หน้ากากมยุเรศ บทที่ 6 : ตุ๊กตาเจ้าหญิง (2)

หน้ากากมยุเรศ บทที่ 6 : ตุ๊กตาเจ้าหญิง (2)

โดย : สิตา

Loading

หน้ากากมยุเรศ นวนิยายโรแมนติกดราม่า โดย สิตา ผู้ที่เคยได้รับรางวัลชนะเลิศในโครงการ อ่านเอาก้าวแรก ปี 2 ในนามปากกา “เยว่หวา” ที่ครั้งนี้ เธอขอพาทุกคนสู่การเฉือดเฉือนในวงการธุรกิจของครอบครัวบุหรงกาญจน์ ที่ต่างฝ่ายต่างสวมหน้ากากปิดบังเป้าหมายในใจ ผลลัพธ์จะเป็นอย่างที่คาดเดาหรือหักมุม อ่านออนไลน์กันได้ที่ anowl.co

ตั้งแต่ในลิฟต์ถึงระหว่างเดินมายังห้องประชุมที่เดิม วิมลินเงียบมากจนเจคสงสัย กำลังคิดจะทักดีไหมเธอพลันพูดขึ้นก่อน

“ของที่ฉันให้ไว้อยู่ไหมคะ”

ชายหนุ่มล้วงมันออกจากกระเป๋าสูท “หมายถึงบลูทูธขนาดเล็กพิเศษนี่”

วิมลินมอบเครื่องมือนี้ให้เขาตั้งแต่อยู่ในรถ กำชับถ้ามีจังหวะให้สวมมันเผื่อเธอจะแอบโทร.บอกแผนการเฉพาะหน้ากับเขาโดยป้องกันผู้อื่นผิดสังเกต เจคจึงยัดมันใส่รูหู

“คุณคิดว่าอาจจำเป็นต้องใช้งั้นหรือ”

“ภาวนาอย่าให้ต้องใช้มันเลยค่ะ”

หญิงสาวตอบขณะเปิดประตูห้องประชุม ภายในนั้นนอกจากเทวิกา พวกที่เคยรวมตัวในห้องทำงานประเสริฐเมื่อครู่ต่างอยู่ครบ มีขนมเครื่องดื่มวางพร้อมให้ทุกที่นั่ง ดูเหมือนพวกเขาจะเริ่มเจรจากันบ้างแล้ว สังเกตจากสีหน้าของสุขุมาลกับโปรดปราน ผลการพูดคุยคงไม่ค่อยดีนัก

ประเสริฐนวดขมับ “คุณวิครับ ผมฟังกี่ครั้งก็ไม่เข้าใจ คุณเป็นผู้จัดงานหลักของแฟชั่นโชว์ก็ควรยึดหลักการ ทำไมอาศัยแค่ข่าวโคมลอยยกเลิกโชว์ที่ดีลงานกันไว้ตั้งแต่ต้นล่ะครับ”

“ถึงขั้นฟ้องร้องต่อศาล คงไม่ใช่แค่ข่าวโคมลอยมั้งคะ”

“ปั้ดโธ่ รู้ๆ กันอยู่ฟ้องแพ่งขอแค่มีเงินจ้างทนายก็ฟ้องดะ ถึงเจอคดีรกศาลท่านไปหมดแต่สุดท้ายมักไม่มีมูล”

“ก็รอจนศาลตัดสินว่าไม่มีมูลสิคะ เรายินดีเชิญแบรนด์ลูกปลากลับมาทำโชว์ด้วยเสมอ”

“รอศาลตัดสินมันอีกตั้งกี่ปีล่ะคะ” ลูกปลาโพล่งอย่างเหลืออด “ตอนเกิดเรื่องใหม่ๆ ลูกปลาต่างหากเป็นฝ่ายจะฟ้องก่อนแต่ลุงศลไปเจรจาตกลงจนต่างคนต่างถอย เลิกราต่อกัน แล้วจู่ๆ ทางนั้นกลับฟ้องตอนเผลอ แทงข้างหลังกันชัดๆ”

“ป้าเข้าใจหนูนะ แต่ที่ลูกปลาบอกมันเกิดหลังป้าออกจากบุหรงกาญจน์ไปแล้ว ป้าจะรู้เรื่องพวกนั้นได้ยังไง” เทวิกาทำท่าอ่อนอกอ่อนใจ “และถึงป้าจะช่วยพูด แต่ช่วงนี้ภาพลักษณ์ของบุหรงกาญจน์ก็คลุมเครือเหลือเกิน หลายฝ่ายเลยระวังตัวที่จะเกี่ยวข้องด้วย ป้าละจนปัญญา”

ประเสริฐโน้มตัวชิดโต๊ะทันที “ภาพลักษณ์คลุมเครือ คุณวิหมายความว่ายังไงครับ”

“ก็ตั้งใจจะเอาเด็กอ่อนประสบการณ์ขึ้นเป็นประธาน ใครๆ เขาห่วงอนาคตบุหรงกาญจน์กันทั้งนั้น”

เจคกำลังเคี้ยวขนมเพลินๆ ชะงักกึก เฮ้ย! ไหงแว้งมากัดเขาได้ล่ะ

“นินทากันเกินไปไหมครับคุณวิ” ปวินท์ค้าน เขาเปลี่ยนสรรพนามเรียกอีกฝ่ายตามบิดา “ผู้บริหารคือคณะกรรมการบริษัทไม่ใช่ประธานคนเดียว คุณวิเคยอยู่วงในมาน่าจะรู้ดี ไม่คิดช่วยแก้ต่างให้บุหรงกาญจน์สักหน่อยล่ะครับ”

เจคกระหน่ำปรบมือในใจให้ปวินท์ ไม่เสียทีที่ยอมผูกมิตรด้วย

“ทำไมจะไม่พูดล่ะ แล้วพวกเขาย้อนว่ายังไงรู้ไหม” เทวิกาจงใจปรายตามาทางวิมลิน “เขาบอกว่าเด็กรุ่นใหม่ของบุหรงกาญจน์เคยทำพลาดมาแล้ว หากจะเกิดอีกครั้งก็ย่อมมีโอกาส”

โห! ปากกัดเขาแต่ยังอุตส่าห์ยกหางฟาดวิมลินได้ เจคโคตรนับถือผู้หญิงคนนี้เลย

วิมลินก้มมองนิ้วตัวเองที่กำลังลูบตามหูแก้วกาแฟ เปรยลอยๆ “คนนอกย่อมไม่มีสิทธิ์วิจารณ์เรื่องภายในของบุหรงกาญจน์นะคะ”

“คนนอกก็ไม่ใช่ไม่เป็นห่วงบุหรงกาญจน์นี่ ฉันหวังดีนะเลยขอพูดตรงๆ ในบุหรงกาญจน์ยังมีคนที่คู่ควรกับตำแหน่งประธานมากกว่าพี่ชายเธอมาก ถ้าเธอเห็นแก่ประโยชน์ของบริษัทก็ควรตัดสินใจอีกอย่าง เสียทีจริงๆ ที่คุณโกศลเคยคาดหวังกับเธอไว้เยอะ”

วิมลินลุกพรวดทันที จ้องหน้าเทวิกาผู้เหยียดยิ้มไม่ยี่หระ บรรยากาศในพลันห้องตึงเครียด พักใหญ่หญิงสาวถึงยอมย้ายสายตาไปหาประเสริฐ

“อิงขอตัวก่อนนะคะ ถ้ายังนั่งที่นี่การเจรจาคงไม่ราบรื่น”

ประเสริฐระบายลมหายใจที่เผลอกลั้นไว้ “ได้สิ เอาตามอิงสบายใจ”

วิมลินแตะบ่าเจคผู้ทำท่าจะลุกตาม “คุณอยู่ต่อเถอะค่ะ เปิดหูเปิดตาให้กว้าง” ปรายตายังเทวิกา “และเรียนรู้นิสัยคนให้เยอะๆ”

ชายหนุ่มขยับปกเสื้อสูทอย่างอึดอัดพลางยิ้มแห้ง รอจนวิมลินปิดประตูตามหลังเรียบร้อยสุขุมาลจึงเอ่ยอีกครั้ง

“คุณวิคะ ถ้าคุณไม่คิดจะเอาแบรนด์ลูกปลากลับเข้าแฟชั่นโชว์ แล้วอุตส่าห์มาถึงนี่เพื่ออะไรคะ”

“ใครบอกฉันจะทำอย่างนั้นกันคะ ฉันยินดีพิจารณาแบรนด์ลูกปลาอีกครั้งโดยแลกด้วยเงื่อนไขเดียว ทำไมพวกคุณไม่เสนอชื่อพี่เสริฐชิงตำแหน่งประธานคู่กับเจค แล้วให้ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทที่จะจัดในอีกสามเดือนหน้าเป็นคนเลือกแทนล่ะคะ”

ทั้งห้องพลันเงียบกริบจนแทบได้ยินเสียงลมหายใจ แล้วภวัตจึงขยับตัวเป็นคนแรกด้วยการดันแว่นขึ้น “เอ่อ…มันออกจะ…”

“ทำไมล่ะ” เทวิกาเลิกคิ้ว “หรือมีกฎห้ามไว้คะคุณทนายของบุหรงกาญจน์”

“ไม่ครับ ข้อบังคับบริษัทยอมรับตรงนี้ได้ แต่ในทางปฏิบัติ…”

“ยอมรับก็คือยอมรับ จะเอาคำว่าแต่มาตัดสิทธิ์ผู้ที่คู่ควรมันเหมาะสมหรือ” เทวิกาไล่สบตาคนในห้องตั้งแต่ภวัต โปรดปราน ปวินท์ สุขุมาลจนจบลงที่ประเสริฐ รองประธานฯ จึงแค่นยิ้ม

“คุณวิพูดเหมือนไม่เคยอยู่วงในของบุหรงกาญจน์มาก่อน”

ถ้าเรื่องมันง่ายดายปานนั้นเขาจะยอมแพ้อย่างที่เป็นตอนนี้หรือ รู้กันอยู่คณะกรรมการบริษัทสามในสี่ส่วนล้วนภักดีกับโกศลผู้ล่วงลับขนาดไหน ถ้าก่อนถึงเวลาประชุมเจคไม่ทำพลาดหนักแบบวิมลินเข้าสักครั้ง ให้ตายเขาก็ไม่มีวันชนะ!

เทวิกาจิบกาแฟก่อนวางถ้วยลงอย่างเยือกเย็น “แล้วถ้าพ่วงข้อเสนอเพิ่มอีกอย่างล่ะ หากพี่เสริฐขึ้นเป็นประธานเมื่อไหร่ บริษัทของฉันยินดีกลับมาเป็นคู่ค้ากับบุหรงกาญจน์เหมือนเดิม”

คนของบุหรงกาญจน์ยกเว้นแค่เจคผู้ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ ต่างเบิกตาจ้องเทวิกากันพร้อมเพรียง!

สมัยก่อน ไพ่ตายที่ทำให้โกศลยอมอ่อนข้อกับเทวิกามาตลอด ก็เพราะเธอเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทคู่ค้าหลักของบุหรงกาญจน์ ฉะนั้นตอนพวกเขาทะเลาะกันเรื่องวิมลินจนเกิดการหย่าร้าง แล้วเทวิกาตัดความสัมพันธ์ทางธุรกิจทั้งหมดกับครอบครัวอดีตสามี บุหรงกาญจน์จึงซวนเซอยู่นานทีเดียว นั่นเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้โกศลไม่อาจยื่นมือช่วยบุตรสาวได้ถนัดตอนวิมลินทำงานพลาด เพราะคณะกรรมการมองว่าโกศลตัดสินใจจนบริษัทเสียหายร้ายแรงถึงสองครั้ง ล้วนมีวิมลินเกี่ยวข้อง

ถ้าสามารถดึงบริษัทของเทวิกากลับมาได้ อำนาจต่อรองของประเสริฐในสายตาคณะกรรมการย่อมพุ่งทะยาน

รองประธานฯ ขมวดคิ้วครุ่นคิด ด้านโปรดปรานก็ลุกลนเพราะมีผลประโยชน์เกี่ยวข้องจึงสะกิดมารดา สุขุมาลต้องถลึงตาปรามแต่ไม่ได้ดูหนักแน่นเหมือนเคย เทวิกามองอาการลังเลทางฝั่งครอบครัวอดีตสามีแล้วทำท่าจะยิ้ม แต่รอยยิ้มยังไม่ทันเผยจนสุดเจคก็พูดแทรกขึ้นก่อน

“คุณวิครับ เล่นเจรจาฉอดๆ อย่างกับผมไม่ได้นั่งอยู่ด้วยเลยนะครับ”

ประเสริฐสะดุ้งน้อยๆ รีบโบกมือให้หลานชายคนใหม่ “อย่าเข้าใจผิดนะเจค ลุงไม่ได้มีเจตนา…”

“จะเจตนายังไงทุกอย่างก็เพื่อผลประโยชน์บุหรงกาญจน์ทั้งนั้น” เทวิกาตัดบท “พ่อเธอเองก็ยึดถือหลักนี้มาตลอด หากคิดจะกลับมาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวก็หัดเอาอย่างพ่อซะบ้าง!”

เจคกอดอกพยักหน้าตามทีละประโยคชนิดตั้งใจกวนประสาท “คำแรกคุณพูดเพื่อผลประโยชน์บุหรงกาญจน์ คำสองก็ว่าเพราะผลประโยชน์บุหรงกาญจน์ ถ้าคิดอย่างนั้นจริงๆ ก็กลับมาเป็นคู่ค้ากันตอนนี้เลยสิครับ จะหาข้อต่อรองให้วุ่นวายทำไม”

บรรยากาศรอบตัวเทวิกาทะมึนขึ้นทันที ส่วนเจคก็ได้ยินเสียงวิมลินจากบลูทูธที่ซ่อนในหู “อย่ายั่วเธอมากเกินไปค่ะ เดี๋ยวตบะแตกก่อนจะเสียแผน”

ชายหนุ่มแอบยิ้ม วิมลินทักเหมือนกับยังนั่งเห็นภาพอยู่ในห้อง

“เรื่องธุรกิจเธอมันก็แค่เด็กเพิ่งหัดเดิน ยังไม่มีผลงานสักอย่าง” เทวิกากระชากเสียง “ไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมทำสู่รู้!”

“ครับ ผมอาจกินนมแต่ไม่ได้กินหญ้าเลยดูแผนคุณทะลุปรุโปร่ง คิดจะดันลุงเสริฐแข่งกับผม ผลลัพธ์ใครชนะบุหรงกาญจน์ก็แตกเป็นสองฝ่าย แผนยุแหย่ให้แตกแยกยังทำได้หน้าตาเฉย นี่นะหวังดีกับเรา”

หลายคนในห้องทำท่าเหมือนเพิ่งรู้สึกตัว สองแก้มเทวิกาแดงแปร๊ดก่อนเชิดหน้าสูง เอ่ยเสียงต่ำใส่โปรดปราน

“ขอโทษนะลูกปลา เราคงต้องตัดใจจากแฟชั่นโชว์แล้ว ป้าจนปัญญาจริงๆ”

โปรดปรานเบ้ปากกลั้นน้ำตา หากถูกผู้จัดงานปฏิเสธกันโต้งๆ เช่นนี้ ทั้งแบรนด์แล้วก็ตัวเธอจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน!

“คุณวิไม่ต้องเป็นห่วงหรอกครับ คนของเราบุหรงกาญจน์ดูแลเอง” เจคเอ่ยเนิบนาบท่ามกลางความสนใจของทุกคน สุขุมาลขมวดคิ้ว

“อาซีเรียสเรื่องนี้นะเจค อย่าพูดเหลวไหล”

“ผมตั้งใจจริงนะครับ” ชายหนุ่มทำท่าเกาหัวแต่ที่แท้แอบขยับบลูทูธในหูให้ได้ยินเสียงวิมลินชัดเจนขึ้น “เพราะบุหรงกาญจน์จะจัดงานแฟชั่นโชว์ขึ้นเอง และแน่นอนแบรนด์หลักของโชว์ต้องเป็นลูกปลาที่จะได้เดินฟินาเลปิดโชว์!”

เสียงฮือฮาดังขึ้นทันที เจควางมาดยิ้มรับแม้เข้าใจสิ่งซึ่งตัวเองเพิ่งพูดไปน้อยมาก อันที่จริงเขามารู้ทีหลังด้วยซ้ำว่าเดินฟินาเลหมายถึงการเดินโชว์ชุดปิดท้ายซึ่งจัดเป็นจุดเด่นที่สุดของงานแฟชั่นโชว์นั้นๆ

“แต่บุหรงกาญจน์ไม่เคยทำแฟชั่นโชว์เลยนะ” ถึงดีใจแค่ไหนสุขุมาลก็อดกังขาไม่ได้

“ผมเองก็แปลกใจนะครับ ตอนที่สอบถามอิงแล้วเพิ่งรู้ว่าระดับบุหรงกาญจน์กลับไม่เคยจัดงานแฟชั่นโชว์ของตัวเองมาก่อน” เจคลุกยืนยืดอกอย่างผึ่งผาย “แต่ไม่เคยทำความหมายย่อมไม่เหมือนกับทำไม่ได้ อีกอย่างด้วยความสามารถของพวกเราทุกคนหากยินดีสนับสนุนผม ผมก็พร้อมเป็นหัวเรือทำงานจนลุล่วงครับ”

แวบหนึ่ง ประเสริฐคล้ายมองเห็นเงาของโกศลผู้เป็นน้องชายซ้อนทับบนร่างเจค เสน่ห์ความน่าเชื่อถือที่เขาต้องฝึกฝนแทบตายกว่าจะมีไว้ติดตัว ตรงข้ามกับโกศลผู้ราวจะเกิดมาพร้อมกับมัน จนรองประธานฯ ต้องขยี้ตาเรียกสติ

หากประเสริฐรู้ความจริงคงอกแตกตาย เพราะเบื้องหลังกิริยามั่นใจกล้าได้กล้าเสียของเจคนั้น เกิดจากวิมลินแจกแจงข้างหูว่าแฟชั่นโชว์จะจัดขึ้นในอีกหกเดือน ถึงตอนนั้นเขาก็ไม่อยู่แล้ว ลอยตัวพ้นทุกปัญหา จะโม้ยิ่งกว่านี้สิบเท่าก็ยังไหว!

“เป็นแผนที่ดีนะ ได้ใช้แฟชั่นโชว์เป็นผลงานเปิดตัวเจคไปพร้อมกันเลย”

ประเสริฐปรารภโดยไม่สนใจแววตาแข็งกร้าวของเทวิกา เขาไม่ใช่คนโง่ แม้ข้อเสนอของอดีตน้องสะใภ้จะน่าสนใจ แต่ลองคิดภาพการร่วมมือกับคนผีเข้าผีออกแบบเธอแล้ว หากเขาแพ้จะยิ่งดูไม่ดีในสายตาคณะกรรมการ หรือถึงชนะรับตำแหน่งประธานสมใจทว่าต้องคอยเป็นไม้กันหมาระหว่างเทวิกากับเจคและวิมลิน อนาคตคงหดหู่เกินไป

ทางฝั่งบุหรงกาญจน์ดูจะเข้าข้างเจคกันหมด โดยเฉพาะโปรดปรานที่เหมือนส้มหล่นใส่แบบไม่ตั้งตัว จึงจ้องมองลูกพี่ลูกน้องคนใหม่ด้วยแววตาชื่นชม เทวิกาสะบัดหน้าหนี ใช้มือสั่นระริกผลักเก้าอี้ออกขณะลุกยืน

“ถ้าอย่างนั้นฉันก็ขอตัว”

เจคก้าวพรวดไปเปิดประตูให้เธอ จากช่องประตูเห็นวิมลินนั่งอยู่ในบริเวณพักผ่อนหน้าห้องประชุมที่เจคเคยใช้รอตอนมาที่นี่ครั้งแรก หญิงสาวลุกยืนช้าๆ แม้จะทราบความทุกอย่างผ่านบลูทูธในหูเจค แต่ยังคงปั้นสีหน้าเรียบเฉยได้สนิท

“คุณวิจะกลับแล้วหรือคะ อิงกับเจคเดินไปส่งนะคะ” มองข้ามเทวิกาไปหาพวกญาติๆ ด้านหลัง “เชิญตามสบายค่ะ อิงดูแลแขกต่อให้เอง”

ประเสริฐพยักหน้ารับ “ก็เอาอย่างนั้นเถอะ ผมส่งแค่ตรงนี้นะครับคุณวิ”

ปล่อยลูกเมียน้อยไว้กับเธองั้นหรือ เจตนาของทางบุหรงกาญจน์แทบไม่ต้องเดา เทวิกาเชิดหน้าเดินฉับๆ เข้าลิฟต์ซึ่งเปิดรอไว้แล้ว ยืนติดผนังด้านในส่วนเจคกับวิมลินยืนซ้อนด้านหน้าหันไปทางประตู ลิฟต์เคลื่อนที่ลงช้าๆ ระหว่างนั้นเจคแอบเย็นสันหลังวาบ ไม่ต้องหันมองก็รู้ว่าเทวิกาคงกำลังจ้องหลังพวกเขาตาถลน

“อีคางคกพอได้นั่งบนวอหน่อยก็ฉลาดขึ้นบ้างสินะ” สาวใหญ่พ่นคำผรุสวาท “รู้จักวางแผนแล้ว เธอแกล้งหาเรื่องฉันเพื่อทำอารมณ์เสียหนีไป แต่คอยชักใยเบื้องหลังให้พี่ชายแสดงละครเป็นฮีโร่”

ที่เทวิกาเดาแผนวิมลินได้ก็ไม่น่าแปลกใจนัก ด้วยไก่อ่อนอย่างเจคจู่ๆ กลับลุกขึ้นบรรยายได้ฉอดๆ แบบมืออาชีพ ต้องมีคนคอยกำกับบทพูดให้อยู่แล้ว

ชายหนุ่มเหล่มองวิมลิน แอบทึ่งเมื่อเธอยังเฉยได้ท่ามกลางความประสงค์ร้ายที่ทิ่มแทงอยู่เช่นนี้

“ความโง่มันย่อมมีขีดกำจัดนะคะ ใครจะยอมถูกแทงข้างหลังซ้ำๆ” วิมลินจ้องตัวเลขบอกชั้นของลิฟต์ราวกับมันเป็นสิ่งเดียวที่สมควรมอง “ฝากความคิดถึงถึงนุ้ยด้วยนะคะ เธอยอมทิ้งบุหรงกาญจน์ไปเลือกคุณทั้งที ช่วยดูแลเธอด้วย”

เจคควานหาในความทรงจำก่อนนึกออกว่านุ้ยก็คือชื่อเพื่อนสนิทที่หักหลังวิมลินนี่นา หรือว่า…เทวิกาเป็นผู้แอบชักเชิดเรื่องคราวนั้นทั้งหมด!

ชายหนุ่มขมวดคิ้ว ถ้ามันคือความจริงแล้วเหตุการณ์ตอนนี้ล่ะ เป็นไปได้ว่าเทวิกาตามสืบจนรู้เรื่องที่เขากลับมารับตำแหน่งประธาน รู้กระทั่งว่าเขาจะเริ่มเข้าทำงานวันไหน จึงจงใจก่อปัญหาในงานแฟชั่นโชว์แล้วใช้เป็นข้ออ้างมาปรากฏตัว เพื่อยุยงประเสริฐให้แข่งขันกับเขา ผู้หญิงคนนี้ช่างร้ายกาจเกินไปแล้ว!

เทวิกาสะดุ้ง “เธอพูดอะไร นุ้ยเน้ยฉันไม่รู้จัก”

“อยากปฏิเสธอย่างไรก็เชิญเถอะค่ะ แต่บริษัทที่นุ้ยไปเซ็นสัญญาเป็นซัปเจ้าใหม่นั่น เช็กผู้ถือหุ้นให้ลึกสักหน่อยก็รู้เลยใครเป็นนอมินีถือหุ้นแทนคุณบ้าง” เธอใช้แค่หางตามองอดีตแม่เลี้ยง “คุณปกปิดตัวตนเพราะยังไม่อยากแสดงตัวเป็นศัตรูกับบุหรงกาญจน์อย่างโจ่งแจ้ง”

เรื่องนี้เข้าใจได้ไม่ยาก สถานการณ์ตอนวิมลินทำพลาดกับเหตุการณ์ปัจจุบัน แม้มีเทวิกาบงการเบื้องหลังทั้งคู่ทว่ารายละเอียดปลีกย่อยแตกต่างกัน เรื่องปัจจุบันนี้เทวิกาอ้างเหตุผลที่พอฟังขึ้น อีกอย่างเธอสวมบทผู้ถูกสามีทรยศมาตลอด ทางบุหรงกาญจน์ย่อมไม่กล้าโต้ตอบรุนแรงเพราะห่วงหน้าตาชื่อเสียงในสังคม แต่เรื่องในอดีตนั้นเทวิกาอาศัยข้อมูลวงในจากที่เคยอยู่กับบุหรงกาญจน์มาแว้งกัดจนเละเทะ หากถูกแก้แค้นคืนจะไม่มีใครกล้าพูดถึงบุหรงกาญจน์สักคำว่าทำเกินไป นอกจากนั้นช่วงที่เทวิกาหุนหันตัดขาดกับธุรกิจอดีตสามี ทางบริษัทครอบครัวเธอก็เสียผลประโยชน์เช่นเดียวกัน หากถูกบุหรงกาญจน์เล่นงานซ้ำอีกบริษัทไม่เอาเธอไว้แน่!

ต้องขอชมเทวิกา แม้ถูกเผยจุดอ่อนอย่างจังแต่ยังสามารถควบคุมกิริยาอาการ ถ้าไม่นับลมหายใจที่สะดุดไปห้วงหนึ่ง “คิดจะบลัฟกันก็หัดทำให้สมจริงกว่านี้หน่อย ฉันไม่ตอบรับหรือปฏิเสธเรื่องนอมินีหรอกนะ แต่สมมุติถ้าฉันทำจริงๆ คิดหรือระดับเด็กอ่อนประสบการณ์แบบเธอจะขุดคุ้ยได้!”

“คุณพูดถูกค่ะอิงไม่มีความสามารถหรอก แต่เผอิญคนที่ตามสืบเรื่องนอมินีในครั้งนั้น…คือคุณพ่อ”

สาวใหญ่ถึงกับเบิกตาโพลงลืมเก็บงำอาการ ฝ่ายวิมลินยังเอ่ยเนิบเนือย

“คุณคงรู้ดีกว่าอิง ลองคุณพ่อคิดจะคุ้ยเรื่องอะไรสักอย่างย่อมไม่พลาด แต่พอท่านรู้กลับเรียกอิงไปบอกความจริงและขอโทษที่ท่านจะหยุดทุกอย่างไว้แค่นั้น พ่อไม่อยากทำร้ายคุณค่ะเพราะยังรู้สึกผิดกับคุณอยู่บ้าง”

จากตำแหน่งที่เจคยืน เขาจึงเห็นมุมปากหญิงสาวยกขึ้นเป็นรอยแย้มหยันบางๆ “เสียดายนะคะที่พ่อเสียแล้ว หลักฐานเรื่องนอมินีเลยตกมาอยู่ในมืออิงแทน”

ถ้าแววตาลุกโรจน์ของเทวิกาเป็นไฟของจริง วิมลินคงไหม้เหลือแค่ขี้เถ้าแล้ว “มีไพ่ตายในมือแต่ไม่เคยใช้ เธอต้องการอะไร!”

“อิงเคารพการตัดสินใจของพ่อค่ะ ฉะนั้นถ้าไม่จำเป็นถึงที่สุดอิงจะปล่อยความลับไว้อย่างนั้น…แค่คุณอย่าล้ำเส้น ถ้าอยากหาเรื่องขอเชิญมาหาแบบตัวต่อตัว ห้ามแตะต้องบุหรงกาญจน์คนอื่นอีก เกิดใครต้องเจอแบบที่ลูกปลาโดนคราวนี้…” หญิงสาวหยุดพูด แค่ทำท่ายักไหล่น้อยๆ เหมือนจนปัญญา

เจคตวัดจ้องน้องสาวกำมะลอด้วยแววตาสับสน เขาไม่เข้าใจ การกระทำของเธอตอนนี้ไม่เหมือนกับตอนที่ช่วยเหลือโปรดปรานด้วยการจัดงานแฟชั่นโชว์ เพราะนั่นทำเพื่อส่งเสริมภาพลักษณ์เขาในสายตาญาติ แต่การแอบปกป้องญาติๆ แบบปิดทองหลังพระเช่นนี้ วิมลินไม่มีประโยชน์อะไรสักอย่าง มิหนำซ้ำยังชักจูงเทวิกาให้พุ่งเป้ามาที่ตัวเองคนเดียว จะเสียสละขนาดนั้นทำไม

เทวิกากำหมัดแน่นจนตัวสั่น เสี้ยววินาทีก่อนเธอจะตบะแตกพุ่งใส่คู่อาฆาต ภาพตรงหน้ากลับโดนเปลี่ยนเป็นเจคแทนที่ เขาก้าวมายืนบังวิมลินจนมิด ฉีกยิ้มระรื่น

“ลิฟต์ถึงชั้นล่างนานแล้วนะครับ”

เขากดประตูลิฟต์ให้ค้างไว้ สาวใหญ่จ้องช่องประตูเปิดโล่งราวสมองยังประมวลผลไม่ทัน เขาจึงเอ่ยซ้ำ “หรือถ้าอยากอยู่ต่อผมกดลิฟต์กลับขึ้นบนให้ไหมครับ”

เทวิกาชะงักได้สติรีบสาวเท้าออกจากลิฟต์ เจคเปรยไล่หลัง “ขอส่งถึงแค่ตรงนี้นะครับ”

สาวใหญ่ย้อนมองกลับมา ยังคงเจอแต่ชายหนุ่มขวางอยู่เต็มช่องประตูลิฟต์ จึงส่งสายตาอาฆาตทิ้งท้ายก่อนจากไป เจคพ่นลมหายใจขำๆ จนเหลียวมาปะทะกับสีหน้าเอาเรื่องของสาวใกล้ตัวก็ชักจะขำไม่ออก

“โกรธอะไรครับ”

“ฉันเคยบอกไว้ไงคะ ไม่ต้องคอยปกป้องอะไรหรอก”

ชายหนุ่มเท้าศอกกับขอบประตูลิฟต์ ใช้นิ้วโป้งถูขมับแบบจนปัญญา “ผมก็อธิบายเหตุผลไว้แล้วเหมือนกันนะ คุณต่างหากบอกไม่ต้องให้ใครปกป้อง ตัวเองกลับแอบพยายามปกป้องพวกญาติๆ ลับหลัง แต่อีกทางก็ดันขัดขวางแผนการพวกเขาขนาดยอมเอาตัวเข้าเสี่ยง ย้อนแย้งสิ้นดีเลย” เจคส่ายหน้า “แล้วยังเพื่อนชื่อนุ้ยนั่นอีก เธอหักหลังคุณนะจะเป็นห่วงทำไม”

ถ้าฟังเฉพาะคำพูดที่หญิงสาวเอ่ยฝากฝังเพื่อนสนิทกับเทวิกา อาจนึกว่าเธอกำลังประชดแดกดัน แต่เจคยืนอยู่ข้างๆ วิมลินตลอด รับรู้เต็มสองตาถึงความห่วงใยในสีหน้าเธอยามเอ่ยถึงเพื่อนคนนั้น

“ทำไมคุณรู้เรื่องนุ้ยด้วยล่ะ…อ้อ” เธอผงกศีรษะ “พี่ปริ้นเล่าให้ฟังสินะ”

“คุณเอาแต่ห่วงคนอื่น ถึงผมจะไม่เข้าใจเหตุผลหรอกนะ…แต่อยากให้คุณห่วงตัวเองบ้าง”

หญิงสาวเม้มริมฝีปาก เดินอ้อมเขาเพื่อออกจากลิฟต์ เจคหมุนตัวตามหลัง แทนที่เธอจะเลี้ยวซ้ายไปทางเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์กลับเลี้ยวอีกทิศ ตรงหน้าเหมือนเป็นกำแพงตันแต่ที่จริงยังมีซอกเล็กๆ แอบทางมุมขวา สุดทางเป็นประตูฉุกเฉินซึ่งมีช่องกระจกแคบๆ บนบานประตู เมื่อเปิดออกจะเข้าสู่สวนนกยูงด้านหลังอาคารนี่เอง

เจคผิวปากหวือ “เพิ่งรู้ว่ามีทางลัดแบบนี้ด้วย”

วิมลินสบตาเขา “ฉันขอเวลาส่วนตัวสักครู่ได้ไหมคะ”

ชายหนุ่มขมวดคิ้ว เขาตามเธอมาเพราะอยากซักถามข้อข้องใจหลายอย่าง แต่คาดคั้นเอากับคนที่อารมณ์ยังไม่คงที่น่าจะใจร้ายเกินไป จึงถอยหลังกลับแล้วปิดประตูฉุกเฉินเงียบๆ



Don`t copy text!