หน้ากากมยุเรศ บทที่ 4 : กุญแจดอกสุดท้าย (4)

หน้ากากมยุเรศ บทที่ 4 : กุญแจดอกสุดท้าย (4)

โดย : สิตา

Loading

หน้ากากมยุเรศ นวนิยายโรแมนติกดราม่า โดย สิตา ผู้ที่เคยได้รับรางวัลชนะเลิศในโครงการ อ่านเอาก้าวแรก ปี 2 ในนามปากกา “เยว่หวา” ที่ครั้งนี้ เธอขอพาทุกคนสู่การเฉือดเฉือนในวงการธุรกิจของครอบครัวบุหรงกาญจน์ ที่ต่างฝ่ายต่างสวมหน้ากากปิดบังเป้าหมายในใจ ผลลัพธ์จะเป็นอย่างที่คาดเดาหรือหักมุม อ่านออนไลน์กันได้ที่ anowl.co

ยังจำภาพผกาวันแรกที่มาถึงบ้านหลังนี้ได้ดี หญิงวัยเพิ่งเริ่มสาวถือแค่ถุงพลาสติกยับๆ ใส่เสื้อผ้ากับของใช้ไม่กี่ชิ้นแต่นั่นคือทั้งหมดที่มี ยืนก้มหน้าหงอยๆ รอป้าโฉมอ่านจดหมายแนะนำตัว ผกาเป็นเด็กกำพร้า เพื่อนป้าโฉมที่บ้านนอกไกลปืนเที่ยงรับเลี้ยงก่อนส่งตัวมาเมื่อป้าโฉมกำลังหาลูกมือประจำครัวคนใหม่ หากผกาส่งเงินเดือนให้ทางนั้นจนครบสามปีก็ถือว่าทดแทนบุญคุณที่ช่วยดูแลแล้ว จนปีที่สี่ผกาเริ่มจะลืมตาอ้าปากได้…ก็ดันมาท้องกับโกศลเสียก่อน

ช่วงนั้นโกศลแต่งงานกับเทวิกาแล้ว ผู้เป็นภรรยาหลวงโกรธแทบคลั่งจะไล่ผกาออกจากบ้าน โกศลไม่ยอมแต่ถูกทางบ้านเดิมของเทวิกากดดัน เนื่องจากพวกเขาเป็นคู่ค้าสำคัญของบริษัทบุหรงกาญจน์ อาม่าใหญ่จึงไกล่เกลี่ยด้วยการหาบ้านให้ผกาไปอยู่ข้างนอก ก่อนจะถูกรับกลับมาภายหลัง

หญิงวัยกลางคนส่ายหน้า หยุดความคิดไว้แค่นั้นก่อนเริ่มงานของตัวเอง หลังมื้อเช้าเธอมายืนกำกับคนงานทำความสะอาดและตัดหญ้าลานหน้าอาคาร เงยมองชั้นสองเห็นโกศลกำลังเดินไปที่ห้องเทวิกา ครั้นลดสายตาลงมาก็พบวาดจันทร์กำลังจูงวิมลินลงจากบ้าน แต่หญิงสาวคล้ายเหม่อลอยจนเธอต้องผวาไปจับตัววิมลินไว้

“ระวังค่ะคุณอิง ตรงนั้นคนงานใช้กรรไกรตัดหญ้าอยู่เดี๋ยวโดนเข้า”

วาดจันทร์ค่อยรู้สึกตัว เมื่อนั้นพลันสะดุ้งรีบคว้าลูกสาวกอดแน่น “ตายแล้วเป็นอะไรไหมอิง ขอบคุณนะป้าโฉม”

หัวหน้าแม่บ้านขมวดคิ้ว ปกติวาดจันทร์รักบุตรสาวคนเดียวมาก ไม่เคยละเลยถึงขนาดนี้ ‘คุณวาดดูเหนื่อยๆ นะคะ เอนหลังสักนิดไหมป้าดูคุณอิงให้เอง’

วาดจันทร์ลูบหน้า เผลอตวัดสายตาไปทางห้องเทวิกา ‘วาดไม่เป็นไรค่ะ แค่…กังวลเรื่องคนบุกรุกเมื่อคืน พวกตำรวจสืบอะไรได้บ้างหรือยังคะ’

‘ไม่คืบหน้าเลยค่ะ’ ป้าโฉมแอบส่ายหัว ดูก็รู้วาดจันทร์กังวลที่โดนเทวิกาหาเรื่องเมื่อวานต่างหาก แค่เอาคดีคืนก่อนมาอ้างเท่านั้น แต่นึกว่าเธอสะสางความกับสามีเรียบร้อยแล้วยังมีอะไรคาใจอีกเล่า

วาดจันทร์พาวิมลินไปเล่นในสนาม ทั้งกอดจูบบุตรสาวด้วยความเคยชิน อีกด้านหนึ่งผกากำลังเดินไปส่งแคนในชุดนักเรียนที่ประตูบ้าน แม้เป็นช่วงปิดเทอมแต่แคนสอบตกหลายวิชาจึงต้องเรียนซ่อม โกศลไม่พอใจเรื่องนี้มากเคยเรียกผกาไปต่อว่าเป็นการส่วนตัว หญิงสาวกลับเอาแต่ก้มหน้าไม่แก้ตัวสักคำ

โรงเรียนอยู่ไม่ไกลแคนจึงเดินไปเองได้ ผกาส่งลูกชายเสร็จก็เดินกลับไปทางครัวซึ่งสร้างแยกไว้ใกล้ที่พักพวกคนรับใช้ในบ้าน ผกาเพิ่งคล้อยหลังไปไม่เท่าไรก็มีเสียงตะโกนดังจากห้องเทวิกา พวกคนงานแถวนั้นหน้าตื่น หัวหน้าแม่บ้านขมวดคิ้วเรียบเรียงความคิดเร็วรี่ ที่โกศลทะเลาะกับเทวิกานั้นเธอชินเสียแล้ว แต่กลัวพวกเขาเวลาอารมณ์รุนแรงจะเผลอหลุดปากเรื่องที่เทวิกามีลูกไม่ได้อีก มันค่อนข้างละเอียดอ่อนป้าโฉมยังไม่อยากให้เกิดข่าวลือในเวลาเช่นนี้ จึงตัดสินใจไล่พวกคนงานไปทำหน้าที่บริเวณอื่น ตัวเองก้าวไปหาวาดจันทร์ที่สวนพลางเสนอ

‘วันนี้น่าจะว่าง ลองพาคุณอิงไปเรียนเปียโนไหมคะ’

วาดจันทร์ค่อยละสายตาจากห้องเทวิกาบนชั้นสอง ‘เอ๋ แต่พอคุณวิแท้งคุณแม่อยากให้คนในบ้านเก็บตัวสงบเสงี่ยมพักสักเลยห้ามทุกคนออกจากบ้าน อิงถึงต้องงดเรียนเปียโนชั่วคราวนี่คะ ยอมให้แต่แคนไปเรียนซ่อมเท่านั้น’

หัวหน้าแม่บ้านฉีกยิ้มท่ามกลางเสียงทะเลาะซึ่งยังดังก้องทั่วบริเวณ ‘เดี๋ยวป้าขอคุณศลให้เองค่ะ ควรพาคุณอิงเปลี่ยนบรรยากาศสักนิด ป้าจะให้เด็กเก็บของตามคุณไป’

พูดแล้วพยักพเยิดไปทางวิมลิน วาดจันทร์มองตามพลันหน้าเสีย ลูกสาวเธอกำลังอุดหู ท่าทางตื่นกลัวกับเสียงตะโกนอันเต็มไปด้วยความอาฆาต จึงรีบผงกศีรษะให้ป้าโฉม อุ้มวิมลินเดินไปทางโรงจอดรถเพื่อเรียกคนขับพาไปโรงเรียนสอนเปียโน หัวหน้าแม่บ้านค่อยหายใจคล่องขึ้นเล็กน้อย

 

หลังจากวันนั้นเทวิกาก็ขอย้ายไปพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล ป้าโฉมพอเข้าใจเหตุผลเธอและแอบดีใจที่บ้านสงบได้เสียที ทว่าช่วงเวลาแห่งสันติสุขคงอยู่แค่สองวันโกศลกลับต้องโมโหอีกครั้ง

เมื่อเช้าประเสริฐที่ยังเที่ยวอยู่ต่างประเทศโทรศัพท์ไถ่ถามอาการเตี่ยที่โรงพยาบาล แล้วเผลอหลุดปากจนอาม่าใหญ่เพิ่งรู้เรื่องคดีคนบุกรุก จึงโทรมา ‘เฉ่ง’ โกศลยาวเหยียดโทษฐานปิดบังปัญหาใหญ่ ตบท้ายด้วยการสั่งให้รีบหาคนในบ้านที่แอบคบหานายดิเรกผู้ตาย ถ้าทำไม่ได้เธอจะกลับมาทำเอง!

‘ป้าโฉมยังไม่มีเบาะแสสักอย่างเรอะ’ ในห้องหนังสือแห่งเดิม โกศลหน้ามุ่ยซักไซ้หัวหน้าแม่บ้าน

‘ไล่ถามแทบทุกคนแล้วแต่ไม่มีใครระแคะระคายสักอย่างเลยค่ะ แปลกมาก’ ป้าโฉมก็หงุดหงิดไม่แพ้เจ้านาย คราแรกนึกว่าจะหมูเพราะเรื่องประเภทนี้กระตุ้นความสนใจคนง่าย ควรมีใครระแคะระคายกันบ้าง แต่กลับไร้ข้อมูลแม้กระทั่งข่าวลือเล็กๆ น้อยๆ ช่างเกินคาดหมาย

‘ทำไมวุ่นวายนักนะ ผมมัวแต่ยุ่งกับมันจนไม่เป็นอันทำงานแล้ว’ โกศลหัวเสียสุดขีด ‘เลิกใช้ไม้อ่อนเถอะ แล้วพาผู้หญิงในบ้านให้ผมสอบปากคำทีละคน ผมจะเค้นหาคนที่แอบให้กุญแจนายดิเรกนั่นเอง!’

หัวหน้าแม่บ้านเหลือบมองไปทางลิ้นชักโต๊ะทำงานในห้อง นับแต่เกิดเรื่องโกศลสั่งปิดตายประตูหลัง กุญแจทั้งสามดอกเก็บไว้ในลิ้นชักนั่นพร้อมล็อกกุญแจอีกชั้น โกศลเป็นคนรักษากุญแจเอง ส่วนที่ถูกปั๊มไว้ดอกแรกตำรวจเก็บเป็นหลักฐาน เหลืออีกดอกน่าจะอยู่ในมือผู้หญิงที่ลอบคบหากับดิเรก ถ้าเธอยังไม่เอาไปซ่อนหรือทำลายทิ้งเสียแล้วนะ

ถึงแม้โกศลจะลงมือสืบด้วยตัวเองก็ยังคว้าน้ำเหลว เกือบเที่ยงคืนเขาจึงยอมยุติการสอบปากคำไว้ชั่วคราว ขึ้นห้องพร้อมอารมณ์ที่เสียสุดๆ พวกผกาและวาดจันทร์ต่างเก็บตัวอยู่พร้อมลูก ป้าโฉมจึงเป็นคนดูแลโกศลเข้านอน และเหมือนตัวเธอเองจะเพิ่งหลับตาได้แป๊บเดียวตอนที่เด็กในบ้านมาปลุก ละล่ำละลักรายงานว่าผกาอยู่ในห้องนอนคุณศล ส่วนเจ้าของห้องกำลังอาละวาดอย่างหนัก!

หัวหน้าแม่บ้านตกใจ คว้าเสื้อคลุมตัวได้ก็วิ่งไปทางตึกหลัก เพิ่งเช้ามืดแท้ๆ แต่คนในบ้านส่วนใหญ่ต่างลุกมามุงดูเหตุการณ์ตรงลานหน้าตึกหรือไม่ก็หยุดแค่ตีนบันไดขึ้นชั้นสอง มีเพียงคนขับรถประจำตัวโกศลและคนงานผู้ชายสองสามคนที่ทำงานใกล้ชิดโกศลมาตลอด ทำใจกล้ามายืนแตกตื่นแถวระเบียงทางเดินหน้าห้องนอนเจ้านาย ป้าโฉมผลักพวกเขาพ้นทาง แทบกระโดดผ่านประตูที่เปิดอ้าเข้าไปในห้อง

ผกานั่งพับขาอยู่ข้างเตียงใหญ่กลางห้อง มือหนึ่งยันพื้นอีกมือกุมแก้มที่เริ่มบวมแดง มีบุตรชายกำลังคุกเข่ากอดแม่ตัวสั่น ส่วนโกศลยืนจังก้าค้ำหัวสองแม่ลูกอยู่ ป้าโฉมก้าวไปหาเขาแต่พอเห็นใบหน้าถมึงทึงก็ถึงกับสะดุ้ง

‘คะ…คุณศล เกิดอะไรขึ้นคะ’ เธอลองซักไซ้ฝูงชนตามรายทางมาบ้าง แต่ไม่มีใครรู้เรื่องสักคน

ผู้ถูกถามแค่นยิ้มทั้งที่ดวงตาวาวโรจน์ ‘ผกาเธอมาหาผม เอานี่มาให้’

เขายกแขนไปทางหัวหน้าแม่บ้าน ปล่อยมือที่กำของเอาไว้จนสิ่งนั้นหล่นกระทบพื้นดังกริ้ก ป้าโฉมตาเบิกโพลง

นั่นมัน…กุญแจประตูหลังบ้านดอกสุดท้ายที่ยังหากันไม่เจอ!

หัวหน้าแม่บ้านเย็นสันหลังวาบ วินาทีนั้นแคนก็ร้องขึ้น ‘พ่อตบแม่ทำไม!’

เด็กชายยังสวมชุดนอนตรงข้ามกับผู้เป็นมารดาที่สวมเสื้อคอบัวกระโปรงเอวสอบอย่างเรียบร้อย เห็นชัดว่าเขาคงสะดุ้งตื่นและวิ่งตามมาทีหลังเพราะเสียงทะเลาะของพ่อแม่

โกศลมองลูกชายด้วยแววตาเย็นชา ‘ใครก็ได้พาแคนออกไปก่อน’

แม้สงสารแต่ป้าโฉมก็เห็นด้วยที่จะกันแคนจากเหตุการณ์นี้ จึงเรียกคนงานชายที่ยังยืนลังเลหน้าห้อง ‘มัวบื้ออะไรอยู่! รีบพาคุณแคนไปสิ’

เด็กชายดิ้นรนไม่ยอมแต่ยากจะสู้แรงผู้ใหญ่หลายคน ป้าโฉมเดินกำกับไปจนถึงระเบียง ตอนนั้นพลันเหลือบเห็นวาดจันทร์ยื่นหน้ามาจากห้องตัวเอง แววตาประหวั่นตื่นกลัว กอดบุตรสาวที่ยังขยี้ตางัวเงียแนบแน่น หัวหน้าแม่บ้านขึงตาใส่พลางบุ้ยใบ้ให้รีบกลับเข้าห้อง วาดจันทร์รับรู้ตามประสาคนหัวไวจึงทำตาม ป้าโฉมหมุนตัวเดินไปหาเจ้านายพลางงับประตูตามหลัง มองสภาพในห้องคราหนึ่งก่อนเอ่ยถาม

‘แม่ผกา! ทำไมเธอมีกุญแจดอกนั้น’ ป้าโฉมยังแอบหวังจะมีคำอธิบายอย่างอื่น เพราะคิดจนหัวแทบแตกก็โยงหญิงสาวคนที่เธอรู้จักกับเรื่องพรรค์ดังกล่าวไม่ได้เลย

ผกาเงยหน้าขึ้น ดวงตาแห้งผากราวผืนดินแตกระแหงโดนแดดแผดเผาจนพ่ายแพ้ชะตากรรมหมดสิ้น ‘ฉันทำผิดต่อคุณศลค่ะ…ไม่มีอะไรจะแก้ตัว คุณศลเองก็กำลังสืบอยู่ช้าเร็วคงต้องทราบจนได้ ฉันเลยมาสารภาพเสียให้สิ้นเรื่องคนอื่นจะไม่ต้องเดือดร้อน’

ป้าโฉมร้องครางอย่างอัดอั้น โกศลกัดฟันกรอดราวคิดขยี้ใครสักคน สองมือกำหมัดแน่นจนป้าโฉมลังเลว่าถ้าเขาลงมือกับผกาอีก เธอจะห้ามไหวไหม แต่สุดท้ายชายหนุ่มก็คลายมือ เงยหน้าคล้ายไม่อยากแม้แต่จะมองหญิงที่เคยมีสัมพันธ์กับตนเอง

‘บอกมา รู้จักนายดิเรกนั่นได้ยังไง’

‘ตอนเลี้ยงแคนอยู่ข้างนอกคนเดียว…ฉันเหงา’ เธอละรายละเอียดไว้ข้ามไปเล่าว่า ‘ต่อมาเขาย้ายไปต่างจังหวัด ส่วนคุณก็รับฉันกลับบ้านเราจึงหยุดติดต่อ จนปีที่แล้วเขากลับมาเพราะต้องหางานเลี้ยงแม่ตาบอดกับรักษาลูกที่ป่วยบ่อยๆ แต่ทำงานยังไงเงินก็ไม่พอจึงบากหน้ามาขอฉัน’

‘เขาเอาเรื่องชู้ข่มขู่เธอหรือ’ ป้าโฉมซัก ผกามองกลับมาด้วยสายตาว่างเปล่า เล่าต่อโดยไม่ตอบคำถามนั้น

‘เขาขอเงินเดือนละครั้งเพราะต้องพาลูกไปหาหมอ ฉันอาศัยจังหวะมอบเงินตอนไปตลาดบ้าง หรือถ้าไม่ได้ตอนกลางคืนก็ออกทางประตูหลังเอาไปให้ หรือบางทีวางไว้ในกระถางต้นไม้แถวนั้นแล้วเขาจะไขกุญแจแอบเข้ามาหยิบ’

‘มิน่าถึงไม่มีใครระแคะระคายเรื่องพวกเธอเลย’ ป้าโฉมรำพึง

หญิงสาวก้มหน้าลง ‘วันเกิดเหตุเพราะคำสั่งห้ามทุกคนออกจากบ้านถ้าไม่จำเป็น ฉันเลยให้เขามาเอาเงินเอง’

โกศลมองผกาผู้ทำท่าเฉยเมย อธิบายทุกอย่างเหมือนท่องอาขยานราวกับไม่ใช่เรื่องของตัวเองแล้ว พลันเหยียดยิ้มที่ทำเอาหัวหน้าแม่บ้านขนลุก

‘เธอรู้ไหมผกา เพราะแท้งครั้งนี้วิเลยมีลูกอีกไม่ได้แล้ว’

ป้าโฉมสะดุ้งที่จู่ๆ เจ้านายเปิดเผยความลับอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ทว่าความตกใจของเธอยังไม่ถึงครึ่งของผกา หญิงสาวสะบัดหน้าขึ้นทันที สองบ่าทรุดฮวบชนิดที่ถ้าไม่เพราะนั่งอยู่คงเห็นเธอล้มกองกับพื้นไปแล้ว อ้าปากพะงาบๆ แต่ไร้สุ้มเสียงเล็ดลอด โกศลคุกเข่าข้างหนึ่งลงประสานสายตากับภรรยา

‘นั่นหมายความว่ายังไงรู้ไหม หมายความว่าแคนจะกลายเป็นทายาทผู้สืบทอดของฉัน’ ปลายคิ้วเขากระตุกด้วยกำลังสะกดกลั้นเต็มสามารถ ‘ที่แล้วมาแคนผลการเรียนย่ำแย่ นิสัยก็แทบไม่ผ่านการอบรมขัดเกลา แต่ฉันเข้าใจ…ฉันทิ้งพวกเธอสองแม่ลูกไว้นอกบ้านนานเกินไป ถึงยอมหลับตาข้างหนึ่งเพื่อให้เวลาแคนปรับปรุงตัว แล้วเธอตอบแทนฉันด้วยอะไรล่ะ ด้วยการทำลายชื่อเสียง ทำให้อนาคตลูกชายที่ลุ่มๆ ดอนๆ อยู่แล้วต้องยากขึ้นไปอีก เพราะความเห็นแก่ตัวแค่ชั่วแวบเดียว!’

ผกายังมองเบิ่งค้างไปข้างหน้าราวกับเสียงเขาเป็นแค่ลมพัดผ่านหู โกศลหรี่ตาแคบ

‘ถ้าวิออกจากโรงพยาบาลเมื่อไหร่ ฉันจะยกแคนให้วิดูแลแทนเธอ’

หญิงสาวผวาเฮือก ดึงแขนสามีไว้แน่น ‘ไม่นะคะ อย่าเอาลูกไปจากฉัน!’

โกศลเผยสีหน้าเย็นชาดั่งผนึกเอาเยื่อใยสุดท้ายไว้ใต้ภูเขาน้ำแข็ง ไม่มีวันลอยขึ้นมาอีก เขาลุกพรวดจนคนที่เกาะแขนหลุดกลิ้งไปกับพื้น ตัวเองก้าวฉับๆ ผ่านหน้าป้าโฉมที่มัวยืนตะลึง กระชากประตูออกแล้วสั่งลูกน้องที่ยังรอหน้าห้อง

‘ไปตามพวกสาวๆ พาผกากลับห้องนอน’

คนทั้งบ้านต่างออกันอยู่แถวนั้นจึงถูกเรียกตัวอย่างรวดเร็ว หัวหน้าแม่บ้านรู้ดีสถานการณ์มาถึงจุดที่เธอก็ห้ามอะไรไม่ได้แล้ว จึงพยายามไม่มองการดิ้นรนของผกาในการควบคุมจากพวกสาวใช้ เดินไปเลียบเคียงถามโกศลเสียงเบา

‘แล้วคุณแคนล่ะคะ แกคงไม่ยอมห่างจากแม่ ถ้าอาละวาดหนักป้ากลัวแกจะทำร้ายตัวเอง’

‘ถ้าอย่างนั้นก็พาไปอยู่กับแม่เขาในห้องแล้วกัน ดูแลทุกอย่างอย่าให้ขาดแต่ห้ามออกไปไหน’ ชายหนุ่มนวดหว่างคิ้วไปมา เหมือนเขาแก่ขึ้นสักสิบปีแค่ชั่วคืนเดียว ‘ก็หวังผกาจะคิดได้ว่าอะไรดีที่สุดกับลูกและตัวเอง’

ไม่มีใครรู้ว่าผกาคิดได้หรือไม่

เพราะในคืนนั้นเธอก็พาบุตรชายแอบหนีจากบ้านบุหรงกาญจน์

 

สู่ช่วงเวลาปัจจุบัน เจคนั่งพิงเสาศาลา กอดอกหลับตาฟังเงียบๆ จนคนเล่าต้องลุกไปสะกิด

“นี่คุณ ไม่ใช่คิดว่ากำลังฟังนิทานจนหลับไปแล้วนะคะ”

ชายหนุ่มค่อยๆ ลืมตาขึ้น วินาทีนั้นคลื่นในแม่น้ำสะท้อนยังดวงตาเขาก่อเงาวิบไหวแปรปรวน แต่พริบตาก็เลือนจาง เจคเกาผมยุ่งกระเซิงไปมา “ผมไม่ได้หลับแค่กำลังฟังเพลินต่างหาก แล้วต่อมาเป็นยังไง”

หญิงสาวย้อนไปนั่งที่ “อาม่าใหญ่และครอบครัวลุงเสริฐกลับมา ทุกคนตกใจเรื่องป้าผกา พยายามเกลี้ยกล่อมพ่อให้ตามหา แต่พ่อโกรธจนไม่ฟังใครเลย หลังจากนั้นหลายเดือนกว่าอาม่าจะรู้เรื่องคุณวิมีลูกไม่ได้ อาม่าด่าพ่อใหญ่แล้วเริ่มตามหาตัวพี่แคนกลับมา แต่เพราะทิ้งเวลานานไปเลยไม่เหลือเบาะแสป้าผกากับเขาแล้ว”

“แปลกนะ” เขารำพึง “สมัยนั้นหายังไงก็ไม่เจอ แต่คุณกลับพบร่องรอยในหลายปีให้หลัง”

“มันบังเอิญค่ะ นักสืบที่ฉันจ้างก็แกะรอยเหมือนอย่างอาม่าใหญ่เคยทำนั่นแหละ ประจวบเหมาะมีคนที่เคยไปทำงานนิวซีแลนด์ช่วงเดียวกับป้าผกากลับมาอยู่แถวนั้นพอดีและจำป้าได้ เราเลยเริ่มสืบจากตรงนั้น” เธอหลุบเปลือกตาลง “ซึ่งก็ช้าเกินไป”

“ไม่ใช่ความผิดคุณหรอกครับ” เจคพูดขณะทอดสายตายังแม่น้ำที่ไหลเร็วรี่ หอบทั้งกอผักตบชวาซึ่งกำลังออกดอกสวยพร้อมเศษขยะกองใหญ่ลอยเรื่อยยังปากแม่น้ำ เฉกเช่นเดียวกับกาลเวลาซึ่งชักพาทั้งสิ่งดีงามและเลวร้ายในชีวิต พัดเลยไปอย่างไม่มีวันหวนกลับมา

ใช่…ไม่มีวันหวนกลับมา



Don`t copy text!