หน้ากากมยุเรศ บทที่ 4 : กุญแจดอกสุดท้าย (3)

หน้ากากมยุเรศ บทที่ 4 : กุญแจดอกสุดท้าย (3)

โดย : สิตา

Loading

หน้ากากมยุเรศ นวนิยายโรแมนติกดราม่า โดย สิตา ผู้ที่เคยได้รับรางวัลชนะเลิศในโครงการ อ่านเอาก้าวแรก ปี 2 ในนามปากกา “เยว่หวา” ที่ครั้งนี้ เธอขอพาทุกคนสู่การเฉือดเฉือนในวงการธุรกิจของครอบครัวบุหรงกาญจน์ ที่ต่างฝ่ายต่างสวมหน้ากากปิดบังเป้าหมายในใจ ผลลัพธ์จะเป็นอย่างที่คาดเดาหรือหักมุม อ่านออนไลน์กันได้ที่ anowl.co

ภายในห้องหนังสือที่โกศลเคยใช้คุยกับป้าโฉม ชายหนุ่มยังอยู่ในชุดเดิมกับเมื่อวานแต่เพิ่มรอยยับย่นและกลิ่นเหงื่อคลุ้ง กรอกเสียงใส่โทรศัพท์

‘ใช่ครับสารวัตร คนที่บุกรุกบ้านผมเมื่อคืนแล้ววิ่งหนีไปโดนรถชนตายชื่อดิเรกหรือครับ ผมอยากรู้ผลพิสูจน์กุญแจที่เจอในตัวเขา ครับ…ครับ’

เขาฟังปลายสายอธิบายยืดยาวก่อนวางหูในที่สุด หันมองป้าโฉมที่ยืนตัวสั่นหน้าโต๊ะหนังสือ ‘สารวัตรยืนยัน กุญแจที่เจอในตัวนายดิเรกใช้เปิดหลังบ้านเราได้จริงๆ’

หัวหน้าแม่บ้านส่ายหัวเอาเป็นเอาตาย ‘กุญแจหลังบ้านมีสามดอก ดอกแรกรวมกับพวงกุญแจสำรองเก็บในตู้เซฟคุณนายใหญ่ อีกดอกป้าถือไว้ ดอกสุดท้ายปกติคนสวนจะคอยเปิดปิดประตูหลังพอตกค่ำก็เอามาคืนป้าทุกวัน’ เธอชี้ยังกุญแจที่เหมือนกันทั้งสามดอกบนโต๊ะ ดอกที่เคยอยู่ในตู้นิรภัยก็เป็นโกศลไปเปิดเอามาเอง ‘อยู่นี่หมดแล้วค่ะป้ากล้าสาบาน’

ชายหนุ่มกระแทกตัวกับเก้าอี้ ยกมือนวดขมับ ‘ฉันไม่ได้จะโทษป้า กุญแจพวกนี้เรียกมาดูก็เพื่อยืนยันกับตาเท่านั้น กุญแจในตัวนายดิเรกใหม่กว่าสามดอกนี่มาก สารวัตรตามไปเจอร้านปั๊มกุญแจที่ทำให้คนคนนั้นด้วย เพิ่งครึ่งปีเองช่างเลยจำแม่นเพราะคนสั่งดูลุกลี้ลุกลนแปลกๆ ตอนนั้นช่างปั๊มจากกุญแจตัวจริงและทำไว้สองดอก’

‘มะ…หมายความยังไงคะ’

‘คงมีคนในบ้านแอบขโมยกุญแจฝากนายดิเรกไปปั๊ม หลังจากนั้นมีสองทางให้เราลองเดา นายดิเรกเก็บกุญแจไว้เองทั้งหมด หรือเอามาคืนคนในบ้านนั่นแหละดอกหนึ่ง แต่ทางแรกคงยากเพราะค้นบ้านนายดิเรกแล้ว เขาอยู่กับแม่ตาบอดและลูกสาวที่เจ็บออดๆ แอดๆ ตำรวจไม่เจอกุญแจที่ว่าเลย’

หัวหน้าแม่บ้านเบิกตาโพลง ต่อให้โง่กว่านี้ก็ยังเดาความนัยเจ้านายทะลุปรุโปร่ง ‘มีคนในบ้านแอบช่วยคนร้ายใช่ไหมคะ ใครกัน แล้วทำไปทำไม’

‘แม่นายดิเรกเล่าว่าลูกชายเคยมาสารภาพ เขาแอบคบกับคนในบ้านเรา ผู้หญิงคนนั้นเคยแวะไปหาด้วยซ้ำแต่แกไม่เห็นหน้าเพราะตาบอด แถมไม่เคยคุยเลยไม่รู้เป็นใคร น่าจะเพิ่งเกิดเรื่องไม่นานเพราะพวกนั้นย้ายมาแค่ปีเศษๆ’

ป้าโฉมยกมือทาบอก ‘บัดสีบัดเถลิง กล้าปั๊มกุญแจให้ผู้ชายแอบมาหาถึงนี่ อีกดอกตัวการนั่นแหละเก็บไว้เองเผื่อเป็นฝ่ายออกไปหาผู้ชาย เดี๋ยวเถอะ! ป้าโฉมจะลากนังตัวดีมาลงโทษ’ เธอกัดริมฝีปาก ‘คนตายมีลูกสาวด้วยใช่ไหม เธอเคยเห็นหน้านังตัวดีไหมคะ’

‘เด็กนั่นเพิ่งประถมเองนะแถมป่วยนอนแต่บนเตียง ตำรวจถามอะไรก็ไม่รู้เรื่อง’ พูดจบจึงโบกมือ ‘เรื่องนี้ป้าโฉมจัดการไปเถอะ เรียกคนในบ้านมาซักหาตัวการให้ได้ ผมมัวแต่วุ่นให้ปากคำตำรวจทั้งคืน จะขึ้นไปอาบน้ำแล้วค่อยเลยไปคุยกับวิเขาเสียที’

หัวหน้าแม่บ้านค่อยนึกออกว่าเมื่อวานยังมีปัญหาใหญ่นอกเหนือจากนายดิเรกนั่นอยู่อีกอย่าง และถ้าเปรียบเทียบในบางแง่อาจจะหนักหนากว่าด้วยซ้ำ

โกศลคลายเนกไทพลางปลดกระดุมคอเสื้อที่ยับยู่ ‘ทำไมเรื่องยุ่งดันประดังประเดมาตอนไม่มีใครอยู่บ้านสักคน ผมต้องวิ่งหัวปั่นคนเดียว’

‘จะให้รายงานใครไหมคะ’

‘บ่ายๆ ก็โทรหาพี่เสริฐเขาหน่อยแล้วกันทางนั้นคงเพิ่งเช้าพอดี ส่วนเตี่ยกับม่าม้าที่โรง’ บาลไม่ต้องบอกจะตกใจเสียเปล่า’ แม้อาม่าใหญ่จะสั่งให้ทุกคนพยายามอยู่กับบ้าน แต่ครอบครัวประเสริฐจองตั๋วเครื่องบินและเตรียมแผนการเดินทางไว้ตั้งนานแล้วจึงถือเป็นข้อยกเว้น

สองนายบ่าวก้าวเท้าไปคุยไปออกมาที่ระเบียงหน้าห้อง กลับเจอวาดจันทร์กำลังเดินอยู่แถวลานหน้าอาคาร โกศลส่งเสียงทักผู้เป็นภรรยา ‘วาด นี่เพิ่งหกโมงเช้ามาทำอะไรแถวนี้’

ครั้นหญิงสาวเงยหน้าตามเสียงเรียก ป้าโฉมพลันได้ยินเสียงสูดลมหายใจจากเจ้านาย

วาดจันทร์ดวงตาแห้งผากดำคล้ำด้วยอดนอน แก้มตอบซูบเล็กน้อย ทั้งไม่ได้แต่งหน้าจึงแลซีดเซียวแต่ไม่อาจบั่นทอนความงดงามลงเลย ตรงข้ามกลับขับเน้นความอ่อนแอให้ยิ่งเย้ายวนอย่างประหลาด

คราแรกป้าโฉมนึกว่าเธอตั้งใจดักรอคุณศลเพื่อเรียกคะแนนความสงสาร ทว่ามองปราดเดียวก็รู้วาดจันทร์ตกใจที่เจอพวกเธอจริงๆ ไม่ได้เสแสร้ง หญิงสาวก้าวถอยพลางหลุบเปลือกตาลง ‘วาดจะมารับอิงที่ห้องพี่ผกาค่ะ แต่ห้องปิดเงียบคงยังไม่ตื่นกันเลยมาเดินเล่นรอ’

‘ห้องผกาอยู่ฝั่งนู้นของตึก เดินเล่นไกลจังนะ’ โกศลเอ่ยขณะเดินลงจากบ้านไปหาเธอ

‘เผอิญเจอสาวใช้ที่จะไปจ่ายตลาดเล่าเรื่องคนบุกรุก วาดสงสัยเพราะได้ยินเสียงเอะอะตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว เลยเดินมาค่ะ’

‘ตำรวจเขาเฝ้าที่เกิดเหตุอยู่ ดูไม่ได้หรอก’

หญิงสาวส่ายหน้า ‘วาดจะมาหาคุณต่างหาก ตอนเขาบอกว่าคุณไล่จับคนด้วยวาดใจตกไปอยู่ตาตุ่ม…’

ป้าโฉมเดินหลบฉากอย่างรู้งานแต่ยังแอบชำเลืองมองครั้งสุดท้าย โกศลกำลังลูบหลังภรรยาคนที่สามเบาๆ ส่วนเธอก็แตะอกเขาพลางช้อนตามองออดอ้อน ฝ่ายชายโน้มหน้าลงมา เสียงกระซิบโต้ตอบอ้อยอิ่งยิ่งชวนให้ป้าโฉมรู้สึกเป็นส่วนเกินจนต้องเร่งฝีเท้าหนี

วาดจันทร์คงลอยตัวพ้นทุกปัญหาอีกตามเคย

หัวหน้าแม่บ้านนึกหมั่นไส้แต่ไม่ได้เกลียดชังอะไร อันที่จริงวาดจันทร์ก็นิสัยดีพอใช้ ไม่เคยวางอำนาจใส่คนงานในบ้าน สิ่งใดทำได้ก็ทำเองขอความช่วยเหลือเฉพาะเรื่องจำเป็น และยังมอบเงินหรือสิ่งของให้เสมอ ตรงข้ามกับเทวิกาผู้เกิดมาโดยคิดเพียงว่าโลกต้องหมุนรอบตัวเอง เธออาจไม่เคยทำตัวร้ายใส่พวกคนงานแต่ไม่ใช่เพราะความเมตตา ก็แค่รังเกียจจะเสวนากับพวกที่อยู่คนละระดับกันเท่านั้น คนงานต้องรับใช้เพราะมันเป็นหน้าที่ อย่าหวังรางวัลเล็กๆ น้อยๆ จากเทวิกา

คิดไปเดินไปก็มาถึงตัวบ้านอีกฝั่งหนึ่งแล้ว อาคารหลังนี้สร้างเป็นรูปตัวแอล โดยด้านยาวจะเป็นซีกทางหน้าบ้านซึ่งมีห้องหนังสือสุดทาง เมื่อก้าวตามระเบียงยาวมาจนถึงมุมหักศอกสู่ส่วนด้านสั้นของรูปตัวแอล อาคารบริเวณนี้ทั้งชั้นบนและล่างเป็นที่อยู่ครอบครัวโกศลทั้งหมด ชั้นบนตรงมุมหักศอกเป็นห้องเทวิกาถัดมาคือห้องโกศลกับห้องทำงาน สุดริมทางเป็นห้องวาดจันทร์ซึ่งอยู่ติดบันไดข้างตึก เดินลงบันไดมาจะเป็นห้องผกาพอดี ยามนี้ผกาเพิ่งออกจากห้องจึงเจอเข้ากับป้าโฉมตรงระเบียงทางเดิน

‘แม่ผกาตื่นเช้าเชียว’ ปกติผกามีหน้าที่คุมครัวแต่จะลงไปเฉพาะเวลาเริ่มทำอาหาร ไม่จำเป็นต้องตื่นเช้านัก ‘พวกเด็กๆ ล่ะ’

‘ยังหลับอยู่จ้ะ’ ผกาตอบเสียงเบา ‘ฉันว่าจะขึ้นไปห้องคุณวาดหาเสื้อให้อิงเปลี่ยนตอนเช้า ไม่รู้เธอเป็นยังไงบ้างด้วย’

หัวหน้าแม่บ้านแค่นยิ้ม ‘ห่วงอะไรกันเธออยู่กับคุณศลนู่น แต่แค่แป๊บเดียวแหละเพราะคุณศลต้องรีบไปเยี่ยมคุณวิต่อ’

ทันทีที่คำพูดหลุดจากปากแววตาคนฟังพลันขุ่นมัวราวฟ้าทะมึนก่อนฝนตก แม้เลือนหายในชั่วพริบตาทว่าป้าโฉมยังสะกิดใจแปลกๆ เธอไม่เคยเห็นผกามีปฏิกิริยาเช่นนี้มาก่อน พอลองย้อนคิดเลยเดาว่าช่วงหลังโกศลแทบไม่ค้างคืนห้องผกา จึงพยายามอธิบายเพื่อถนอมน้ำใจ

‘คุณวิแกเจอเคราะห์หนักเลยอารมณ์แปรปรวน คุณศลไม่มีเวลาสะสางที่คุณวิกับคุณวาดทะเลาะกันถึงต้องจัดการวันนี้ เพราะเมื่อคืนเกิดมีคนแอบเข้ามาทางประตูหลังบ้าน แม่ผการู้ไหม’

ผกาก้มหน้าไม่ยอมสบตา ‘นิดหน่อยค่ะเพราะมีคนเคาะประตูเล่าให้ฟัง แต่ไม่ได้คุยกันมากกลัวพวกเด็กๆ จะตื่น เห็นว่าตำรวจดูแลอยู่แล้ว’

‘นั่นแหละ สงสัยวันนี้คงวุ่นวายอีกหลายยกเราก็เตรียมตัวไว้เถอะ ส่วนเสื้อผ้าคุณอิงเดี๋ยวฉันสั่งเด็กที่ดูแลห้องคุณวาดเอาลงมาให้ แม่ผกาน่าจะพักผ่อนสักหน่อยช่วงนี้ดูใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเลยนะ วันก่อนทำมีดบาดนิ้ว เมื่อวานก็เกือบชนหม้อน้ำร้อนลวกตัวเอง อันตรายจะตาย’

‘ฉันแค่อยากต้มน้ำใบบัวบกให้ป้าโฉม เห็นช่วงนี้คุณความดันขึ้น’

คนฟังถอนใจเฮือก ‘สุขภาพฉันก็แบบนี้แหละสามวันดีสี่วันไข้ ขอบใจที่ยังเป็นห่วงแต่เธอคอยดูแลแค่คนรอบตัวก็พอ อย่างคุณแคนเดือนก่อนทั้งอาเจียนทั้งท้องเสียหนักขนาดต้องเข้าโรงพยาบาลเลยไม่ใช่หรือ อ้อ…ฉันนึกออกแล้วตอนนั้นเรื่องยุ่งๆ ก็ตามมาเป็นพรวนเหมือนกัน คนสวนบ่นว่าหมาที่เลี้ยงไว้เฝ้าบ้านโดนวางยาเบื่อด้วยนี่ ฉันละสงสารเจ้าขาวแต่ไม่กล้าไปดูซากเลยสั่งให้ฝังแถวหลังบ้านตรงที่มันเคยนอน…’

การพร่ำเพ้อตามความเคยชินหยุดสนิทเหมือนถูกตัด หัวหน้าแม่บ้านยืนตัวแข็ง สักพักจึงเริ่มพึมพำกับตัวเอง ‘จะว่าไปทำไมหมาดันโดนวางยาตอนนั้น หรือเป็นฝีมือไอ้คนบุกรุกนั่นทำไว้เพื่อจะได้ลอบเข้าบ้านสะดวกขึ้น ถ้างั้นแสดงว่ามันแอบมาหลายครั้งแล้วเหรอ’

ผกาหน้าซีด สองมือบิดไปมากระสับกระส่าย ‘ป้าโฉมพูดอะไร มันคงไม่เกี่ยวกันหรอก’

‘จะเกี่ยวไหมฉันก็ควรบอกคุณศลหรือตำรวจไว้ก่อนสิ’ เธอตอบแบบรำคาญ แต่เมื่อเห็นผกายกมือขยี้ตาซึ่งขอบดำคล้ำติดต่อกันมาหลายวันแล้ว ความรำคาญพลันเปลี่ยนเป็นสมเพช คะยั้นคะยอจนอีกฝ่ายกลับเข้าห้องโดยดี

ถ้าจะให้อธิบายความรู้สึกที่เธอมีต่อผกา มันคงเป็นความเอ็นดูกึ่งเวทนา



Don`t copy text!