หน้ากากมยุเรศ บทที่ 8 : ที่ดินเจ้าปัญหา (1)

หน้ากากมยุเรศ บทที่ 8 : ที่ดินเจ้าปัญหา (1)

โดย : สิตา

Loading

หน้ากากมยุเรศ นวนิยายโรแมนติกดราม่า โดย สิตา ผู้ที่เคยได้รับรางวัลชนะเลิศในโครงการ อ่านเอาก้าวแรก ปี 2 ในนามปากกา “เยว่หวา” ที่ครั้งนี้ เธอขอพาทุกคนสู่การเฉือดเฉือนในวงการธุรกิจของครอบครัวบุหรงกาญจน์ ที่ต่างฝ่ายต่างสวมหน้ากากปิดบังเป้าหมายในใจ ผลลัพธ์จะเป็นอย่างที่คาดเดาหรือหักมุม อ่านออนไลน์กันได้ที่ anowl.co

หลังหมดเวลาวันหยุด ประเสริฐก็สั่งเดินเครื่องงานแฟชั่นโชว์เต็มสูบ โดยให้เจคเรียกประชุมผู้เกี่ยวข้องด้วยฐานะประธานหลักของโครงการ แต่แน่นอน…ผู้ดำเนินงานตัวจริงย่อมได้แก่วิมลินเจ้าเดิม

ในห้องประชุมบริษัทที่ชั้นสอง โต๊ะประชุมรูปตัวยูมีคนนั่งกันกว่าครึ่ง วิมลินทำเป็นง่วนกับเอกสารตรงหน้าแต่หางตาชำเลืองทางเจคผู้นั่งหัวโต๊ะประชุม เมื่อวานทั้งสองพูดคุยกันหลายอย่าง หวังว่าการให้ข้อเท็จจริงแค่ครึ่งเดียวของเธอจะทำเขาพอใจจนเลิกซักไซ้อีก

“พี่อิงคะ ดูภาพสเกตช์แบบของลูกปลาแล้วเป็นยังไงบ้างคะ”

วิมลินหันไปหาโปรดปรานผู้นั่งทางด้านตรงข้าม อดนึกในใจไม่ได้…นี่ก็ตัวปัญหาอีกคน

บนโต๊ะหน้าวิมลินมีกระดาษสเกตช์แบบเสื้อผ้าผลงานของโปรดปรานอยู่หลายแผ่น ตอนนี้พวกมันถูกแบ่งเป็นสองกอง วิมลินผลักกองที่ตั้งหนากว่ากลับไปหาลูกพี่ลูกน้อง

“ภาพสเกตช์พวกนี้ใช้ไม่ได้ ลองออกแบบมาอีกนะ”

โปรดปรานหน้าเสีย เธอออกแบบภาพสเกตช์เสื้อผ้าสำหรับแฟชั่นโชว์ไว้สิบกว่าแผ่น มันเป็นแค่ผลงานเบื้องต้นเพื่อรอเลือกที่เหมาะสมไว้พัฒนาต่อ ดังนั้นต้องมีของที่ถูกคัดออกอยู่แล้ว แต่จากไอเดียสิบกว่าชุดวิมลินกลับเลือกไว้แค่สองแบบที่เหลือปัดตกหมด มิหนำซ้ำที่ปัดตกส่วนใหญ่เป็นผลงานซึ่งโปรดปรานมองว่าสวยมาก หญิงสาวจึงค้านเสียงแข็ง

“พี่อิงหยิบกองผิดหรือเปล่า ลูกปลาอดหลับอดนอนออกแบบแทบตาย คัดออกส่งๆ จะทำทีมงานเสียกำลังใจกันนะคะ งานสวยๆ ทั้งนั้น”

“พี่คัดออกไม่ใช่เพราะไม่สวย แต่เพราะแบบสเกตช์พวกนั้นไม่เหมาะกับแบรนด์ลูกปลาต่างหาก มันออกแบบหลากหลายสไตล์เกินไป เราคือแบรนด์นะไม่ใช่ร้านขายเสื้อผ้า ฉะนั้นต้องมีอัตลักษณ์เฉพาะแบรนด์เพื่อสร้างลูกค้าที่ชอบสไตล์เรา จะได้ภักดีต่อแบรนด์เรา”

“ลูกปลารู้ค่ะว่าสไตล์แบรนด์ตัวเองเป็นยังไง ถึงอยากฉีกเพื่อสร้างความฮือฮาไงคะ”

“จะฉีกก็ควรทำตอนแบรนด์ติดตลาด แต่ช่วงตั้งต้นต้องสร้างภาพจำในใจลูกค้าให้ได้ก่อน ไม่อย่างนั้นจะไขว้เขว คนที่เคยชอบสไตล์เราก็งงแล้วหนีห่าง ส่วนคนใหม่พอรู้ว่าสไตล์เราไม่ใช่แบบที่เขาชอบจริงๆ แค่ทำชั่วครั้งชั่วคราวก็คงถอยเหมือนกัน”

กล่าวจบจึงดันกองกระดาษที่คัดออกไปใกล้โปรดปรานอีกนิดแทนการย้ำเตือน แต่ลูกพี่ลูกน้องสาวกลับกอดอกหน้าบูด ทำเอาบรรยากาศในห้องประชุมอึมครึมทันควัน เจคลอบมองใบหน้าด้านข้างของวิมลิน เห็นอาการนิ่งเฉยไม่สะทกสะท้านก็แอบถอนหายใจเงียบๆ อันที่จริงคำแนะนำของวิมลินนั้นมีประโยชน์แต่ดันทำคนเหม็นขี้หน้าโดยไม่รู้ตัว ไม่สิ…คงรู้ตัวแหละทว่าไม่สนใจต่างหาก

ชายหนุ่มยักไหล่จนปัญญา ดึงภาพสเกตช์ที่วิมลินส่งคืนโปรดปรานมาไว้แทน

“ไอเดียดีออกนะ” เขาเกริ่นหลังสับกระดาษดูทีละแผ่น “ผมเห็นด้วยกับอิงนะ แต่ไหนๆ ไอเดียพวกนี้ก็ใช้ตัดเสื้อไม่ได้แล้ว เอาไปทำเป็นฉากบนเวทีเดินแบบไหม”

คนที่เหลือต่างมองเขาเป็นตาเดียว การตกแต่งเวทีเป็นหัวข้อที่เพิ่งถกเถียงกันเมื่อครู่ แต่ไม่สามารถหาข้อสรุปจนต้องเลื่อนไว้คราวหน้า จู่ๆ ชายหนุ่มกลับหยิบมาสนทนาใหม่

“เจคขยายความหน่อยได้ไหมคะ” โปรดปรานถามอย่างกระตือรือร้น ลืมความหงุดหงิดเมื่อรู้สึกว่ามีคนให้ความสนใจ

“ก็ถ้าเราขยายแบบเสื้อพวกนี้โดยเน้นที่จุดเด่นแล้วเอาไปแปะบนฉากกั้นหลังเวทีทีละชิ้น อย่างภาพสเกตช์นี้ลายลูกไม้แถวช่วงอกสวยมาก ก็ขยายเฉพาะส่วนนั้น ใช้ผ้ากับวัสดุจริงๆ ตัดเย็บตามแบบเลย วัตถุดิบของเรามีพร้อมอยู่แล้ว เท่านี้จะได้ทั้งแสดงสินค้าของบุหรงกาญจน์ ได้ฉากหลังเวทีที่บอกว่าโชว์ของเรารวบรวมหลายไอเดียจากหลายแบรนด์ไว้ด้วยกัน ก็เก๋ไปอีกแบบ”

แฟชั่นโชว์ครั้งนี้บุหรงกาญจน์เชิญหลายแบรนด์ที่มีความสัมพันธ์กันมาร่วมเดินแบบด้วย เพราะลำพังแบรนด์ลูกปลาอย่างเดียวยังไม่มีความดึงดูดพอ

“เข้าท่าอยู่นะคะ” ทีมงานผู้ร่วมประชุมปรารภ “หลังจบงานยังเอามาตั้งตกแต่งที่โถงชั้นล่างของบริษัทได้อีกทอด รู้สึกมานานแล้วว่าโถงมันโล่งไปหน่อย”

เมื่อต่างเห็นพ้องข้อแสนอของเจคจึงผ่านอย่างง่ายดาย โปรดปรานอารมณ์ดีขึ้นทันตา เจคเองก็โล่งอกที่วิมลินไม่ถูกเขม่นมากไปกว่านี้ การประชุมดำเนินอีกชั่วโมงค่อยเสร็จสิ้น แต่วิมลินถูกพนักงานดึงตัวไว้เพื่อคุยธุระเจคจึงออกมาก่อน ตรงทางเดินนั่นเองเจอปวินท์ยืนคุยหัวร่อต่อกระซิกกับพนักงานสาวสามคน เมื่อปวินท์เห็นเขาจึงผละจากกลุ่มนั้นมาหา

“คุณปริ้นมาทำอะไรที่นี่ครับ”

“รอนายไง คุยไลน์กับลูกปลาแล้วรู้ว่าใกล้เลิกประชุม” เขายักคิ้ว “จำนัดเราได้ไหม คืนนี้จะพานายท่องราตรีให้ฉ่ำเลย”

เจคชะงัก แต่รู้ดีคงหนีไม่พ้น “ได้สิ นัดที่ไหนครับ”

“รอเซอร์ไพรส์เถอะ แล้วฉันจะไปรับนายที่บ้านยัยอิงเอง สักสามทุ่มนะ”

“แต่ผู้หญิงเที่ยวได้ใช่ไหม ผมจะลองชวนอิงเขาดู”

“รายนั้นไม่ไปหรอกฉันเคยชวนหลายครั้งแล้ว” ปวินท์มองนาฬิกาข้อมือ “ใกล้เที่ยงพอดีเดี๋ยวหาร้านกินข้างนอกกัน”

“วันนี้คงไม่สะดวกจริงๆ อิงจะพาผมไปกินโรงอาหารที่โรงงาน หลังกินเสร็จจะได้นำผมชมโรงงานด้วยเลย วันหลังนะครับ”

คนฟังทำหน้าเหม็นเบื่อ ที่โรงงานมีโรงอาหารสำหรับพนักงาน แบ่งพื้นที่ให้ระดับผู้บริหารไว้เผื่อเวลาต้องรีบหาของกินด่วนหรืออาจสั่งขึ้นมากินบนห้องทำงานบ้าง แน่นอน…ปวินท์ไม่เคยคิดใช้บริการสักครั้ง เผอิญวิมลินตามมาสมทบพอดีปวินท์จึงขอตัวจากมา แต่พออ้อมหัวมุมดันเจอโปรดปรานยืนดักรออยู่พร้อมรอยยิ้มหวาน

“ไงล่ะพี่ปริ้น โดนพี่อิงฉกตัวเจคไปอีกแล้วสิ”

ปวินท์เอนพิงผนังตรงหัวมุมนั่นเอง เหลียวมองวิมลินพาเจคลงลิฟต์ไปแล้วจึงแยกเขี้ยวใส่ลูกพี่ลูกน้อง “หลบมุมแอบฟังคนเขาคุยกัน นิสัยไม่ดีนะเรานี่”

โปรดปรานแกล้งยักไหล่ “แม่เล่าให้ลูกปลาฟังหมดแล้ว ลุงเสริฐสั่งพี่ปริ้นลองดึงตัวเจคมาเป็นพวกใช่ไหมล่ะ แต่ทางนั้นยังตามพี่อิงต้อยๆ”

ชายหนุ่มแค่นเสียงดังเฮอะ สะบัดหน้าไปอีกทาง ทว่าโปรดปรานยังคงพูดหยอก

“ความพยายามของพี่ปริ้นมันเห็นผลช้าไป เร่งความเร็วหน่อยไหมคะ ลูกปลามีวิธีนะ”

ปวินท์หันขวับมาทันที “จริงเหรอ วิธีอะไร”

หญิงสาวยิ้มหวาน ยื่นหน้าไปกระซิบข้างหูลูกพี่ลูกน้อง

 

ปวินท์มารับเจคตรงตามนัดเป๊ะ วิมลินไม่เสียเวลาออกมาส่งเขาด้วยซ้ำอ้างงานยุ่ง จุดหมายของปวินท์เป็นผับย่านชานเมือง สร้างเป็นเอกเทศห่างบ้านเรือนคน ขึ้นบันไดด้านหน้าหลายขั้นจะถึงอาคารผนังปูนเปลือยล้อมกระจกใสบานใหญ่ในกรอบไม้สีดำ แสงจากภายในส่องผ่านกระจกโดดเด่นกลางความมืด เห็นแม้ตอนที่กำลังเดินจากที่จอดรถ

มันน่าจะเป็นผับระดับสูง สังเกตจากยี่ห้อและรุ่นรถที่จอดเรียงราย พวกรถสปอร์ตมีให้เห็นเป็นปกติ และใกล้ทางเข้าจะเป็นพื้นที่จอดสำหรับรถซุปเปอร์คาร์โดยเฉพาะ ปวินท์ผู้เดินนำเขาอยู่พลันชะงักเท้าหน้ารถคันหนึ่ง เจคมองตามเขาไปยังรถซูเปอร์คาร์สีขาวหลังคาแดงแถมเบาะก็ยังแดงคันนั้น

“ปอร์เช่นี่สวยนะครับ”

“Porsche Boxster 981 ต่างหาก” อีกฝ่ายขยายความให้ สองมือกำหมัดแล้วปล่อยอยู่ซ้ำๆ เหมือนพยายามหักห้ามใจ ก่อนสะบัดหน้าเร่งฝีเท้าเข้าผับ เจคเฝ้าสังเกตเงียบๆ แต่ไม่ได้ถามความมากกว่านั้น

คราแรกเจคยังนึกหวั่นๆ แต่เมื่อเห็นผับที่ปวินท์พามาจึงแอบถอนใจโล่งอก มันไม่ใช่ประเภทคลับปาร์ตี้สำหรับผู้ชายแบบที่สามารถเรียกพีอาร์สาวหรือโคโยตี้มาเป็นเพื่อนดื่ม แต่เป็นผับเน้นบรรยากาศเรียบหรู โคมไฟแขวนรูปทรงกลมซ้อนกันส่องไฟสลัว โซฟารูปเกือกม้าตั้งห่างเน้นความเป็นส่วนตัว เวทีเตี้ยกั้นม่านโปร่งเห็นแค่เงานักร้องนักดนตรีฉายทาบจากด้านหลัง รับรู้เพียงท่วงทำนองสูงต่ำคลอเบาๆ

“ทำไม” ปวินท์ถามยิ้มๆ เมื่อเห็นสีหน้าอีกฝ่ายยามมองรอบตัว “ผิดคาดใช่ไหม หรืออยากเปลี่ยนให้พาไปเลาจน์ที่มันมี ‘เนื้อ’ มี ‘หนัง’ มากกว่านี้”

เขาเน้นคำพลางขยิบตาอย่างรู้กัน เจคหัวเราะ

“ดีแล้ว ชอบสบายๆ มากกว่าครับ”

“ที่นายเห็นนี่ประเทศไหนก็มีกันทั้งนั้น นิวซีแลนด์ก็โอเคนะ แต่ไอ้เลาจน์ที่ฉันเสนอต้องของไทยเด็ดกว่าทุกประเทศ ฉันรับประกัน”

เจคเออออตามแล้วปล่อยเขาสั่งเครื่องดื่ม ก่อนเอะใจ “คุณปริ้นสั่งทำไมสามแก้ว เรามีกันสองคน”

“ยัยลูกปลาดันได้ยินเราคุยกันเมื่อกลางวันเลยอยากเที่ยวด้วยน่ะสิ เธอกำลังตามมา”

ฟังแล้วเจคก็ไม่ติดใจอะไร จนกระทั่งโปรดปรานปรากฏกายในเวลาถัดมา ชายหนุ่มจึงเพิ่งรู้สึกตัวว่าติดกับดักเข้าเต็มเปา!

 

วิมลินกำลังพิมพ์งานในคอมพิวเตอร์ตอนที่โทรศัพท์ดัง จึงรับสายด้วยน้ำเสียงกึ่งรำคาญ “เจค? กำลังเที่ยวกับพี่ปริ้นอยู่ไม่ใช่เหรอ โทรมาทำไม”

“แย่แล้วละคุณ!”

“แย่? แย่อะไรคะ”

“ก็ลูกปลาน่ะสิขอเที่ยวด้วย แต่มาไม่มาเปล่าดันพาเพื่อนมาอีกตั้งสามคน แล้ว…คือ…”

หรือเพราะช่วงนี้อยู่ด้วยกันแทบตลอดเวลา แค่ได้ยินเสียงตะกุกตะกักของเขาหญิงสาวพลันนึกภาพออกทันที เจคคงกำลังเกาหัวหน้ายุ่งด้วยสีหน้าแบบลูกหมาหลงทาง มันชวนขันปนเอ็นดูจนเธอเผลอยกยิ้ม

“ใจเย็นค่ะ ค่อยๆ พูด”

“เย็นไม่ไหวแล้ว ก็พวกเธอเอาแต่เฟลิตใส่ผมตลอดเวลา”

คนฟังขมวดคิ้ว ปลายสายจับใจความยากเพราะมีเพลงคลอเบื้องหลัง และเสียงเขาอู้อี้คล้ายพยายามป้องปากคุยโทรศัพท์ “ยังไงนะฟังไม่ถนัด”

“โอย ผมคิดศัพท์ภาษาไทยเหมาะๆ ไม่ออกเลย คือ…พวกเธอตั้งใจจะจีบผม จีบแบบเอาจริงเอาจังด้วยนะ”

วิมลินแปลกใจอยู่ชั่วแวบก่อนร้องอ๋อยาว “ลูกปลาวางแผนใช้เพื่อนจับคุณละสิ”

“หา ทำไปทำไม”

อีกฝ่ายหวนนึกถึงท่าทีพึงพอใจของโปรดปรานที่มีให้เจคในห้องประชุมวันนี้ “เธออาจชอบคุณมากเลยอยากอวดคุณกับเพื่อนๆ มั้งคะ”

“ผมเนี่ยนะ…จะใช่เหรอ”

“ตอนนี้คุณทั้งหล่อทั้งเท่ แถมช่วยเธอแก้ปัญหาตั้งหลายครั้ง สมมุติสลับฉันเป็นลูกปลาคงจะทำเหมือนกัน และถ้าเพื่อนชอบคุณจนอยากจีบก็ไม่หวงหรอก พี่ชายนี่ไม่ใช่แฟน”

สิ้นประโยคเจคพลันเงียบกริบจนเธอเกือบนึกว่าสายตัด ก่อนเขาจะเปรยเบาๆ “อ้อ คุณกะส่งผมให้เพื่อนเหมือนกันเหรอ”

คราวนี้วิมลินแปลกใจจริงจัง ทำไมชายหนุ่มจู่ๆ ทำเสียงเย็นชาแบบนั้น “แค่วิเคราะห์มุมมองลูกปลาให้ฟังต่างหาก หรือเธออาจร่วมมือกับพี่ปริ้นหวังหาแฟนให้แล้วดึงคุณเข้าพวก นี่ถ้าลูกปลาวางแผนเองต้องชมว่าความคิดก้าวกระโดดขึ้นเยอะเลย”

“ในเมื่อพอใจแผนน้องสาวนัก งั้นผมกลับไปนั่งที่ให้พวกเธอเฟลิตใส่อีกก็แล้วกัน”

หญิงสาวกลอกตาใส่คำประชด แม้ไม่อาจเดาต้นสายปลายเหตุที่อีกฝ่ายอารมณ์เสีย แต่ก็ยอมถอยด้วยการเอ่ยเสียงอ่อน “คุณรู้อยู่ว่าฉันยอมปล่อยคุณสร้างความสัมพันธ์ด้วยฐานะพี่แคนไม่ได้ เอาเถอะ…อยากให้ฉันทำยังไงล่ะคะ”



Don`t copy text!