หน้ากากมยุเรศ บทที่ 7 : รอยแผลจากอดีต (2)

หน้ากากมยุเรศ บทที่ 7 : รอยแผลจากอดีต (2)

โดย : สิตา

Loading

หน้ากากมยุเรศ นวนิยายโรแมนติกดราม่า โดย สิตา ผู้ที่เคยได้รับรางวัลชนะเลิศในโครงการ อ่านเอาก้าวแรก ปี 2 ในนามปากกา “เยว่หวา” ที่ครั้งนี้ เธอขอพาทุกคนสู่การเฉือดเฉือนในวงการธุรกิจของครอบครัวบุหรงกาญจน์ ที่ต่างฝ่ายต่างสวมหน้ากากปิดบังเป้าหมายในใจ ผลลัพธ์จะเป็นอย่างที่คาดเดาหรือหักมุม อ่านออนไลน์กันได้ที่ anowl.co

วิมลินลืมตาตื่นบนที่นอนอีกครั้งก็กลายเป็นช่วงสายของวันใหม่

เมื่อวานเกิดเหตุการณ์มากมาย ตั้งแต่พาเจคไปแนะนำตัวที่บริษัท เทวิกาตามมาระราน แก้ปัญหาให้โปรดปราน จนกระทั่งถึงงานเลี้ยงมื้อกลางวันที่ลากยาวเปลี่ยนร้านไปกินมื้อเย็นกันต่อเพราะบรรดาญาติๆ ต่างติดลมบน กว่าเธอจะนำเจคกลับบ้านก็ย่ำค่ำ วิมลินทั้งเหนื่อยทั้งล้าจึงแค่เรียกแม่บ้านคนงานมาแนะนำตัวเจค ทางนั้นได้รับแจ้งไว้ล่วงหน้าแล้วขั้นตอนนี้เลยผ่านไปอย่างราบรื่น ช่วยกันลากกระเป๋าเจคไปถึงห้องนอนบนชั้นสองที่เตรียมไว้ ชี้บอกห้องนอนเธอซึ่งอยู่ห่างไปสามห้องพร้อมสั่งว่าต้องการอะไรโทรศัพท์เรียกแม่บ้านได้ ก่อนแยกย้ายกันทั้งอย่างนั้น

หญิงสาวนอนนิ่งๆ ท่าเดิม แม้หลับเต็มอิ่มจนหายเหนื่อยแต่ความล้าซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องด้านร่างกายยังเกาะกุมในส่วนลึก ถ่วงจนไม่อยากขยับตัว แต่แล้วก็มีเสียงเคาะประตูพร้อมเสียงแม่บ้านที่เอ่ยลอดเข้ามาด้วยความเกรงใจ

“คุณอิงตื่นหรือยังคะ”

“เพิ่งตื่น” ลุกนั่งห้อยเท้าข้างเตียง “กี่โมงแล้วนี่”

ครั้นแม่บ้านตอบคำถามวิมลินถึงเข้าใจทำไมฝ่ายนั้นตัดสินใจขึ้นมาปลุก เพราะเธอสายเลยเวลาตื่นตามปกติไปมาก ยังดีวันนี้เป็นวันหยุด รีบสั่งก่อนลุกเข้าห้องน้ำ

“อาหารเช้าที่เตรียมไว้ย้ายไปเสิร์ฟในครัวเล็กทีนะ”

ตำแหน่งห้องนอนวิมลินตั้งสุดฝั่งหนึ่งของคฤหาสน์ มีบันไดวนเป็นทางลัดลงสู่ครัวเล็กที่เจคเคยมาทำอาหารให้กิน ถัดจากครัวเป็นห้องนั่งเล่นส่วนตัวของเธอ หญิงสาวตกแต่งมันขึ้นเองจากห้องโถงเล็กๆ ซึ่งเคยเป็นแค่ส่วนต่อทางเดินที่ทะลุไปสวนด้านหลัง และชอบมากจนขลุกอยู่ในนั้นบ่อยๆ แทบจะใช้แทนห้องทำงานขนาดใหญ่ที่อยู่ติดห้องนอนบนชั้นสองด้วยซ้ำ จนทุกคนในบ้านรู้ดีว่าบริเวณริมสุดทางปีกขวาของบ้านคือพื้นที่ส่วนตัวของวิมลิน

อาหารเช้าวันนี้เป็นพวกขนมปังไข่ดาวพร้อมน้ำส้ม เธอกินสองสามคำก็ตื้อจนต้องหยุด ฝืนจิบน้ำส้มแล้วเพิ่งนึกขึ้นได้ รีบถามแม่บ้าน

“คุณเจคล่ะ” แอบบ่นใส่ตัวเอง ถึงจะล้าแค่ไหนก็ไม่ควรลืมว่ายังมีคนทั้งคนอยู่ด้วยสิ!

“ตื่นตั้งแต่เจ็ดโมงค่ะ กินมื้อเช้าเสร็จก็เดินเล่นในสวนยังไม่กลับเข้ามา” มองจานอาหาร “คุณอิงจะทานแค่นี้หรือคะ รับอะไรเพิ่มไหมคะ”

เธอส่ายหน้าพลางทำมือบอกให้เก็บภาชนะกลับไป ตัวเองเดินเข้าห้องนั่งเล่น ใช้มือแหวกม่านบังประตูซึ่งเชื่อมระหว่างห้องนั่งเล่นกับสวน ถ้าไม่นับสระว่ายน้ำที่ตั้งทางอีกฝั่งของตัวบ้านแล้ว พื้นที่ด้านหลังส่วนที่เหลือเป็นสวนทั้งหมด ชายคนซึ่งเธอมองหากำลังเดินเล่นอย่างเพลิดเพลิน ดูเขาจะชอบพวกต้นไม้ใบหญ้ามาก คงเพราะใช้ชีวิตที่ประเทศอันมีธรรมชาติอุดมสมบูรณ์แห่งหนึ่งของโลก และอาจรวมถึงนิสัยเขา ในประวัติของชายหนุ่ม ยามว่างจากการทำงานก็มักชอบเที่ยวป่าปีนเขาเป็นงานอดิเรก พอต้องมาใช้ชีวิตในเมืองซึ่งเน้นตึกมากกว่าต้นไม้จึงอึดอัด มิน่าถึงติดใจสวนนกยูงนัก

ครั้นนึกถึงสวนนกยูงหญิงสาวก็เผลอขมวดคิ้วน้อยๆ เมื่อวานเธอขออยู่ตามลำพังในสวนนั่น ส่วนหนึ่งเพราะอยากหลบหน้าเขาผู้ทำท่าอยากซักไซ้หลายเรื่อง ทำเอาคนที่มีความลับเป็นชนักติดหลังหงุดหงิด

กำลังคิดเพลินๆ เจคกลับหันมาทางนี้พอดี สบตาเธอจากระยะไกลพลางโบกมือให้ วิมลินผู้แอบนินทาเขาอยู่ตกใจรีบรวบม่านปิด ก่อนรู้สึกตัวไม่ควรทำราวจะหลบหน้าเขา จึงเดินออกจากห้องไปจนถึงบันไดหลักของบ้านซึ่งทำเป็นรูปโค้งมนจากชั้นสองลงมา ใต้บันไดมีประตูบานคู่เปิดสู่สวนด้านหลัง ชายหนุ่มกำลังกลับเข้ามาพอดี คาดว่าตอนเช้าเขาคงใช้ทางนี้ออกไปเช่นกัน เพราะจากห้องนอนเขาเดินไม่กี่ก้าวก็ถึงบันไดหลัก

“กินข้าวเช้าหรือยัง” เจคทักง่ายๆ ไร้ทีท่าใส่ใจกริยาวิมลินเมื่อครู่

“เรียบร้อยค่ะ ขอโทษที่ตื่นสายคุณเลยต้องไปสวนฆ่าเวลา”

“ไม่หรอก อยากออกกำลังพอดีเลย”

“ถ้าจะออกกำลังที่นี่มีห้องฟิตเนส” พูดจบค่อยเอะใจ เธอยังไม่เคยพาเขาทำความรู้จักสถานที่ซึ่งต้องอาศัยอยู่อีกหลายเดือน บกพร่องมากในฐานะเจ้าบ้าน “ฉันขอพาเดินชมบ้านนะ”

เจครับคำอย่างกระตือรือร้น เธอจึงพาขึ้นบันไดเริ่มจากชั้นสอง

“ระหว่างห้องฉันกับคุณเป็นห้องนอนแขก ส่วนริมสุดอีกทางนั่นพอคุณวิย้ายออกก็ปล่อยไว้เฉยๆ ตรงกลางคือห้องคุณพ่อ” ใช้กุญแจที่เอาจากแม่บ้านเปิดประตูเข้าไป “ฉันจะพาไปดูห้องแต่งตัวของพ่อ เพราะคุณอาจต้องยืมของในนั้นไปใช้บ้างได้ไม่ต้องซื้อใหม่”

ห้องแต่งตัวของโกศลยังใหญ่กว่าห้องนอนเจคที่นิวซีแลนด์เสียอีก นอกจากพวกเสื้อผ้ารองเท้าก็มีเหล่าเครื่องประดับสำหรับชุดสูท เช่น มันนี่คลิป คัฟลิงค์ เข็มหนีบไท เข็มกลัดสูท ซึ่งส่วนใหญ่เจคแทบไม่เคยเห็นด้วยซ้ำ ทำเอาตาลายจนเผลอหลุดปาก

“ทำไมต้องมีของเยอะแยะวุ่นวายแบบนี้”

“ภาพลักษณ์ผู้บริหารก็นับเป็นสินค้านะคะ เพราะงั้นฉันแนะนำให้ใส่นี่”

วิมลินเปิดลิ้นชักทางด้านข้าง มีถาดบุกำมะหยี่สำหรับวางนาฬิกาโดยเฉพาะ แม้ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญมองปราดเดียวก็พอรู้มูลค่าแต่ละเรือน เจคถอยกรูด

“ไม่เอา เกิดเผลอทำเป็นรอยใช้หนี้ทั้งชาติยังไม่หมด”

“งั้นฉันยกให้เลยสักเรือนไหม ยังไงหลังจากนี้ก็ต้องขายทิ้งไม่ก็ยกให้ลุงเสริฐกับ…”

เพิ่งพูดได้ครึ่งทางฝ่ายนั้นก็เผ่นแน่บแถมลงบันไดไปรอชั้นล่างเสร็จสรรพ วิมลินต้องเลยตามเลยแนะนำชั้นล่างต่อ เจคเดินทอดน่องช้าๆ คอยฟังเธอแต่ไม่เคยหยุดสำรวจห้องไหนเลย การเดินชมบ้านจึงผ่านไปค่อนข้างเร็วจนมาที่ห้องรับแขกหลัก ชายหนุ่มถึงรั้งฝีเท้าลงเป็นครั้งแรก ยืนนิ่งอยู่เบื้องหน้ารูปถ่ายของผกาบนตู้ไซด์บอร์ดขนาดยาวชิดผนัง วิมลินปรารภ

“ฉันเอามาตั้งไว้เอง ให้ช่างขยายจากรูปเก่าแล้วทำให้คมชัดขึ้น”

เจคหยิบขึ้นพินิจใกล้ๆ นิ้วโป้งไล้ตามแก้มผกาในรูปราวอยากปัดแป้งสาลีที่เลอะอยู่ให้ คลี่ยิ้มอ่อนโยนอย่างที่วิมลินไม่เคยเจอเขาทำกับใคร

“ผมไม่เห็นหน้าแม่ผกาด้วยตาตัวเองหลายปีมาก รูปที่เคยมีโดนไฟไหม้หมด”

หญิงสาวนิ่งคิด ตัดสินใจเปิดตู้ไซด์บอร์ดหยิบของในนั้นออกมา “รูปป้าผกาฉันเอามาจากอัลบั้มเก่านี่ แล้วเก็บไว้ก่อนเผื่อรูปที่ทำมาไม่สวยจะได้เลือกรูปใหม่ ยังมีรูปป้าอีกหลายใบอยากดูไหม”

เจครับคำทันควัน พลิกอัลบั้มไปทีละหน้าอย่างกระหาย “ผมขอเอาไปดูในห้องได้ไหม”

“ตามสบายเลย ถ้าอยากได้รูปป้าผกาใบไหนก็บอก ฉันจะสั่งช่างอัดเพิ่ม”

เขากอดอัลบั้มแนบอก หากออกอาการมากอีกนิดคงกระโดดไปมาอย่างดีอกดีใจแล้ว วิมลินนึกขำ จะมอบนาฬิกาเรือนล้านดันเผ่นหนีคล้ายเธอยื่นไส้เดือนกิ้งกือให้ แต่แค่รูปไม่กี่ใบ…กลับยิ้มแป้นเหมือนเด็กได้ของขวัญถูกใจ

แววตาวิมลินอ่อนละมุนลง ขณะเดียวกับที่ชายหนุ่มหันสำรวจซ้ายขวา เปรยอย่างหลากใจ “ทำไมผมเพิ่งเจอรูปแม่ผกากับคุณแม่คุณแค่ตรงนี้ล่ะ แถวอื่นยังเห็นรูปพ่อกับตัวคุณเองบ้าง”

หญิงสาวผินหน้าไปด้านข้าง หยุดสายตายังรูปของวาดจันทร์ที่วางเหนือตู้ไซด์บอร์ดอีกฝั่ง ภาพทุกใบของวาดจันทร์ล้วนมีรอยยิ้มประดับไว้เสมอ แม่เองก็เคยรำพึงขำๆ ให้เธอหัดยิ้มเยอะกว่านี้บ้าง เดี๋ยวคนหาว่าแม่ขโมยรอยยิ้มเธอไปเสียหมด ยามนั้นวิมลินแค่ส่ายหน้าตอบมารดา

เวลานี้ถึงเพิ่งตระหนัก เธอควรจะยิ้มให้แม่มากๆ เพราะสำหรับคนที่รัก…ยิ้มสักกี่ล้านครั้งล้วนไม่เคยเพียงพอ

วิมลินกวาดมองทั่วห้องรับแขกที่ตกแต่งสไตล์หลุยส์ ไม่ใกล้เคียงรสนิยมเธอแม้แต่น้อย “ตอนฉันย้ายมาอยู่ที่นี่แรกๆ รู้สึกบ้านหลังนี้…มีกลิ่นอายคุณวิอยู่แทบทุกอนูของบ้านเลย มันไม่ใช่ที่ของฉัน…ไม่ใช่ที่ของแม่ เลยไม่คิดจะวางรูปแม่นอกจากในห้องนอน อีกอย่างถ้าจะวางก็ควรวางรูปป้าผกาไว้ด้วยใช่ไหม แต่พ่อคงไม่ชอบใจ”

“จนคุณเปลี่ยนใจหลังคุณพ่อเสียงั้นหรือ”

เธอกลับส่ายหน้า “ฉันเปลี่ยนใจเพราะรู้ว่าป้าผกากับพี่แคนไม่อยู่แล้วต่างหาก เลยอยากวางรูปไว้เป็นที่ระลึก”

แววตาเจคอ่อนแสงลง “ขอบคุณ…คือผมขอบคุณแทนพวกเขาด้วย”

“ขอบคุณทำไมคะ ที่จริงฉันควรทำมันก่อนหน้านี้เสียด้วยซ้ำ” หญิงสาวเบือนศีรษะหนี เห็นเพียงหางตาไหวระริก “จังหวะในชีวิตฉันนี่ ทำอะไรก็ช้าไปก้าวหนึ่งตลอด”

วิมลินเริ่มเดินต่อคล้ายอยากจบบทสนทนา บรรยากาศอึมครึมคงค้างอยู่ชั่วครู่จนเธอเริ่มนำชมบ้านอีกครั้ง ท่าทีหญิงสาวก็กลับเป็นปกติแล้ว

เนื่องจากเริ่มแนะนำจากด้านหลังบ้านขึ้นมาทางด้านหน้า ทริปครั้งนี้จึงจบลงที่โถงประตูทางเข้าออกหลักของบ้าน โถงวงกลมติดโคมไฟระย้าคริสตัลห้อยตัวจากเพดาน พื้นเป็นหินขัดผสมเปลือกหอยมุก ผนังแขวนรูปยาวใบหนึ่ง รูปเก่าภาพขาวดำแต่รายละเอียดชัดเจน อากงนั่งบนเก้าอี้กลางภาพ ทางซ้ายเป็นอาม่าใหญ่กับลูกชายทั้งสองยืนขนาบ ทางขวาคืออาม่าเล็กและบุตรทั้งสาม รุ่นลูกยังเพิ่งเข้าช่วงวัยประถมกัน ทุกคนใบหน้าเรียบเฉย

วิมลินอธิบายเมื่อเจคเอาแต่จับจ้องภาพนั้น “ตอนอากงทุบบ้าน พ่อขอภาพจากบ้านเก่ามาติดที่นี่ เป็นภาพสุดท้ายที่ญาติรุ่นก่อนหน้าฉันถ่ายรูปร่วมกันครบทุกคน”

เขาพยักหน้ารับ เหล่มองแม่บ้านที่ทำความสะอาดแถวนั้นพลางกระซิบกับเธอ “พอมีที่ส่วนตัวคุยไหม”

อีกฝ่ายทราบเจตนาเขา และหญิงสาวทำใจไว้ล่วงหน้าแล้วจึงไม่คิดหลีกหนีอย่างเมื่อวาน นำทางเขากลับมายังห้องนั่งเล่น

“แถวนี้เป็นบริเวณส่วนตัวของฉัน แม่บ้านจะไม่มาป้วนเปี้ยนถ้าไม่มีคำสั่ง สบายใจได้”

เขาสำรวจห้องเที่ยวหนึ่งก่อนหยุดสายตาที่ม่านบังประตูซึ่งเปิดสู่สวน “เมื่อเช้าผมเห็นคุณแวบๆ ที่แท้ก็อยู่ในห้องนี้เอง”

คนฟังอ้ำอึ้ง ขณะกำลังนึกว่าควรแก้ตัวที่ปิดม่านใส่หน้าเขาไหมชายหนุ่มกลับถอยออกจากห้อง บอกทิ้งท้ายว่าขอเวลาสักครู่ ไม่นานก็กลับเข้ามาพร้อมถาดวางเหยือกและแก้วกาแฟสองใบ ยื่นใบหนึ่งแก่เธอผู้นั่งทางมุมซ้ายของโซฟารูปตัวแอล วิมลินจิบแล้วเลิกคิ้วสูง

“รสชาติเดียวกับกาแฟที่คุณเคยชงให้กินที่นิวซีแลนด์เลย”

เขาหย่อนตัวนั่งยังปลายโซฟาอีกด้าน “จำได้ว่าคุณชอบเลยขนกลับมาด้วย เก็บไว้ที่ครัวเล็กหน้าห้องนี่เอง”

วิมลินละเลียดกาแฟอีกครั้ง ยามกลิ่นหอมๆ อันเคยคุ้นอวลซ่าน ความอุ่นร้อนไหลล่วงสู่ลำคอ แปลก…คล้ายอาการว่างโหวงในท้องจะบรรเทาลง วิมลินยกดื่มจนเกลี้ยงแก้ว เป็นอย่างแรกของเช้านี้ที่เธอกินจนหมด

ชายหนุ่มสังเกตเงียบๆ เติมกาแฟให้ขณะพูด “อย่าหาว่าผมเอาแต่คุยซ้ำซากเลยนะ ผมมีคำถามเรื่องแผนจัดการที่ดินมูลนิธิของคุณอีกหน่อย”

อีกฝ่ายเคาะนิ้วกับหูจับแก้วกาแฟ “จะถามอะไรคะ”

“รูปที่โถงประตูทางเข้าทำให้นึกได้ เมื่อวานผมดูความสัมพันธ์ในครอบครัวคุณแล้วก็ไม่ได้แย่อะไรนัก พวกลุงเสริฐคุยง่ายถ้าต่อรองด้วยผลประโยชน์ ทางภวัตก็เป็นคนมีเหตุผล เหลือแค่อาสุ…คุณบอกเธอแค้นอาม่าใหญ่มาก แต่จากมุมของผมเธอก็ไม่น่าจะใช่คนที่เจรจายากอะไรนะ”

วิมลินเข้าใจ เจคพยายามเกลี้ยกล่อมให้ลองเปิดเผยเรื่องที่ดินแล้วใช้หุ้นบริษัทฯ ต่อรองเหมือนที่เคยคุยมาแล้วครั้งหนึ่ง

“คุณยกเรื่องความสัมพันธ์ครอบครัวมาโน้มน้าว แต่รู้ไหมคะเพราะอยากรักษาความสัมพันธ์นี่แหละฉันถึงต้องเลือกวิธีนี้” อีกฝ่ายทำท่างุนงงเธอจึงอธิบาย “ลองคิดดูสิคะ ถ้าฉันสารภาพกับลุงเสริฐอาสุว่ารู้เรื่องที่พวกเขาจะแอบขายที่ดินเลยอยากใช้หุ้นต่อรอง พวกเขาจะคิดยังไงกับฉัน”

เจคค่อยกระจ่าง “อาจโกรธหรือแค่หงุดหงิด แต่อย่างน้อยคงเสียหน้าที่ถูกเปิดโปงความลับ”

หญิงสาวผงกศีรษะ “ถ้าเรื่องลงเอยโดยทางนั้นเชื่อว่าเราผลักดันการขายที่ดินในที่ประชุมกรรมการเพราะความบังเอิญ พวกเขาอาจไม่พอใจสักพักก็จบเรื่องกันไป ความสัมพันธ์ในครอบครัวยังปรองดองเช่นเดิม นั่นจะดีที่สุด”

“คุณใส่ใจความรู้สึกทางฝั่งลูกอาม่าเล็กจังเลยนะ”

เธอดึงสายตาลงหลุบต่ำ “มีอีกเรื่องที่อยากบอกไว้ คุณอ้างถึงรูปตรงโถงทางเข้า จำได้ไหมอาสุช่วงอายุเท่านั้นทำผมทรงอะไร”

เจคมึนกับคำถามที่ดูจะไร้ที่มา แต่พยายามเค้นความจำตอบ “เปิดหน้าผากมัดหางม้าซะตึงเชียว”

“แล้วตอนนี้ล่ะคะ”

“ก็ผมดัดๆ ปัดข้างมาปิดหน้าผากซ้ายถึงแก้มเลย จำได้ตอนไล่อ่านประวัติกรรมการบริษัทหลายปีก็เห็นภาพเธอทำผมทรงนี้ตลอด แต่มันเกี่ยวอะไรกันเนี่ย”

“เกี่ยวสิคะ เพราะอาสุต้องทำผมแบบนั้นเพื่อบังรอยแผลเป็นข้างหน้าผากซ้ายก่อนถึงขมับนิดหนึ่ง” วิมลินยกนิ้วเคาะบอกตำแหน่งบนหน้าผากตนเอง “เกิดจากฝีมือลุงใหญ่สมัยก่อน แกอาละวาดด้วยภาวะออทิสติกจนพลั้งมือทำร้ายน้องสาวน้องชายคนละแม่ อาสุมีแผลเป็นติดตัวตลอดชีวิต ส่วนพ่อของพี่วัตบาดเจ็บแถวกระดูกสันหลัง เห็นว่าต้องกินยาแก้ปวดตลอดจนกระทั่งกลายเป็นคนติดยา”

เจคหวนนึกถึงภาพเด็กที่เคยอาละวาดในมูลนิธิ นั่นคือการปะทะกับผู้ใหญ่นะ แต่ถ้าเกิดอีกฝ่ายเด็กกว่าขึ้นมา…คิดแล้วสองมือพลันเย็นเยียบ “ถ้างั้นทางลุงใหญ่ล่ะ”

“ตอนเกิดเรื่องอาม่าเล็กโกรธมากคาดคั้นอากงต้องทำโทษลุงใหญ่อย่างหนัก แต่อาม่าใหญ่ไม่ยอม…หัวเด็ดตีนขาดก็ไม่ยอมให้แตะต้องลุงใหญ่แม้แต่ปลายเล็บ ฉันไม่รู้รายละเอียดลึกๆ ทราบแต่ว่าเรื่องจบลงโดยที่ลุงใหญ่ลอยตัวจากทุกปัญหา” เธอนิ่งอยู่สักพัก “รูปตรงโถงทางเข้าถ่ายก่อนเกิดเรื่องสองสามเดือน เลยเป็นครั้งสุดท้ายที่พวกเขาได้ถ่ายรูปร่วมกัน”

ชายหนุ่มเอนพิงโซฟาอย่างหมดแรง จากที่เขาเคยวิเคราะห์ ทางด้านประเสริฐน่าจะคุยง่ายถ้าใช้ผลประโยชน์ต่อรอง แต่ฝ่ายสุขุมาลล่ะ…สาวน้อยคนหนึ่งในวัยที่กำลังเริ่มรักสวยรักงาม จู่ๆ กลับมีแผลเป็นประทับบนใบหน้าไปตลอดชีวิต อีกทั้งต้องทนเห็นพี่ชายน้องชายรับความอยุติธรรมซ้ำแล้วซ้ำเล่าโดยช่วยอะไรไม่ได้สักอย่าง แต่แล้วหนทางแห่งการแก้แค้นก็เผยออกมาตรงหน้า คิดจะขอคนอย่างสุขุมาลให้อภัยเช่นนั้นหรือ…ฝันไปเถอะ!

วิมลินเคยเกริ่นบอกเรื่องนี้มันซับซ้อน เขาเพิ่งเข้าใจคำว่าซับซ้อนของเธอก็วันนี้

หญิงสาวจิบกาแฟพลางคุยต่อ “จนปัจจุบันอาสุก็ยังโทษว่าอาม่าเล็กตายหลังจากนั้นไม่กี่ปีเพราะตรอมใจ”

ประโยคดังกล่าวแทนหมัดน็อกที่เสยเจคหน้าหงายไปพาดหลังหัวกับพนักโซฟา “คุณคิดว่าทางฝั่งอาม่าเล็กไม่ได้รับความยุติธรรม ถึงใจดีกับทางนั้นมากละสิ”

“ฉันแค่ไม่อยากซ้ำรอยอาม่าใหญ่ เลยต้องการแก้ปัญหาโดยคำนึงถึงความรู้สึกอีกฝ่ายให้มาก ไม่ใช่สักแต่มองผลประโยชน์ฝั่งตัวเองอย่างเดียว”

แล้วจู่ๆ เขาพลันผงกศีรษะขึ้นจ้องเธอ “จากที่เจอมาอาสุต้องโกรธมากแน่ๆ พวกคุณพ่อลูกไม่เคยโดนเธอเขม่นจริงหรือ” เขาโน้มตัวเข้าหาพลางขมวดคิ้วใส่ “ถ้าเคยโดนต้องบอกผมนะ ห้ามปิดบัง”

แก้วกาแฟส่งความอบอุ่นสู่อุ้งมือวิมลิน แววตาหญิงสาวอ่อนแสงลง “ทางบ้านอาม่าเล็กไม่เคยระรานพวกฉันด้วยเหตุผลนั้นเลย เรื่องของแม่ไม่เกี่ยวกับลูก อาสุรู้จักแยกแยะค่ะ ฉันนับถือเธอในแง่นี้มาก” วิมลินส่ายหน้า “แต่เพราะรู้จักแยกแยะนี่แหละถึงน่ากลัว เมื่อสิ้นพ่อแล้วก็ไม่เหลือความเกรงใจกันอีก เธอต้องหาทางเอาคืนอาม่าใหญ่แน่ๆ แต่ไม่กล้าทำซึ่งหน้าเพราะยังเกรงใจพวกกรรมการ กรรมการชุดนี้ถ้าไม่ใช่ญาติจากทางสายอื่นก็เป็นผู้ใหญ่ที่เรานับถือกันมาแต่รุ่นอากง ไม่มีใครอยากเห็นอาม่าใหญ่เดือดร้อน”

“คุณเลยจะอาศัยอิทธิพลพวกเขา”

“ค่ะ ถ้าลุงเสริฐอาสุคิดว่าเรายกเรื่องที่ดินมูลนิธิมาพูดในที่ประชุมกรรมการด้วยความบังเอิญ เรื่องก็จบแบบไม่มีใครเสียหน้า แต่ถ้าเราพยายามเจรจากับพวกเขาหรือเอาเรื่องไปฟ้องกรรมการ อาสุอาจเปลี่ยนใจแก้แค้นแบบซึ่งหน้ากันเลยเพราะไม่มีอะไรให้เสียแล้ว ฉันไม่เก่งพอจะปกป้องอาม่าในสถานการณ์เช่นนั้นหรอก”

“แต่จบเรื่องพวกเขาอาจหาทางใหม่ๆ มาเอาคืน”

“คิดว่าอาม่าจะอยู่ให้พวกเขาใช้แผนได้อีกสักกี่ครั้งกัน”

ถ้าเป็นการแข่งหมากรุกวิมลินคงอุดทางหนีเขาครบทุกเส้นแล้ว เจคยอมจำนนด้วยการเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “คุณปริ้นเล่าเรื่องที่คุณทำพลาดจนไร้โอกาสเป็นทายาทให้ผมฟังหมดแล้วนะ”

“ฉันทราบค่ะ”

“หือ รู้ได้ไง”

“เมื่อวานตอนคุณวิพูดถึงนุ้ยเพื่อนฉันคุณไม่มีอาการประหลาดใจสักนิด อีกอย่างทางลุงเสริฐคงอยากดึงคุณไปเป็นพวกหรืออย่างน้อยก็สร้างความแคลงใจระหว่างเรา พี่ปริ้นอุตส่าห์ได้อยู่กับคุณตามลำพังคงพูดถึงความผิดพลาดของฉันไว้แน่ๆ”

“ครอบครัวคุณนี่ไก่เห็นตีนงูงูเห็นนมไก่กันจริงๆ ฝั่งนั้นเขาก็รู้หมดแล้วนะ ที่คุณแอบสอนผมออกหน้าทำแฟชั่นโชว์”

“เดาไม่ได้สิแปลก แต่ทางนั้นจะไม่มีวันกระโตกกระตาก เพราะสำหรับพวกเขาให้คุณได้เครดิตงานนี้ย่อมดีกว่าฉัน คุณจะขึ้นเป็นประธานนี่คะ ไม่มีใครอยากถูกมองว่าเลือกคนไร้ความสามารถมาเป็นเจ้านายหรอก”

ชายหนุ่มกอดอก “คุณเก่งนะ คนภายนอกอาจมองว่าพ่อวางตัวคุณเป็นทายาทเพราะไม่มีตัวเลือกอื่น แต่ผมว่าไม่ใช่ เพราะถ้าเป็นผมก็คงเลือกคุณเหมือนกัน แล้วคนเก่งแบบคุณจะพลาดท่าให้เพื่อนสนิทขนาดนั้นเชียวหรือ มันต้องมีเบื้องหลังแน่ๆ”

เสี้ยววินาทีนั้น แววตาเธอพลันไหวระริกปานระลอกคลื่นก่อนหยุดลงปุบปับ นิ่งสนิทราวบ่อน้ำลึกจนมองไม่เห็นก้น “ฉันเคยเชื่อนุ้ยจนหมดหัวใจจริงๆ นะ คุณเคยมีไหม เพื่อนสนิทที่คบกันมาแต่เด็ก เพื่อนที่ซนจนโดนตีด้วยกัน เพื่อนที่กระซิบความลับกันแค่สองคน เพื่อนที่อยู่ด้วยตอนมีรักครั้งแรก…อกหักครั้งแรก เพื่อนที่กอดคุณและร้องไห้ทุกวันในงานศพแม่” วิมลินสอดนิ้วประกบกันจนแน่น “หากเพื่อนคนนั้นเอ่ยปากขอความช่วยเหลือ…คุณจะปฏิเสธหรือ”

“เกมธุรกิจมันมีมิตรแท้ศัตรูถาวรซะที่ไหน เดิมพันสูงขนาดนั้นควรหาทางหนีทีไล่ไว้บ้าง ชะล่าใจแบบนี้ไม่เหมือนตัวคุณเลย” พูดจบอีกฝ่ายกลับจ้องเขาด้วยแววตาประหลาดจนชักร้อนตัว “ทำไมมองอย่างนี้ล่ะ”

“ขอโทษค่ะแค่แปลกใจ คุณพูดคล้ายๆ พ่อตอนนั้นเลย ท่านเอาแต่เตือนว่าอย่าประมาท ห้ามเชื่อใจใครแม้แต่เพื่อนสนิท เพราะถ้าพลาดเราจะกลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้เลย ฉันตอบพ่อยังไงรู้ไหม”

เจคส่ายหัว วิมลินจึงเอ่ยเนิบนาบ

“ฉันพูดกับพ่อ ประธานบุหรงกาญจน์คือตำแหน่งอันทรงทั้งเกียรติและอำนาจอย่างไร้ข้อแม้ หนทางฟันฝ่าขึ้นไปย่อมยากลำบากมาก แต่ถ้าฉันพยายามเลือดตาแทบกระเด็นเพื่อคว้ามันมา ตำแหน่งที่ขอแค่เชื่อใจเพื่อนสนิทสักคนยังทำไม่ได้…ฉันจะมีตำแหน่งนั้นไปทำไมกัน”

เจคพลันนิ่งอึ้ง เหมือนที่คิดว่าโกศลในอดีตก็คงอึ้งไม่ต่างกับเขา

ถ้ามีคนที่พร้อมแลกทุกอย่างเพื่อปีนสู่จุดสูงสุด ก็ย่อมมีบางคนยอมถอยหนีเพื่อรักษาสิ่งสำคัญไว้เช่นกัน!

“อยู่กับคุณผมชอบมีเรื่องเซอร์ไพรส์ตลอด”

“ฉันแค่วางเดิมพันแล้วแพ้หมดหน้าตักเท่านั้นเอง เสียงของคนแพ้…ไม่มีค่าอะไรเลย” เธอหลับตาลง ความทรงจำฉายขึ้นช้าๆ



Don`t copy text!