หน้ากากมยุเรศ บทที่ 16 : หน้ากากนกยูง (2)

หน้ากากมยุเรศ บทที่ 16 : หน้ากากนกยูง (2)

โดย : สิตา

Loading

หน้ากากมยุเรศ นวนิยายโรแมนติกดราม่า โดย สิตา ผู้ที่เคยได้รับรางวัลชนะเลิศในโครงการ อ่านเอาก้าวแรก ปี 2 ในนามปากกา “เยว่หวา” ที่ครั้งนี้ เธอขอพาทุกคนสู่การเฉือดเฉือนในวงการธุรกิจของครอบครัวบุหรงกาญจน์ ที่ต่างฝ่ายต่างสวมหน้ากากปิดบังเป้าหมายในใจ ผลลัพธ์จะเป็นอย่างที่คาดเดาหรือหักมุม อ่านออนไลน์กันได้ที่ anowl.co

วันนี้ท้องฟ้าเปิดโล่งไร้เมฆ อากาศสดใสจนถ้าไม่คำนึงถึงแดดยามสายก็เหมาะจะใช้ชีวิตกลางแจ้งดูสักพัก ในสนามของมูลนิธิเล่าจุงเอ็งจึงมีเด็กวิ่งเล่นกันหนาตาแต่กลับไม่อึกทึก ส่วนใหญ่ได้ยินแต่เสียงพี่เลี้ยงคอยเตือนให้ระวังหรือไม่ก็เรียกเด็กกลับมาใส่หมวก

วิมลินเดินเลาะขอบสนามคอยมองเด็กน้อยวิ่งเล่นด้วยแววตาสดใส ผงกศีรษะรับคำทักทายของเจ้าหน้าที่เป็นระยะ จนกระทั่งผ่านประตูส่วนต่อเชื่อมระหว่างมูลนิธิกับบริเวณบ้านของอาม่า รอบตัวค่อยกลับสู่ความสงบเงียบอีกครั้ง

นับแต่เกิดเรื่องที่พริมลักพาตัวเธอเวลาก็ล่วงผ่านเกือบเดือนแล้ว วิมลินถอดเฝือกและเริ่มทำกายภาพบำบัดซึ่งนับว่าลำบากพอสมควร แต่นั่นยังไม่ถึงหนึ่งในสิบของความยุ่งยากที่เธอต้องคอยสะสางตลอดระยะเวลานั้น

เนื่องจากวิมลินไม่ใช่ส่วนหนึ่งของบุหรงกาญจน์อีกต่อไป หญิงสาวใช้เวลาเก็บตัวทำใจราวสัปดาห์ก็เริ่มจัดการทรัพย์สินต่างๆ เพื่อคืนกลับให้ทางนั้น รวมถึงยื่นเรื่องลาออกจากทุกตำแหน่งในบริษัท ระหว่างกำลังวุ่นวายภวัตกลับเข้ามาปรามเธอไว้

“อิงอย่าเพิ่งรีบร้อน พวกเรากำลังประชุมในครอบครัวเพื่อหาทางออกกันอยู่ รอหน่อยไม่ได้หรือ” ครั้นเห็นผู้เป็นอดีตน้องสาวไม่ปริปาก หนุ่มใส่แว่นจึงถอนใจ “ตอนนี้ความเห็นแบ่งเป็นสองฝ่าย ส่วนใหญ่ยอมรับได้นะโดยเฉพาะคนที่เคยทำงานในบริษัทด้วยกันมา เรายังเห็นอิงเป็นญาติเหมือนเดิม มีแค่ส่วนน้อยที่ต้องค่อยๆ เกลี้ยกล่อมกันไป”

ยังมีอีกเรื่องที่ภวัตไม่กล้าบอกวิมลิน ญาติบางคนโกรธวาดจันทร์มาก รู้สึกไม่ยุติธรรมที่ต้นเหตุของปัญหาทั้งหมดสามารถใช้ชีวิตสุขสบายจนบั้นปลาย แต่ภวัตกลับมองอีกอย่าง ในเมื่อความจริงถูกเปิดโปง วิมลินผู้เป็นบุตรสาวหมดสิทธิ์รับมรดกของโกศลตามที่วาดจันทร์เคยวางแผน และยังผิดหวังต่อตัวมารดามาก ก็ถือเป็นการชดใช้ในระดับหนึ่งแล้ว

“พอเถอะค่ะ” วิมลินตอบด้วยเสียงนุ่มนวล “อิงสร้างปัญหามาเยอะถ้ายังยื้อต่อคงยิ่งรู้สึกผิด อยากให้ทุกอย่างจบด้วยดีแบบที่ทุกคนสบายใจ”

เมื่อเธอยืนกรานภวัตจึงไม่กล้าบังคับ ได้แต่ยื่นข้อเสนอ “งั้นพี่ก็มีเรื่องขอร้อง อิงช่วยไปดูแลทางมูลนิธิให้ก่อนได้ไหม เพราะพริมเป็นเสียอย่างนั้นส่วนสุขภาพอาม่าก็ไม่ดี ตอนนี้มูลนิธิขาดหัวเรือหลักถ้าทิ้งไว้นานคงแย่ อาจต้องปิดตัวก่อนเคลียร์ปัญหาที่ดินจบด้วยซ้ำ เราสมควรหาคนที่สามารถดูแลทั้งอาม่าและมูลนิธิไปได้พร้อมกัน พี่ไม่ต้องสาธยายอิงก็คงรู้เรามีตัวเลือกไม่มากนัก และอิงเหมาะสมที่สุด”

นับเป็นเรื่องใหญ่จริงๆ อีกทั้งภวัตยังเสริมว่าถ้าวิมลินต้องการออกจากบุหรงกาญจน์ ก็ควรจะทำแบบป้องกันชื่อเสียงบริษัทเสียหาย การอ้างเรื่องพริมแล้วย้ายวิมลินมาดูแลมูลนิธิ ถือเป็นวิธีการอันละมุนละม่อมที่จะค่อยๆ ปลีกตัวจากบริษัท หลังทุกอย่างเข้าที่เธอจะตัดสินใจอย่างไรต่อค่อยว่ากันอีกที ดังนั้นหญิงสาวจึงย้ายมาอยู่ในห้องเล็กๆ ที่ชั้นล่างของบ้านอาม่า แล้วเดินไปทำงานยังมูลนิธิทุกวัน

แม่บ้านร้องทักเมื่อเห็นเธอผ่านประตูเข้ามา “สวัสดีค่ะคุณอิง วันนี้กินข้าวเที่ยงที่นี่นะคะ เดี๋ยวจะเตรียมสำรับให้เลย”

“ช่วยเตรียมเผื่ออีกที่ด้วยนะ ฉันนัดคนไว้” พูดจบจึงยืนรอตรงประตูนั่นเอง ไม่นานภวัตก็ขับรถเข้ามาตามเวลานัด หญิงสาวออกไปรอรับเขาแล้วชวนเดินเล่นในสวนด้านนอก ซึ่งเป็นส่วนตัวกว่าภายในบ้านที่มักมีแม่บ้านคอยป้วนเปี้ยน “ขอโทษนะคะที่ต้องเชิญพี่มาที่นี่”

“อย่าเกรงใจเลย ชอบซะอีกได้เปลี่ยนบรรยากาศ อิงอยู่นี่สบายดีไหม”

หญิงสาวผงกศีรษะ ไม่ถามไถ่ถึงทางบริษัทหรือเรื่องราวในครอบครัวสักคำ นับแต่วิมลินย้ายที่อยู่ก็ทำตัวปลีกวิเวก เลิกสนใจทุกอย่างนอกจากมูลนิธิ ภวัตไม่มีทางเลือกจึงต้องเป็นฝ่ายเปรยขึ้นมาแทน

“รู้ไหม เจคพักฟื้นหลังผ่าตัดจนแข็งแรงดี เพิ่งบินกลับนิวซีแลนด์ไปนะ”

ฝีเท้าหญิงสาวชะงักลงเล็กน้อยก่อนเดินต่ออย่างมั่นคง “งั้นหรือคะ”

“พวกพี่พยายามพูดให้เขารับตำแหน่งประธานต่อจากลุงศล แต่เขาปฏิเสธลูกเดียวไม่เอาเลยจริงๆ ในการประชุมกรรมการบริษัทที่ถูกเลื่อนมา เราเลยสรุปกันให้ลุงเสริฐขึ้นเป็นประธาน”

“ก็เหมาะสมแล้วนี่คะ ยังไงลุงเสริฐถือหุ้นมากที่สุด”

“ใครบอก” ภวัตค้านขำๆ “เจคต่างหากที่รับหุ้นจากลุงศลมาทั้งหมดจึงเป็นคนถือหุ้นมากที่สุด เขาไม่ได้ยกหรือแบ่งหุ้นให้ใครเลยนะ”

คราวนี้วิมลินถึงกับหยุดฝีเท้าลง เลิกคิ้วสูง “อะไรนะคะ แต่เขากลับนิวซีแลนด์ไปแล้วถ้างั้นหุ้นจะทำยังไง”

“เขาทำเอกสารมอบอำนาจการบริหารหุ้นให้พี่ทั้งหมด และจะไม่ยุ่งเกี่ยวยกเว้นพี่ทำผิดจากที่ตกลงกันไว้” ภวัตดันแว่นขึ้นตามความเคยชิน “ตอนคุยกันพี่ก็ตกใจถามเขาทำไมเลือกพี่ เจคตอบว่าไงรู้ไหม เขาบอกต้องมีคนคอยคานอำนาจกับลุงเสริฐที่เป็นประธานไว้บ้าง อีกอย่างถ้าพี่กลายเป็นตัวแทนหุ้นส่วนใหญ่ การจะผลักดันเปลี่ยนแปลงการบริหารงานแบบกงสีไปสู่การจัดการธุรกิจครอบครัวแบบที่พี่เรียนรู้มา ก็คงไม่ยากจนเกินไป พี่ตกใจมากนะ ไม่รู้เขาไปแอบทราบมาจากไหนว่าพี่สนใจเรื่องพวกนี้ด้วย”

วิมลินเข้าใจความคิดของภวัต เขาเติบโตได้โดยมีทุกคนในครอบครัวช่วยประคองกันขึ้นมา เขารักทุกคน จึงรู้สึกแย่มากเวลาเห็นคนในครอบครัวขัดแย้งกัน ซึ่งสาเหตุของการทะเลาะหลายครั้งก็มาจากการบริหารงานแบบกงสีซึ่งไม่เข้ากับยุคสมัย และการแบ่งปันผลประโยชน์ที่ไร้หลักเกณฑ์แน่ชัด จึงสมควรเปลี่ยนแปลงสู่การจัดการธุรกิจครอบครัวรูปแบบใหม่เพื่อลดความขัดแย้ง

ส่วนเจคก็รอบคอบไม่เบา เขาหาคนมาคานอำนาจกับประเสริฐ ขณะเดียวกันก็คุมภวัตไว้แบบห่างๆ กันการเหลิงอำนาจจนออกนอกลู่นอกทาง ถ้าเป็นเจคสมัยเพิ่งมาแรกๆ คงคิดไม่ได้ขนาดนี้ ชายหนุ่มเปลี่ยนแปลงไปมาก

“อิงเห็นด้วยนะคะ เจคเขาเลือกคนได้ถูกกับงานแล้วละ” หญิงสาวเริ่มก้าวเท้าต่ออีกครั้ง “ส่วนอิงเองที่เชิญพี่วัตมาวันนี้เพราะมีเรื่องอยากขอร้องค่ะ พริมถูกดำเนินคดีอยู่อิงอยากหาทนายช่วยเธอ เลยต้องขอคำแนะนำจากพี่วัต”

“แต่เธอทำกับอิงไว้ตั้งขนาดนั้น ไม่โกรธเลยหรือ”

“ยังไงเธอก็เป็นพี่สาว ถึงที่เธอทำมันผิดแต่ใช่จะไม่มีเหตุผล แม่ของอิงเองก็มีส่วนรับผิดชอบ และสุดท้ายเธอยังพยายามจะช่วยอิงอยู่นะคะ” ถอนหายใจยาว “อิงเคยไปเยี่ยมที่คุกแต่เธอไม่ยอมให้พบ เลยได้แต่แอบถามไปเรื่อย ดูเหมือนทนายที่พริมจ้างไว้จะไม่ค่อยมีฝีมือ จนป่านนี้ก็ยังทำเรื่องประกันตัวไม่ได้ อิงเป็นห่วง พี่วัตช่วยหน่อยได้ไหมคะอิงขอร้อง”

หนุ่มใส่แว่นรับคำในคอ “นอกจากเรื่องทนายแล้วอิงมีอย่างอื่นอีกไหม”

“ถ้าเป็นไปได้ช่วยบอกทนายเขาหน่อยนะคะ ตอนพริมลักพาตัวอิงไปเราอยู่ใกล้ชิดกัน เลยสงสัยสภาพจิตใจเธอดูไม่ค่อยปกติ อิงอาจคิดไปเองแต่ถ้ามันใช่จริงๆ ก็รักษาและน่าจะนำมาเป็นข้อต่อสู้คดีได้”

“อยากพบเธอไหมล่ะ ทนายเขาคงจะช่วยได้นะ”

หญิงสาวนิ่งเงียบราวกำลังใคร่ครวญ “อย่าเพิ่งเลยค่ะ เธออาจอยากพบอิงถ้าเธอพร้อมกว่านี้” วิมลินหลุบเปลือกตาลง “สารภาพตรงๆ ถึงอิงจะไปเยี่ยมเธอที่คุก แต่ก็ไม่แน่ใจตัวเองพร้อมแล้วจริงๆ ไหม เลื่อนเวลาไปก่อนรอให้หัวใจแข็งแรงกว่านี้ก็ดีเหมือนกัน อนาคตอิงคงคุยกับเธอได้อย่างสบายใจขึ้น”

ภวัตเหลือบมองบ่าบอบบางของอีกฝ่าย ไม่รู้สามารถแบกรับทุกอย่างไว้ได้อย่างไร

“เรื่องทนายอิงไม่ต้องกังวลหรอกพี่จัดการให้หมดแล้ว ทนายที่พี่ติดต่อไว้เพิ่งทำหน้าที่แทนทนายเดิมของพริมเมื่อสัปดาห์ก่อน คนนี้เชี่ยวชาญด้านคดีอาญา นี่เบอร์เขาอิงโทรคุยได้นะ” ภวัตยื่นนามบัตรให้ พลางอธิบายต่อเมื่อเห็นท่าทางแตกตื่นของหญิงสาว “ตอนที่เจคจะมอบอำนาจในหุ้นให้พี่เขาทำข้อตกลงเอาไว้ หนึ่งในนั้นก็คือเรื่องพริมนี่แหละ เจคเขามั่นใจอิงต้องพยายามหาทางช่วยพี่สาว เลยขอให้พี่ช่วยดูแลแทนอิงด้วย พี่ถึงดำเนินการล่วงหน้าไปก่อนแล้ว”

จากนั้นหนุ่มใส่แว่นค่อยทำหน้ามุ่ย “พี่เคยด่าเจคไว้เยอะจะพูดออกมาก็กระดากปาก แต่พี่ว่าเจคเขาเข้าใจอิงจริงๆ นะ รู้หมดเราคิดอะไรอยู่”

วิมลินปิดปากเงียบ ไม่คิดจะบอกใครว่าบางคืน ก็เคยเผลอฝันถึงช่วงเวลาที่อิงแอบกับเจค เสียงหัวใจเขาซึ่งแนบชิดข้างหู สัมผัสอ่อนโยนราวกับเธอคือสิ่งล้ำค่า ช่างเป็นฝันดีจนแทบไม่อยากลืมตาตื่นมาเผชิญความเป็นจริง…ว่าข้างกายเธอไม่มีเขาอีกต่อไปแล้ว

“เจคสั่งไว้แค่นั้นเหรอคะ”

“ยังมีอีกนะ อย่างเรื่องทรัพย์สินของอิง เจคยืนยันกับทางครอบครัวว่าอิงทำงานให้บริษัทมานาน ถ้าต้องเลิกกันก็ควรมีค่าตอบแทนสมน้ำสมเนื้อ สรุปแล้วเงินและทรัพย์สินต่างๆ ที่ลุงศลเคยยกเป็นชื่ออิงไว้ก็ให้เป็นไปตามนั้น ทางเราจะไม่ขอคืน”

“ไม่ค่ะ” วิมลินค้านเสียงหลง “อิงไม่อยากรับ”

ภวัตหัวเราะลั่น “นั่นไงล่ะ เจคก็เดาไว้เหมือนกันอิงต้องปฏิเสธ เขาเลยฝากพี่ให้บอกว่าอิงทำหลายอย่างเพื่อครอบครัวมามาก ถ้าจะจากกันแบบไม่ติดค้างก็รับเงินก้อนนี้ไว้เถอะ เพราะบุหรงกาญจน์ไม่ต้องการได้ชื่อว่าเอาเปรียบใคร”

หญิงสาวส่ายหัว “พูดถึงขนาดนี้ ถ้าไม่รับไว้ก็เท่ากับหักหน้าบุหรงกาญจน์ใช่ไหมคะ”

ภวัตยิ้ม “เกือบลืม เงินห้าล้านที่พี่ปริ้นไถอิงมาพี่เรียกคืนให้หมดแล้วนะ อันนี้เจคเขาก็สั่งไว้”

หากไม่ใช่เพราะคิดถึงเจคทีไรหัวใจต้องปวดแปลบ วิมลินคงหลุดหัวเราะขำไปแล้ว

หญิงสาวชวนอดีตลูกพี่ลูกน้องกินข้าวกลางวันด้วยกัน หนุ่มใส่แว่นรับคำพลางเปรยขึ้นระหว่างเดินกลับบ้าน “พี่ประกาศเรื่องที่อิงลาออกเพื่อจะมาดูแลมูลนิธิเต็มตัวแล้วนะ ในบริษัทตกใจกันใหญ่แต่สักพักก็คงซา”

เธอฝืนยิ้ม “ถ้าเทวิกาทราบข่าวคงร้องไชโยแน่”

“อิงไม่รู้สินะ รายนั้นโดนที่บ้านเฉดหัวไปอยู่เมืองนอกตั้งนานแล้ว คงกำลังกระอักเลือดจนไม่มีเวลาสนใจข่าวเมืองไทยหรอก เจคจัดให้เสียหนักเลย” พลางเล่าถึงแผนการของเจคให้วิมลินที่กำลังทำหน้างงงวยฟัง พร้อมตบท้าย “จะว่าไปถ้าเจคคิดเอาจริงขึ้นมาก็คล้ายลุงศลอยู่นะ สมกับเป็นพ่อลูกกัน”

หลุดคำไปแล้วภวัตแทบอยากตบปากตัวเอง เหลือบมองใบหน้าเฉยเมยของอีกฝ่ายพลางเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “พี่ทำเรื่องลาออกให้ตามความต้องการอิงเรียบร้อย เราจะไปเก็บของพรุ่งนี้เลยก็ได้”

“ขอเป็นวันอาทิตย์ดีกว่าค่ะ วันหยุดจะได้ไม่ต้องเจอหน้าใคร ขี้เกียจตอบคำถาม”

ภวัตก้มหน้าจนคางแทบชิดอก พูดเสียงปร่า “ถึงพี่รู้คำตอบอยู่แล้วแต่ก็อยากถามอีกสักครั้ง อิงไม่เปลี่ยนใจแน่หรือ”

ความทรงจำไหลบ่าราวน้ำป่าเชี่ยวกราก แม้แต่เศษเสี้ยวไร้ความสำคัญก็ยังผุดขึ้นมาคล้ายไม่ต้องการให้เธอลืม ตัวตนของวิมลินอาจเป็นเรื่องโกหก แต่ความทรงจำเหล่านั้นล้วนเคยเกิดขึ้นจริงๆ หน้ากากนกยูงที่ถูกสวมบนใบหน้ามาเกือบตลอดชีวิตคงฝังแน่นเกินไป ยามถอดมันออกจึงทำได้แค่ใช้มีดคว้านเนื้อหลุดติดหน้ากากมาด้วย ไม่สิ…บางทีการถูกคว้านเนื้อจริงๆ ก็อาจไม่เจ็บปวดถึงขนาดนี้

วิมลินเงยหน้าขึ้น ท้องฟ้าวันนี้สดใสมากเหลือเกิน แดดแรงจนส่องให้ตาพร่าเลือนไปหมด ไม่ใช่เพราะน้ำตาที่เอ่อท้นขึ้นมาแต่อย่างใด

“ไว้สักวันอิงจะกลับไปเยี่ยมนะคะ…ในฐานะแขกธรรมดาๆ คนหนึ่ง”



Don`t copy text!