หน้ากากมยุเรศ บทที่ 7 : รอยแผลจากอดีต (3)

หน้ากากมยุเรศ บทที่ 7 : รอยแผลจากอดีต (3)

โดย : สิตา

Loading

หน้ากากมยุเรศ นวนิยายโรแมนติกดราม่า โดย สิตา ผู้ที่เคยได้รับรางวัลชนะเลิศในโครงการ อ่านเอาก้าวแรก ปี 2 ในนามปากกา “เยว่หวา” ที่ครั้งนี้ เธอขอพาทุกคนสู่การเฉือดเฉือนในวงการธุรกิจของครอบครัวบุหรงกาญจน์ ที่ต่างฝ่ายต่างสวมหน้ากากปิดบังเป้าหมายในใจ ผลลัพธ์จะเป็นอย่างที่คาดเดาหรือหักมุม อ่านออนไลน์กันได้ที่ anowl.co

โกศลคุยโทรศัพท์ด้วยท่าทางเคร่งเครียด พอจบบทสนทนาก็กำโทรศัพท์แน่นก่อนโยนมันโครมกับโต๊ะตรงหน้า โทรศัพท์ไถลไปตามพื้นกระจกจนหยุดหน้าวิมลินผู้นั่งฝั่งตรงข้ามโต๊ะทำงาน

‘ทางนั้นไม่ยอมเจรจาหรือคะ’

‘เขาเซ็นสัญญากับบริษัทใหม่ไปแล้ว เราต้องจ่ายค่าเสียหายให้เขาครบทุกเม็ด!’

ความรู้สึกผิดโถมกระหน่ำจนสองมือบีบหากันแน่น หญิงสาวก้มหน้าด้วยไม่กล้าสู้แววตาผิดหวังของพ่อ เอ่ยคำเดิมที่เคยพูดซ้ำเป็นร้อยๆ เที่ยว ‘อิงขอโทษค่ะ’

ได้ยินเสียงถอนใจยาวเหยียด อีกฝั่งเงียบอยู่นานก่อนปรารภเบาๆ ‘ตอบพ่อมาตามตรงนะ สมมุติถ้าย้อนเวลาได้อิงจะทำแบบเดิมไหม’

หัวใจหญิงสาวเจ็บแปลบ การถูกเพื่อนสนิททรยศคือตราบาปที่ไม่มีวันเลือนหาย เธอกัดริมฝีปากแทบห้อเลือดกว่าจะหลุดมาทีละคำ ‘อิงจะไม่ยอมซ้ำรอยเดิม แต่จะหาทางป้องกันไม่ให้ฝ่ายนุ้ยตลบหลังเราได้อีก เราต้องได้ของตามออร์เดอร์…’

‘อ้อ’ เขาลากเสียงยาวตัดบท ‘สุดท้าย…อิงก็ยังจะทำงานกับเพื่อนคนนี้อยู่ดีหรือ’

‘แต่ถ้าเรายกเลิกออร์เดอร์บ้านนุ้ยแย่แน่ๆ นะคะ อิงไปบ้านเธอดูบัญชีโรงงานจนเห็นกับตา’

‘แต่เพื่อนเราเอาบุหรงกาญจน์เป็นฐานเหยียบขึ้นไปนะ คิดว่าโรงงานนุ้ยได้เซ็นสัญญากับทางนั้นด้วยความสามารถตัวเองหรือไง ก็แค่มีคนวางแผนตลบหลังบุหรงกาญจน์ต่างหาก!’

‘นุ้ยโทรมาค่ะ สารภาพไปร้องไห้ไปว่าพี่ชายต้องทำเพื่อพยุงโรงงานไว้ แต่ถ้าอิงรู้ก่อนนะจะกล่อมเธอใหม่ แล้วถ้าทางเรายอมอะลุ้มอล่วยสัญญาบางอย่างและเพิ่มค่าตอบแทน เธอคงไม่ทรยศ…’

วิมลินถูกบิดาตัดบทอีกครั้งด้วยการยกมือปราม ‘ลองคิดมุมกลับ งานนี้ถ้าเป็นคนอื่นหรือพ่อนี่แหละเป็นคนตัดสินใจแทนอิง ผลจะกลายเป็นยังไง’

หญิงสาวเงียบอยู่นาน…กว่าคำตอบจะเล็ดลอดริมฝีปากออกมา ‘ไม่เอาโรงงานนุ้ย หาเจ้าใหม่ที่แน่นอนกว่าเพื่อทำสัญญาให้ลุล่วงตามกำหนด’

‘ไม่ใช่แค่การันตีเรื่องสัญญาหรอก ถ้าเป็นพ่อ…พ่อจะใช้โอกาสนี้บีบโรงงานเพื่อนเราหลุดจากการเป็นซัปให้บุหรงกาญจน์ไปเลย ป้องกันความเสียหายระยะยาวเพราะผลงานที่ผ่านมาก็แย่อยู่แล้ว’ โกศลเลิกคิ้วใส่ท่าทางตกตะลึงของบุตรสาว ‘ทำไมล่ะ สมมุติพวกเขาทำงานกับเราแล้วรอดคราวนี้ไปได้อนาคตก็ลงเอยแบบเดียวกันอยู่ดี โรงงานนั่นระบบภายในมีปัญหามาตั้งแต่ต้น เข็นยังไงก็ไม่ขึ้นหรอก’

เขาเผยรอยยิ้มเหี้ยมเกรียม ‘ถึงงานนี้จะลงทุนหักหลังเราเพื่อเอาตัวรอด พ่อให้ไม่เกินสามสี่ปีเจ้าใหม่ที่ทำสัญญาด้วยก็ต้องหาทางโละพวกเขาทิ้งแน่ ของมันเฟะถือไว้มีแต่เละคามือ’

เงาของเขาทาบทับยังแววตาไหวสะท้านของบุตรสาว ภาพใบหน้าเย็นชาในฐานะประธานบริษัทบุหรงกาญจน์!

‘จำไว้นะอิง ถ้าคิดจะคุมธุรกิจระดับบุหรงกาญจน์แค่เก่งทฤษฎีในตำราไม่พอหรอก หัวใจสิสำคัญ ต้องกล้าต้องแกร่ง และถ้าถึงเวลาจำเป็น…ก็ต้องเหี้ยม!’

หัวใจคล้ายถูกบีบรัดจนเจ็บแปลบ ถ้าหากพินิจให้ชัดสิ่งที่รัดไว้คือโซ่เหล็กเย็นเยียบเสียยิ่งกว่าน้ำแข็ง ใต้โต๊ะ…มือหญิงสาวที่ประสานกันอยู่พลันเกร็งแน่น ราวจะก่อความอบอุ่นไปละลายชั้นน้ำแข็งที่ทิ่มแทงหัวใจอยู่ ‘อิงทำไม่ได้ค่ะพ่อ…คงไม่มีวันทำอย่างนั้นได้’

หลังสารภาพความในใจหมดสิ้น วิมลินกลั้นใจเตรียมรับแรงกระแทกที่จะตามมา แต่โกศลกลับมองเธอนิ่ง กลิ่นอายเหี้ยมเกรียมค่อยๆ เลือนหาย เหลือเพียงอารมณ์จนใจระคนเอ็นดูแบบบิดาคนเดิมที่วิมลินเคยคุ้น

‘พ่อทิ้งเวลาเสียนาน ลังเลที่จะยกเราเป็นทายาทสืบทอดมาตลอดก็เพราะนิสัยนี้ของอิงนี่แหละ ไม่เคยอยากทำร้ายใคร ถ้าเกิดปัญหาขึ้นอิงจะหาแต่วิธีจบเรื่องโดยทุกฝ่ายสบายใจ ไม่ว่ามันจะลำบากแค่ไหน…ไม่ว่ามันจะทำร้ายตัวอิงเองแค่ไหน พ่อเอาเรามาอยู่ใกล้ชิดสอนให้ทุกอย่างเพราะหวังจะดัดนิสัยนี้ของอิงได้บ้าง แต่ก็เหลว’ โกศลหลับตาลง ‘เรื่องทายาทพ่อคงต้องพิจารณาอีกครั้ง หรือควรตัดใจยกให้ทางลุงเสริฐเขาดี’

หัวใจหญิงสาวพลันเต้นกระหน่ำ โน้มหน้าเข้าหาบิดา ‘แต่พ่อยัง…ยังมีพี่แคนนะคะ ถ้าเราลองสืบหาป้าผกา…’

ปัง!

เสียงตบโต๊ะดังลั่นจนเธอสะดุ้ง ก่อนคำพูดเย็นชาจะลอยตามมา ‘พ่อเคยบอกแล้วอย่าเอ่ยชื่อพวกนั้นอีก พ่อไม่ใช่อิงฉะนั้นไม่มีวันยกโทษให้คนที่เคยทรยศ!’

วิมลินเม้มริมฝีปาก แม้ไม่เอ่ยคำใดทว่าทุกองคาพยพล้วนมีแต่ความไม่ยินยอม โกศลหน้าตึง หลังใคร่ครวญจึงกล่าวช้าๆ

‘พ่อรู้ อิงแอบสืบเรื่องที่ผกาคบชู้แล้วหนีไปใช่ไหม’ บุตรสาวตกตะลึงแต่ผู้เป็นพ่อแค่นยิ้ม ‘คิดว่าทำไมป้าโฉมยอมบอกกับนักสืบที่อิงส่งไปง่ายๆ ล่ะ เพราะเธอมาฟ้อง พ่อเลยตัดสินใจอนุญาตเอง’

‘ตะ…แต่พ่อไม่ชอบให้ใครมายุ่งเรื่องนั้นนี่คะ’

‘ก็ใช่ แต่พ่อดีใจที่อิงตัดสินใจเริ่มสืบมันมากกว่า ถ้าคิดจะคุมเกมไว้ในมือก็ต้องใส่ใจทุกรายละเอียด ห้ามเชื่อใจใครง่ายๆ อิงคิดแบบนั้นได้พ่อมีหรือจะไม่พอใจ’ เขาเอนหลังพิงพนัก ‘พ่อถามได้ไหม อิงอยากรู้มันอย่างละเอียดไปทำไม’

หญิงสาวฝืนเงยหน้าสบตาบิดา ‘อยากหาเหตุผลสักอย่างที่พ่อยอมปล่อยมือจากลูกชายคนเดียวง่ายๆ แบบนั้นค่ะ’

เขารับคำในคอ แม้ในช่วงเวลาส่วนตัวโกศลก็ยังแฝงท่วงท่าหยิ่งผยองเผด็จการอย่างคนที่ใช้อำนาจมาจนเคย ‘ตอนนั้นหลังพ่อไล่ผกากลับห้อง แคนเขาก็ขอเข้าพบ พ่อเลยเรียกเขามาที่ห้องหนังสือ ยังจำได้แคนก็นั่งฝั่งตรงข้ามโต๊ะทำงานเหมือนอิงตอนนี้เนี่ยแหละ ดูจะสงบสติอารมณ์ได้แล้วหลังอาละวาดมายกหนึ่ง สำหรับเด็กผู้ชายอายุสิบสองสิบสามก็ถือว่าทำได้ดีมากนะ คิดว่าป้าโฉมคงจะพยายามกล่อมเขาเลยเล่าอะไรต่อมิอะไรให้ฟังเยอะอยู่ เพราะพอแคนเจอพ่อก็โพล่งทันทีว่าพ่อจะยกเขาให้เทวิกาดูแลหรือ’ โกศลลูบริมฝีปากไปมา ‘อิงคิดว่าทำไมพ่อถึงจะยกแคนให้เทวิกาล่ะ’

ผู้ถูกถามนิ่วหน้าแต่ก็ตัดสินใจโยนความรู้สึกทิ้งชั่วคราว เริ่มวิเคราะห์แล้วตอบโดยดี ‘ถ้าพูดกันตามเหตุผล คุณวิเหมาะจะเป็นคนสอนเรื่องการวางตัวในสังคม ความรู้ธุรกิจและอีกมากค่ะ นอกจากนั้นหากกันป้าผกาที่มีชนักเรื่องคบชู้ออกไปสถานะของพี่แคนจะดีขึ้น และถ้าคุณวิสามารถยอมรับพี่แคนจะช่วยเยียวยาจิตใจเธอหลังเป๋ไปเพราะมีลูกไม่ได้ ส่วนป้าผกาก็สามารถอยู่ในบ้านต่อโดยไม่ลำบากนัก เพราะถึงอย่างไรเธอก็เป็นแม่แท้ๆ ของคนที่จะเป็นทายาทคุณพ่อ’

‘ใช่ พ่อเองก็อธิบายแบบเดียวกับอิงเลย แล้วเจ้าแคนตอบยังไงรู้ไหม’ เขาแสยะยิ้ม แต่เมื่อประกอบเข้ากับดวงตาวาวโรจน์ก็ดูบิดเบี้ยวดั่งหน้ากากปีศาจ ‘มันว่าเรื่องของผัวเมีย ทำไมการนอกใจดันมีแต่ฝ่ายหญิงที่โดนเอาผิด มันบอกพ่อไม่มีสิทธิ์ลงโทษผกาถึงขนาดนั้น แต่ถ้าพ่อยังคิดจะแยกมันจากแม่มันก็ไม่ขอเป็นทายาทบุหรงกาญจน์ ทั้งที่แม่มันเป็นคนผิดแต่มันกลับโกรธพ่อ เจ้าเด็กโง่เรียนหนังสือไม่เอาอ่าว นิสัยก็หยาบกระด้างไร้การอบรม ยังอุตส่าห์โอหังได้ขนาดนั้น!’

โกศลเงยหน้าหัวเราะ เสียงหัวเราะรื่นรมย์ที่วิมลินรับฟังจนตัวเย็นวาบ

เธอพอระแคะระคายว่าพ่อไม่ค่อยชอบพี่แคน เพราะคนฉลาดเช่นเขาคงยากจะถูกใจที่ให้กำเนิดลูกชายโง่เง่า แต่หญิงสาวไม่เคยคิดว่าพี่ชายเป็นคนเขลาแบบที่พ่อเห็น เธอกลับสงสัยระดับสติปัญญาของแคนน่าจะปกติ แต่เขาอาจมีภาวะ Dyslexia หรือความบกพร่องในการอ่านและเขียน เด็กหลายคนที่เป็นโรคนี้มักโดนเข้าใจผิดว่าเรียนหนังสือไม่เก่ง ทั้งที่ความฉลาดก็ไม่ได้แตกต่างจากใครเลย

แต่ยามนี้…อธิบายไปแล้วจะมีประโยชน์อะไรเล่า

‘ตอนนั้นพี่แคนยังเด็กมากนะคะ อย่าถือสาคำพูดเด็กเลย’

‘อิงไม่เห็นเหมือนที่พ่อเห็น แววตาแบบนั้น ความยโสแบบนั้น เด็กที่ไหนกัน!’ เขาเค้นคำพูดทีละคำด้วยดวงตาแดงก่ำ ‘แล้วคืนนั้นมันก็หนีไปพร้อมแม่ เอาสิ! ตัดสินใจแบบนั้นก็เชิญ แต่อย่าหวังให้พ่อเป็นฝ่ายง้อก่อน พ่อจะรอเฉยๆ ดูคนซมซานกลับมากราบแทบเท้า!’

หัวใจที่ยังสั่นระรัวถูกต้อนจนมุมในที่สุด วิมลินเบิกตาโพลง จ้องอีกฝ่ายราวกับไม่เคยเห็นเขามาก่อน ใช่…เธอคงไม่เคยเห็นจริงๆ

…กับใบหน้าแสนอำมหิตของคนเห็นแก่ตัวคนหนึ่ง!

 

ภายในห้องนั่งเล่น เจคเอนพิงพนักโซฟา มองหญิงสาวผู้ยืนหันหลังให้ตรงประตูสู่สวนที่ยังคงปิดม่านไว้ แสงส่องผ่านม่านก่อเป็นเงาทาบทับตัวเธอจนดูเลือนรางปานภาพลวงตา

ย้อนนึกถึงตอนเจอกันครั้งแรกที่นิวซีแลนด์ พอเขาพูดว่าแคนไม่มีวันกลับมาบุหรงกาญจน์ เพิ่งเข้าใจสีหน้าราวถูกทุบด้วยค้อนของเธอในตอนนั้น

ชายหนุ่มถอนใจยาวคล้ายจะระบายความอัดอั้นในอก สักพักค่อยเริ่มตั้งคำถาม “หลังจากนั้นล่ะ”

“พ่อมัวแต่สะสางปัญหาที่เกิดจากฝีมือฉัน เลยไม่มีเวลาคุยเรื่องการพิจารณาทายาทใหม่ จนท่านเสียไปก่อน”

“แต่คุณก็ไม่เคยบอกเรื่องนั้นกับลุงเสริฐ เพราะติดเรื่องที่ดินมูลนิธิเหรอ”

เธอก้มหน้าลง ซ่อนความรู้สึกไว้ใต้แพขนตาหนา “ฉันต่อต้านการตัดสินใจของพ่อค่ะ สำหรับฉันพี่แคนมีสิทธิ์ตามที่เขาควรได้รับ เลยลังเลจะบอกทุกคนถึงการตัดสินใจของพ่อ จนกระทั่งรู้เรื่องที่ดินมูลนิธิเข้า ถ้าพี่แคนกลับมาทุกอย่างจะลงตัวพอดีถึงจ้างนักสืบเริ่มตามหาเขา…แล้วก็เจอคุณ”

หญิงสาวแหวกม่านจนเห็นสนามหลังบ้านร่มรื่น แดดส่องกระทบเส้นผมสีน้ำตาลทอประกายเจิดจ้าราวไม่ใช่ความเป็นจริง “ฉันจึงเหลือทางเดียว ช่วยมูลนิธิให้รอดแล้วค่อยยกลุงเสริฐเป็นประธาน”

เจคมองบ่าเล็กๆ ตรงหน้า ดวงตาหม่นแสงลง “ผมขอโทษนะ”

“อย่าโทษตัวเองสิคะ บอกแล้วไง คุณไม่ใช่คนที่ผลักไสพี่แคนไปตายเสียหน่อย”

เธอไม่โทษเขา ความคิดนี้ไม่ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกดีขึ้นสักนิด เพราะตระหนักแก่ใจ…วิมลินจัดเขาเป็นแบบเดียวกับกลุ่มญาติ คนที่เธอต้องปกป้องดูแลแม้ตัวเองจะเสียเปรียบ ไม่ใช่พวกเดียวกันที่พร้อมจะเปิดใจแล้วร่วมลำบากไปด้วยกันเลย จึงต่อต้านทุกครั้งที่เขาทำตัวปกป้อง สำหรับหญิงสาว พี่ชายกำมะลออย่างเขาเป็นแค่คนนอกคนหนึ่ง หมดเรื่องก็จบสิ้น ไม่ต้องมีพันธะผูกพันใดๆ อีก

นั่นควรเป็นสิ่งที่เขาต้องการมิใช่หรือ แต่ทำไมถึงยังรู้สึกหงุดหงิดเช่นนี้กัน!



Don`t copy text!