หน้ากากมยุเรศ บทที่ 7 : รอยแผลจากอดีต (1)

หน้ากากมยุเรศ บทที่ 7 : รอยแผลจากอดีต (1)

โดย : สิตา

Loading

หน้ากากมยุเรศ นวนิยายโรแมนติกดราม่า โดย สิตา ผู้ที่เคยได้รับรางวัลชนะเลิศในโครงการ อ่านเอาก้าวแรก ปี 2 ในนามปากกา “เยว่หวา” ที่ครั้งนี้ เธอขอพาทุกคนสู่การเฉือดเฉือนในวงการธุรกิจของครอบครัวบุหรงกาญจน์ ที่ต่างฝ่ายต่างสวมหน้ากากปิดบังเป้าหมายในใจ ผลลัพธ์จะเป็นอย่างที่คาดเดาหรือหักมุม อ่านออนไลน์กันได้ที่ anowl.co

“เจค มาทำอะไรที่นี่”

ชายหนุ่มยืนเท้าศอกกับกำแพง จ้องทะลุช่องกระจกบนประตูฉุกเฉินไปยังหญิงสาวที่นั่งพักในสวนนกยูง ก่อนหันขวับมองปวินท์ผู้กำลังส่งเสียงทัก “คุณปริ้น ลงมาทำไมครับ”

“เห็นหายเงียบกันหมดเลยกลัวคุณวิแกอาละวาดอะไรข้างล่างนี่หรือเปล่า ลงมาถึงดันเงียบฉี่ พอถามประชาสัมพันธ์บอกไม่เจอพวกคุณเลยลองเดินมาหาทางนี้ ยัยอิงล่ะ”

“ขอไปพักสมองคนเดียวที่สวนนกยูงครับ”

“เออ ก็สมควรพักแหละ ต้องรับมือคุณวิแล้วยังต้องพยายามดันนายขึ้นเป็นฮีโร่ด้วยแผนจัดแฟชั่นโชว์อีก คงใช้สมองหนักน่าดู”

“ที่อิงเป็นต้นคิดแผนจัดแฟชั่นโชว์ คุณรู้ด้วยหรือครับ”

“ทุกคนนอกจากยัยลูกปลาเดาออกกันหมดแหละ ไม่ได้ดูถูกนะแต่ไร้ประสบการณ์แบบคุณจะคิดแผนนั่นคนเดียวได้หรือ ถึงงั้นก็ช่างเถอะเพราะผลลัพธ์มันดีพ่อผมพอใจมาก ให้รู้ซะบ้างอย่าแหย็มใส่บุหรงกาญจน์”

“ผมยังติดใจบางอย่างขอถามได้ไหมครับ ทำไมดูคุณวิจะอาฆาตอิงยิ่งกว่าผมซะอีก ทั้งที่เป็นลูกพ่อโกศลเหมือนกันแถมผมยังจะขึ้นเป็นประธาน ควรแค้นผมมากกว่าสิ”

“ช่างสังเกตพอตัวนี่ ก็นะรายนั้นเกลียดน้าวาดแม่ยัยอิงมากกว่าแม่คุณ จะลามมาเขม่นตัวลูกสาวด้วยคงไม่แปลก”

“ทำไมเป็นอย่างนั้นล่ะครับ”

“จะว่าไปตอนนั้นคุณยังเด็กแล้วอยู่ด้วยกันแค่ไม่กี่ปีคงไม่ค่อยรู้อะไร น้าวาดร้ายพอตัวเชียวนะ ไม่งั้นจะเอาตัวเข้าบ้านข้ามหน้าคุณวิที่คัดค้านหัวชนฝาได้ยังไง คุณวิถึงต้องดึงแม่กับคุณกลับบ้านหวังเอาเป็นพวก แต่ป้าผกาดันหัวอ่อนยอมทุกคนไปหมด” ปวินท์หยุดคำเมื่อเห็นอีกฝ่ายเม้มริมฝีปาก ข้ามไปคุยต่ออย่างลื่นไหล “อีกทีก็ตอนอากงทุบบ้านเก่าแล้วแยกที่อยู่กัน ช่วงนั้นคาบเกี่ยวอิงจะย้ายโรงเรียนเข้ามัธยมที่ใหม่พอดี แม่ลูกสองคนเลยขอไปอยู่คอนโดแถวโรงเรียน แต่ตอนอิงใกล้จบมัธยมน้าวาดเกิดเส้นเลือดโป่งพองแตกจนตายกะทันหัน ทีนี้แหละสนุก…”

 

ภายในห้องรับแขกของบ้านโกศล ปวินท์นั่งเหยียดขาบนเก้าอี้โซฟาหลุยส์ แอบบ่นในใจเพราะอาศลเรียกประชุมครอบครัวอย่างรีบด่วนแต่พ่อเจ็บสะโพก เลยส่งเขามาเป็นตัวแทนทำเรื่องน่าเบื่อ ยังดีมีอาสุอยู่ร่วมทุกข์ครั้งนี้ด้วย ทางครอบครัวของภวัตเนื่องจากภวัตยังเด็กส่วนตัวพ่อก็อยู่สถานพักฟื้นจึงต้องยกเว้นไป

ข้างหลังห้องมีภาพถ่ายติดผนังขนาดใหญ่ เป็นรูปเทวิกาคล้องแขนโกศลยิ้มแย้มมีความสุข แต่ยามนี้ตัวจริงทั้งคู่ต่างยืนประจันกันเบื้องหน้ารูป บรรยากาศรอบข้างแทบลุกเป็นไฟ ปวินท์พอทราบความนัยบ้างแล้วจึงนั่งจิบน้ำรอชมละครฉากยักษ์

‘ให้อิงพักคอนโดต่อไปก็ได้ คุณจะเอากลับมาอยู่ที่นี่ทำไม’

‘พูดอะไรคิดบ้างสิคุณ อิงยังไม่จบมัธยมด้วยซ้ำจะอยู่คนเดียวได้ยังไง’

‘ที่โรงเรียนมีหอสำหรับเด็กที่เรียนประจำ ย้ายอิงไปก็ได้ พอเข้ามหา’ ลัยค่อยย้ายกลับมาอยู่คอนโดเหมือนเดิม’

‘ผมอธิบายหลายครั้งแล้วนะ เมื่อวาดจันทร์เสียอิงต้องอยู่คนเดียวผมทนไม่ได้ เป็นพ่อก็ควรปกป้องดูแลลูกปล่อยไกลหูไกลตาตามลำพังได้ยังไง แล้วทำไมต้องบังคับจะคุยให้ได้ตอนนี้ด้วยล่ะ เพิ่งจัดงานเผาวาดจันทร์เมื่อวานแท้ๆ’

ปวินท์เหล่มองวิมลินผู้นั่งกอดภาพมารดายังโซฟาอีกตัว หน้าซีดลงทุกครั้งที่การโต้เถียงลุกลามขึ้นเรื่อยๆ ปกติเขาไม่ค่อยอินังขังขอบใครนักแต่ยังอดสงสารเธอไม่ได้ ถ้าวาดจันทร์มีชีวิตอยู่คงได้ยินคำกระแนะกระแหนตอกกลับไปบ้าง ทว่าเด็กสาวเพิ่งย่างสิบเจ็ดอย่างวิมลินจะไปมีพิษสงอะไร

‘ไม่มีทาง ฉันไม่ยอม!’

ปวินท์แอบเหลือกตามองฟ้า น่ารำคาญผู้หญิงไร้เหตุผล ตัวเองมีทายาทสืบสกุลให้สามีไม่ได้แต่ยังคอยระรานลูกจากภรรยาอื่นตลอด สงสารอาศลที่ต้องแต่งกับผู้หญิงเห็นแก่ตัว

หากถกเรื่องนี้กับแฟนคนล่าสุดเขาคงโดนด่าหาว่าเอาเปรียบเพศแม่ ผู้หญิงไม่ใช่เครื่องมือผลิตลูกให้ฝ่ายชาย แต่ปวินท์หรือจะสนใจ เรื่องมากนักก็ต่างคนต่างไป

เหตุการณ์เบื้องหน้าเขา เทวิกายังเอาแต่ตวาดซ้ำๆ ใส่สามี ‘คุณเลือกเอา ในบ้านหลังนี้ถ้ามียัยอิงก็ไม่มีฉัน!’

‘งั้นเชิญเก็บข้าวของไปได้เลย หนังสือหย่าผมจะส่งตามทีหลัง!’ ราวกับคำพูดยังรุนแรงไม่พอ ท่ามกลางความตกตะลึงของภรรยา โกศลก็เสริมอีกประโยค ‘อิงต้องอยู่บ้านหลังนี้ เพราะผมจะคอยสอนให้เธอเหมาะสมกับการเป็นทายาทของบุหรงกาญจน์คนต่อไป!’

‘พ่อคะ!’ วิมลินร้องเสียงหลงเมื่อได้ยิน มือที่จับภาพมารดาอยู่เกร็งแน่นจนข้อนิ้วขาวโพลน

โกศลทำท่าสำนึกเสียใจไปทางบุตรสาว ‘ขอโทษนะอิง พ่อเคยคิดจะคุยกับเราก่อน แต่ก็…ช่างเถอะ ยังไงเราก็เป็นทายาทเพียงคนเดียวของพ่ออยู่แล้ว ช้าหรือเร็วเท่านั้น’

ปวินท์ขมวดคิ้ว หลังผกาพาลูกชายหนีออกจากบ้านอาศลก็เหลือแค่สองทางเลือก หากไม่ยกตำแหน่งให้พ่อเขาก็ต้องดันลูกสาวตัวเองขึ้น เมื่ออาศลเลือกทางนี้จึงไม่น่าแปลกใจนัก แต่พอนึกว่าอนาคตต้องทำงานใต้ชายกระโปรงผู้หญิง อารมณ์กลับขุ่นมัวแปลกๆ

เทวิกายืนตัวสั่น แล้วโถมเข้าตบหน้าโกศลจนหัวสะบัด ประธานบุหรงกาญจน์เซถลาโชคดีจับตู้ไซด์บอร์ดที่วางชิดผนังไว้ทันจึงไม่ล้ม แต่ม้ากระเบื้องที่ตั้งโชว์บนนั้นหล่นกระแทกพื้นแตกละเอียด เขารีบปรามหลายคนที่จะถลันมาช่วย

‘ไม่ต้องเข้าใกล้เดี๋ยวโดนกระเบื้องบาดเอา’ พลางกุมแก้มที่เริ่มขึ้นรอยแดง เอ่ยกับตัวการ ‘พอใจรึยังล่ะ’

ผู้ที่กำลังจะกลายเป็นอดีตภรรยาของเขายืนหอบ ‘ฉันจะบอกที่บ้าน ให้ยกเลิกทุกอย่างที่เคยทำไว้กับบุหรงกาญจน์!’

ปวินท์นิ่วหน้า แม้อีกตั้งปีเขาถึงเรียนจบสามารถเข้าทำงานในบริษัท แต่ก็พอจะรู้นั่นหมายถึงความเสียหายขนาดไหน ทว่าโกศลกลับโต้ตอบแบบไม่สะทกสะท้าน

‘เชิญเลย แล้วรีบทำซะด้วยนะ ถ้าชักช้าเดี๋ยวทางบุหรงกาญจน์จะช่วยยกเลิกแทนเอง!’

ครั้นแน่ใจว่าสามีเอาจริง เทวิกาพลันช็อกตัวแข็งทื่อ ที่ผ่านมาหากเธอขู่ด้วยวิธีนี้ทีไรเขาจะโอนอ่อนทุกครั้ง แต่จู่ๆ เหมือนโลกพลิกกลับตาลปัตร ซัดเธอล้มคว่ำไม่เป็นท่า!

ทางด้านสุขุมาล หลังหายตกตะลึงก็ส่งสายตาเห็นใจให้เทวิกา จากนั้นลองเลียบเคียงถามพี่ชายคนละแม่ ‘พี่ศลแน่ใจหรือคะ ทบทวนใหม่สักครั้งไหม’

‘ทบทวนใหม่? แล้วคิดว่าพี่เรียกพวกเรามาที่นี่เพื่อดูพี่ทะเลาะกันหรือไง’

สุขุมาลชะงักพลางลอบสบตาปวินท์ ที่แท้โกศลเรียกญาติๆ มาเป็นพยานรับรู้ทั้งเรื่องการหย่าและการสืบทอดทายาท เขาเตรียมพร้อมไว้แล้วว่าผลลัพธ์ต้องออกมารูปแบบนี้!

โกศลตรงเข้าพยุงบุตรสาวลุกยืน วิมลินยังเบิกตากว้างประหนึ่งไม่แน่ใจเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นตรงหน้า มือยังถือภาพมารดาไม่ยอมปล่อย ผู้เป็นบิดาลูบหัวเธอ เอ่ยเสียงแผ่ว

‘ไปกับพ่อนะอิง ไปดูห้องที่พ่อเตรียมไว้ให้’

ท่ามกลางสายตาทุกคนที่จ้องมอง โกศลก็จูงสาวน้อยออกจากห้อง ได้ยินเขาสั่งการแม่บ้านที่คอยรับใช้แถวนั้นอยู่แว่วๆ ‘เก็บกวาดเศษกระเบื้องในห้องรับแขกให้เรียบร้อย อ้อ…รูปติดผนังใบใหญ่นั่นน่ะปลดลงแล้วเอาไปเก็บซะ ไม่สิ…เผาทิ้งเลยดีกว่า!’

เทวิกาหันขวับจ้องรูปตัวเองกับว่าที่อดีตสามีบนผนัง ก่อนทรุดตัวกระแทกพื้นอย่างหมดท่า ฝ่ายบุหรงกาญจน์ต่างเมินหน้าจากเสียงร้องไห้ พูดอะไรไม่ออกเลยสักคน

 

“พวกเราเลยแตกหักกับทางคุณวิตั้งแต่นั้น” ปวินท์สรุปให้เจคฟัง “ตอนแรกพ่อผมรู้เรื่องงี้โกรธควันออกหู กลัวบุหรงกาญจน์เสียหายหนัก แต่แล้วอาศลก็ทยอยเอาบริษัทอื่นเข้ามารับงานแทนครอบครัวคุณวิที่ถอนตัวไปแบบไม่มีสะดุด เราถึงมารู้ทีหลัง อาศลเตรียมการไว้ล่วงหน้าทั้งหมด แม้จะมีความเสียหายตอนเปลี่ยนถ่ายบ้างแต่ถือว่าบุหรงกาญจน์ฟื้นตัวเร็วมาก พูดแล้วเสียดายอาศล คนเก่งๆ ไม่น่าอายุสั้น”

เจคฝืนยิ้ม “แต่มุมมองผม ทำกับภรรยาที่อยู่กินมานานขนาดนั้น มันใจร้ายแล้วก็เลือดเย็นซะมากกว่า”

“พูดจนดูแย่เลย ก็แค่รู้จักหาทางหนีทีไล่ นักธุรกิจเก่งๆ ต้องหัดคิดแบบนั้นนะ นายควรเรียนรู้ไว้”

อีกฝ่ายไม่ตอบนอกจากนึกในใจ หากนับเฉพาะนิสัยมองเพียงผลประโยชน์ตัวเอง คนตรงหน้าเหมือนโกศลยิ่งกว่าลูกแท้ๆ เสียอีก

“แล้วจะมัวอยู่นี่ทำไม ขึ้นข้างบนเถอะน่า” ปวินท์คุยต่อ

“ผมขอรออิงอีกหน่อยครับ อยากดูแลเธอบ้าง…ในฐานะพี่ชาย”

แม้สำหรับวิมลินเขาจะเป็นได้แค่พี่ชายกำมะลอ แต่เจคอยากทดแทนช่วงเวลาที่เธอสูญเสียพี่ชายไปสิบกว่าปี หากเขายังอยู่ที่นี่ก็ต้องการปกป้องวิมลินในแบบของน้องสาวคนหนึ่ง

ใช่…แค่น้องสาวเท่านั้น ชายหนุ่มย้ำกับตัวเอง

ปวินท์หัวเราะ “คุณทำซะผมแอบอายเลย ก็ผมเป็นพี่ชายที่ไม่ได้เรื่องยัยปริ้นเซสบ่นประจำ คุณจำเธอได้ไหม”

“คลับคล้ายคลับคลาเธอเคยทะเลาะกับอิงเรื่องแย่งตุ๊กตา”

“มีด้วยเหรอ” ปวินท์ผู้อยู่ในเหตุการณ์แท้ๆ กลับลืมสนิท “ด้วยนิสัยยัยนั่นก็เข้าเค้าอยู่นะ แต่เธอกำลังเรียนเมืองนอกคงไม่กลับมาระรานอิงเขาเร็วๆ นี้หรอก สบายใจได้”

ถึงกระนั้นสุดท้ายก็ต้องกลับมาอยู่ดีใช่ไหม เจคคิดอย่างเหนื่อยหน่าย

หลังคะยั้นคะยอชวนขึ้นไปพักอย่างไรเจคยังยืนกรานเหมือนเดิมปวินท์จึงยอมแพ้ พลิกนาฬิกาข้อมือดูเวลาแล้วกำชับ “อีกครึ่งชั่วโมงก็เรียกอิงเข้ามาได้แล้วนะ มีนัดญาติกินเลี้ยงมื้อกลางวัน”

เจคเอนหลังพิงกำแพงมองอีกฝ่ายหายเข้าลิฟต์ ริมฝีปากเม้มตึงแทบเป็นเส้นตรง บุหรงกาญจน์นี่มันดงนกยูงหรือเสือสิงห์กระทิงแรดกันแน่!

อันที่จริงย่อมไม่ใช่ธุระของเขา ผู้ซึ่งอีกไม่นานก็จะหนีจากแบบไม่คิดหันหลังกลับ ทว่าวิมลินยังคงต้องใช้ชีวิตกับคนพวกนี้ต่อไป…ตามลำพัง

รอบกายไม่มีกระจกเงาหรือสิ่งใดสามารถใช้ทดแทน ไม่เช่นนั้นเจคอาจเห็นเงาตนเองกำลังขมวดคิ้วมุ่นจนแทบผูกเป็นโบได้อยู่แล้ว



Don`t copy text!