หน้ากากมยุเรศ บทที่ 5 : งานแฟชั่นโชว์ (3)

หน้ากากมยุเรศ บทที่ 5 : งานแฟชั่นโชว์ (3)

โดย : สิตา

Loading

หน้ากากมยุเรศ นวนิยายโรแมนติกดราม่า โดย สิตา ผู้ที่เคยได้รับรางวัลชนะเลิศในโครงการ อ่านเอาก้าวแรก ปี 2 ในนามปากกา “เยว่หวา” ที่ครั้งนี้ เธอขอพาทุกคนสู่การเฉือดเฉือนในวงการธุรกิจของครอบครัวบุหรงกาญจน์ ที่ต่างฝ่ายต่างสวมหน้ากากปิดบังเป้าหมายในใจ ผลลัพธ์จะเป็นอย่างที่คาดเดาหรือหักมุม อ่านออนไลน์กันได้ที่ anowl.co

ห้องทำงานของประเสริฐอยู่ชั้นเดียวกับห้องประธานบริษัทฯ เรียกว่าอยู่ข้างกันเลยด้วยซ้ำ ภายในชั้นแบ่งเป็นบริเวณต่างๆ ด้านติดกับลิฟต์มีฉากกั้นสำนักงานแยกพื้นที่สำหรับพนักงานที่คอยดูแลความเรียบร้อยของชั้น ฝั่งตรงข้ามเป็นห้องทำงานของสุขุมาลซึ่งตอนนี้ตัวเธอมารออยู่ในห้องพี่ชายพร้อมอาการเคร่งเครียด ส่วนบุตรสาวนั่งเคียงข้างด้วยสีหน้าแบบเดียวกับผู้เป็นแม่ และบนชุดโซฟายังมีภวัตเพิ่มมาอีกคน ทำเอาห้องทำงานดูคับแคบถนัดใจ

เมื่อพร้อมหน้าแล้วประเสริฐจึงเกริ่นนำ “ลุงอยากขอระดมความคิด ถึงลองปรึกษากับอิงไปคร่าวๆ ก็ยังอยากได้อีกหลายๆ ความเห็น ส่วนเจคอาจไม่คุ้นเคยแต่ลองฟังไว้คงไม่เสียหาย” เขาส่ายหัว “แบรนด์ลูกปลาที่กำลังจะจัดแฟชั่นโชว์ถูกยกเลิก”

เจคอุทานดังอ้าว “กำลังจะจัดกันอยู่แล้วทำไมทั้งงานถึงยกเลิกล่ะครับ”

“งานไม่ได้ยกเลิกแต่ผู้จัดขอเอาแบรนด์ลูกปลาออก ดันแบรนด์อื่นขึ้นโชว์แทน”

“ทำได้ด้วยหรือครับ” เจคแม้จะไร้ความรู้ด้านนี้แต่ถ้าคิดจากสามัญสำนึก การเตรียมงานแฟชั่นโชว์ไม่ใช่ใช้เวลาแค่วันสองวัน จู่ๆ เปลี่ยนแผนกะทันหันจะทำทันได้อย่างไร

“ทางนั้นบอกว่าได้เพราะเพิ่งเริ่มแค่เบื้องต้น” สุขุมาลตอบเสียงกรุ่น “งานจัดหลายแบรนด์รวมกันแต่ละเจ้าจึงรับผิดชอบต่อโชว์แค่ไม่กี่ชุด แบรนด์ใหม่ที่เสียบแทนเขาโอเค อีกอย่างงานนี้โฆษณาออกสื่อแค่ชื่อสี่แบรนด์ กะจะเก็บแบรนด์สุดท้ายซึ่งแต่เดิมคือแบรนด์ลูกปลาไว้เป็นเซอร์ไพรส์วันงาน การสับเปลี่ยนจึงไม่มีปัญหา”

“แต่พวกเรามีนะ!” ปวินท์โพล่งขึ้น ดูเป็นเดือดเป็นร้อนแทนลูกพี่ลูกน้องอยู่มาก “ลงทุนลงแรงเตรียมแฟชั่นโชว์ไปเท่าไหร่แล้ว อย่าลืมสิครับบุหรงกาญจน์มีหุ้นในแบรนด์ลูกปลาตั้งเกือบครึ่ง ควรเกรงใจเราบ้าง”

เจคเพิ่งกระจ่าง อาศัยครอบครัวเป็นทุนเริ่มต้นนี่เองถึงตั้งแบรนด์ของตนได้เร็วนัก แต่ปากแค่ขยับซักไซ้ “ผู้จัดงานเขาอ้างเหตุผลอะไรถึงกล้างัดข้อกับบุหรงกาญจน์หรือครับ”

สิ้นคำถามนั้นโปรดปรานพลันลุกพรวด สองแก้มแดงก่ำ “ลูกปลาไม่เคยลอกเลียนผลงานใคร! กล่าวหากันชัดๆ”

เจคอ้าปากเหวอ วิมลินจึงโน้มตัวมาไขความกระจ่าง “ลูกปลาเคยมีเพื่อนสนิทที่จะออกแบรนด์ร่วมกัน แต่ผิดใจเลยแยกไปทำแบรนด์ใครแบรนด์มัน พอออกคอลเล็กชันแรกรูปแบบดันคล้ายกันมากจนทางนั้นหาว่าเราลอกเลียน”

“ยัยนั่นต่างหากที่ลอก!” โปรดปรานขึ้นเสียง “ไอเดียตั้งต้นเป็นของลูกปลาแท้ๆ คนอื่นมีสิทธิ์อะไรเอาไปใช้”

วิมลินสรุป “เพราะช่วยกันคิดตอนต้นจนมีแรงบันดาลใจคล้ายๆ กัน พองานออกมาต่างคนเลยต่างอ้างความเป็นเจ้าของ”

โปรดปรานตั้งท่าจะเถียงทว่าภวัตที่ก้มหน้าอ่านปึกกระดาษในมือพูดขึ้นเสียก่อน “พี่ตรวจสัญญาแฟชั่นโชว์แล้วนะลูกปลา ทางผู้จัดงานอ้างเรื่องชื่อเสียงและภาพลักษณ์เสียหายซึ่งมันก้ำกึ่ง จะลองฟ้องฐานผิดสัญญาดูก็ได้ แต่กว่าจะฟ้องเสร็จแฟชั่นโชว์คงจบไปนานแล้ว”

หญิงสาวหน้าง้ำ ถ้าเธอถอยอายุลงสักยี่สิบปีคงทรุดไปนอนดิ้นด้วยความไม่พอใจเป็นแน่!

“อายังแปลกใจนะ” สุขุมาลเอ่ย เธอแทนตัวเองว่าอากับหลานๆ ทุกคน เพราะตนเป็นฝาแฝดกับพ่อของภวัต จะนับศักดิ์เป็นป้าหรืออาคงไม่ต่างกันนัก “ตอนเกิดเรื่องพี่ศลยังอยู่ เขาอุตส่าห์ช่วยเจรจากับผู้ใหญ่ฝ่ายนั้นจนจบปัญหาแล้ว ทำไมดันรื้อฟื้นมาเอาเรื่องอีกครั้งกันล่ะ เพราะฝ่ายนั้นทำการฟ้องร้องจนผู้จัดงานแฟชั่นโชว์ทราบข่าว เขาถึงอ้างเหตุผลนี้ขอยกเลิกเรา”

โปรดปรานพูดเสียงสั่นด้วยความโกรธ “จะอะไรซะอีกล่ะคะ มีคนวางแผนกลั่นแกล้งลูกปลาน่ะสิ!”

“ลุงเองก็คิดแบบนั้น” ประเสริฐพยักหน้า “และคงปล่อยผ่านไม่ได้ เพราะบุหรงกาญจน์ถือหุ้นแบรนด์ลูกปลาอยู่ มันกระทบชื่อเสียงเราด้วย”

ภวัตเองก็ถอนใจ “ลำพังแค่ฝ่ายนั้นฟ้องร้องยังไม่เท่าไหร่ แต่ถ้าแฟชั่นโชว์ถูกยกเลิกก็เหมือนผู้จัดงานเข้าข้างพวกที่ฟ้อง ไม่ดีกับทางเราและอนาคตของแบรนด์ลูกปลาแน่ๆ”

สุขุมาลปัดปอยผมซึ่งระบนอยู่บนหัวคิ้วยับยู่ “เพื่อนอิงที่อยู่ฝ่ายจัดงานแฟชั่นโชว์นั่นน่ะ ติดต่อได้หรือยัง”

วิมลินส่ายศีรษะ “ซินดี้น่าจะยุ่ง โทรไปไม่รับส่งไลน์ก็ยังไม่อ่าน คงต้องรอก่อนค่ะ”

สุขุมาลพยายามเก็บงำความผิดหวัง “งั้นอาขอกวนปริ้นหน่อยสิ แฟนเราก็เป็นเจ้าของอีกแบรนด์ที่โชว์ในงานเดียวกัน ลองถามหน่อยไหมเผื่อเขารู้อะไรบ้าง”

ปวินท์ทำท่าคิดสักพักกว่าจะร้องอ๋อ “ผมเลิกกะคนนั้นนานแล้ว ขืนโทรหาคงถูกด่า”

สุขุมาลถอนใจดังเฮือกส่วนประเสริฐบ่นใส่ลูกยกใหญ่ “แกเปลี่ยนแฟนบ่อยเกินไปไหมเฮอะ ฉันยังนึกว่าคบกันอยู่เลย”

“ลุงเสริฐขา ถัดจากคนนั้นพี่ปริ้นเปลี่ยนสาวมาอีกสองคนแล้วนะคะ” โปรดปรานได้ทีฟ้องจนปวินท์ร้อนตัว

“เฮ้ยๆๆ ยัยลูกปลา ไม่ใช่เรื่องตัวเองอย่ายุ่งนักได้ไหม”

“เชอะ แล้วเรื่องของลูกปลามีใครช่วยได้ไหมล่ะ อย่างสมัยลุงศลก็ด้วย ไม่รู้คุยอีท่าไหนเรื่องถึงลามมาจนป่านนี้!”

วิมลินหันขวับทันที จ้องลูกพี่ลูกน้องด้วยแววตานิ่งเรียบแต่ไม่ขยับทางอื่นเลย ทำเอาสุขุมาลต้องฉุดแขนบุตรสาวนั่งลง

“ลูกปลากำลังเครียดน่ะอิง อย่าถือสานะ”

ทว่าวิมลินยังคงหยุดเฉยในท่าเดิม จนกระทั่งโปรดปรานต้องผินหน้าหนี แอบกลืนน้ำลายเบาๆ ตอนเอ่ยเสียงอ่อย “ลูกปลาขอโทษค่ะ”

วิมลินค่อยถอยไปพิงโซฟา พูดเนิบเนือย “ทุกคนพร้อมช่วยลูกปลาอยู่แล้ว พี่เองก็ตามเรื่องเต็มที่แน่ แต่ตอนนี้ถ้าไม่มีข้อมูลเพิ่มถึงคุยกันคงไม่มีอะไรคืบหน้า ไว้ติดต่อซินดี้เพื่อนพี่ได้เมื่อไหร่เราค่อยว่ากันอีกที ทุกคนเห็นด้วยไหมคะ”

ผู้ฟังต่างอยากหนีจากบรรยากาศกระอักกระอ่วนจึงรับคำพร้อมเพรียง วิมลินพาเจคแยกตัวกลับห้องทำงาน หลังปิดประตูชายหนุ่มก็ทักขึ้น

“คุณหน้าเครียดตั้งแต่ออกจากห้องลุงเสริฐแล้วนะ ยังโกรธที่ลูกปลาเผลอว่าคุณพ่อหรือ”

หญิงสาวส่ายหัว “อันที่จริงลูกปลาก็พูดถูก พ่อเคยเจรจาจนเรียบร้อยทุกอย่างทำไมดันเกิดปัญหาตอนนี้อีก ฉันสงสัยมากเลย”

“ทางนั้นอาจแค่รับปากส่งๆ เพื่อหาทางแว้งกัดทีหลังหรือเปล่า”

“คุณพูดได้เพราะไม่รู้จักอิทธิพลของบุหรงกาญจน์ในวงการนี้ สมัยที่พ่อยังอยู่ลองบุหรงกาญจน์ขยับแค่นิดเดียว ทั้งวงการเป็นลุกตามติดๆ เลย เพราะงั้นลุงเสริฐกับพี่ปริ้นถึงเอาเรื่องมากไงคะ เขากลัวการเปลี่ยนแปลงภายหลังพ่อเสียชีวิต”

เจคเพิ่งกระจ่าง มิน่าถึงเรียกประชุมจนใหญ่โต ไม่ใช่แค่รู้สึกเสียหน้าที่หลานสาวถูกปฏิเสธ แต่กังวลมันอาจเป็นสัญญาณเริ่มต้นของคลื่นใต้น้ำ กลัวคู่ค้าหรือคนในวงการตีตัวออกหากเมื่อบุหรงกาญจน์ไม่มีโกศลอยู่แล้ว

“ฉันจะลองโทรหาซินดี้อีกรอบ” หญิงสาวบอก

เจคไม่มีอะไรทำจึงเดินสำรวจห้องระหว่างรอเธอยกโทรศัพท์แนบหู โชคดีคราวนี้อีกฝั่งยอมรับสายเสียที หลังอารัมภบทพอหอมปากหอมคอว่าซินดี้ติดประชุมด่วนและเพิ่งว่าง วิมลินก็เข้าประเด็นไม่อ้อมค้อม จากนั้นกลายเป็นฝ่ายนิ่งฟังปลายสายร่ายยาวเกือบสิบนาที ค่อยวางโทรศัพท์ด้วยท่าทางย่ำแย่กว่าเดิม ชายหนุ่มจึงยิ่งไม่กล้าทัก ปล่อยเธอนั่งคิดเงียบๆ ยังโซฟากลางห้อง จนกระทั่งโทรศัพท์บนโต๊ะทำงานเขาดัง หญิงสาวอยู่ใกล้กว่าเลยเดินไปรับสาย ดูเหมือนประชาสัมพันธ์ชั้นล่างจะติดต่อมา

“ว่ายังไงนะ ใครมา…ย้ำอีกครั้งสิ”

หลังพนักงานทำตามคำสั่งวิมลินพลันขมวดคิ้วแน่น วางสายแล้วหมุนตัวเดินออกจากห้องทันที เจคซอยเท้าตามโดยไม่ต้องบอก หญิงสาวหยุดหน้าห้องทำงานประเสริฐ ยกมือจะเคาะประตูแต่เปลี่ยนใจกะทันหัน หยิบโทรศัพท์พิมพ์ข้อความขณะขอร้องเขา

“ช่วยกดลิฟต์ลงชั้นล่างให้หน่อยสิคะ”

วิมลินก้าวเข้าลิฟต์ขณะกดส่งข้อความพอดี แล้วถึงยอมอธิบายกับเจคผู้รอคอยอย่างอดทน

“ซินดี้เพื่อนฉันเพิ่งรู้เรื่องแบรนด์ลูกปลาถูกยกเลิกแฟชั่นโชว์ตอนเข้าประชุมเมื่อกี้เหมือนกัน พอดีแฟชั่นโชว์รับผู้จัดงานหน้าใหม่ร่วมทีม มันเป็นความประสงค์ของเธอคนนั้น”

คนฟังเลิกคิ้ว “กล้าชนบุหรงกาญจน์โต้งๆ เชียว แถมมีอิทธิพลขนาดสั่งเป็นสั่งตายด้วย ใครกัน”

คำตอบเธอเรียกความแปลกใจอีกคำรบ “เดี๋ยวคุณจะได้เจอแล้วค่ะ เธอมารอพบอยู่ข้างล่าง ฉันตั้งใจจะบอกพวกลุงเสริฐแต่คิดแล้วขี้เกียจเคาะทีละห้อง เลยส่งข้อความในไลน์กลุ่ม พวกเขาน่าจะกำลังตามมา”

ลิฟต์แตะชั้นล่างพอดี เมื่อเดินออกเลี้ยวซ้ายจะเป็นทางตรงโล่งไปถึงประตูใหญ่ของอาคาร เห็นโถงทางเข้าบริเวณหน้าเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ถนัดชัดเจน ผู้หญิงวัยกลางคนรออยู่ตรงนั้นตามลำพัง อันที่จริงแม้จะยืนกลางฝูงชนก็คงหาเธอได้ไม่ยาก เพราะบุคลิกสง่างามภายใต้เสื้อผ้าเรียบหรูนั่นโดดเด่นจนสะดุดสายตา

เจคเลิกคิ้วสูงแทบเลยหน้าผากตอนที่วิมลินโน้มตัวมาหา พูดเสียงเบาเกือบเหมือนกระซิบ

“ขอแนะนำให้รู้จัก นั่นคุณเทวิกา ภรรยาคนแรกและเป็นคนเดียวที่เคยจดทะเบียนสมรสอย่างถูกต้องกับคุณพ่อ”



Don`t copy text!