโดยไม่เคยถามหญิงสาวคำ…ว่าเธอยอมรับมันได้ไหม

“เจคคะ” น้ำเสียงเธอแปร่งปร่า “ฉันไม่โกรธเกลียดคุณเลย แต่จากทุกสิ่งทุกอย่าง…ความเชื่อใจที่เคยมีให้คุณถูกคว้านกลายเป็นหลุมลึก ฉันอ่อนแอเกินกว่าจะก้าวข้ามพ้น ถ้ายังฝืนต่างฝ่ายคงมีแต่เจ็บปวด…” คำพูดที่เหลือค้างยังริมฝีปากสั่นระริก ทำอย่างไรก็เปล่งเสียงอีกไม่ได้แล้ว ถึงกระนั้นชายบนเตียงกลับกระจ่างชัดยิ่งกว่าถ้อยคำใด

เธอผู้หลงทางจากการกระทำของบุพการีมาตลอด แล้วในวันซึ่งกำลังจะหลุดพ้นอยู่แล้ว กลับมาเจอความจริงที่เขาจงใจหลอกลวงไว้อีก…

เจคหลับตาลง ครั้นรวบรวมความกล้าลืมตามองวิมลินได้อีกครั้ง นัยน์ตาใสกระจ่างเหมือนลูกแก้วที่เขาเคยชอบหนักหนา บัดนี้ราวกับลูกแก้วร้าวละเอียดลงต่อหน้า แม้กระนั้นเธอก็ยังยืนหยัดอยู่คนเดียวเงียบๆ ไม่เคยคิดต่อว่าเขาสักคำ แต่เขากลับพยายามจะรั้งวิมลินไว้ด้วยความเห็นแก่ตัว

เพิ่งเข้าใจคำว่าอายแทบแทรกแผ่นดินหนีก็วันนี้…

“ผมคงทำได้แค่ปล่อยมือจากคุณสินะ”

น้ำเสียงแหบแห้งดุจคนใกล้ตายกลางทะเลทราย วิมลินเบือนหน้าหลบ หยาดน้ำตรงหางตาสะท้อนประกายวิบเดียวก่อนจางหาย แล้ววินาทีถัดมาเสียงปิดประตูก็ดังขึ้น ส่วนเจคยังคงจ้องบานประตูอยู่เช่นนั้น จ้องมองแม้ทราบจนสุดหัวใจ

…เธอจะไม่มีวันหวนกลับมาเปิดมันอีกแล้ว



Don`t copy text!