หน้ากากมยุเรศ บทที่ 8 : ที่ดินเจ้าปัญหา (3)

หน้ากากมยุเรศ บทที่ 8 : ที่ดินเจ้าปัญหา (3)

โดย : สิตา

Loading

หน้ากากมยุเรศ นวนิยายโรแมนติกดราม่า โดย สิตา ผู้ที่เคยได้รับรางวัลชนะเลิศในโครงการ อ่านเอาก้าวแรก ปี 2 ในนามปากกา “เยว่หวา” ที่ครั้งนี้ เธอขอพาทุกคนสู่การเฉือดเฉือนในวงการธุรกิจของครอบครัวบุหรงกาญจน์ ที่ต่างฝ่ายต่างสวมหน้ากากปิดบังเป้าหมายในใจ ผลลัพธ์จะเป็นอย่างที่คาดเดาหรือหักมุม อ่านออนไลน์กันได้ที่ anowl.co

ชายหนุ่มหายตัวไปเกือบสองชั่วโมงจนวิมลินเริ่มกังวล ตัดสินใจจะโทร.ตามแต่ราวกับใจตรงกัน เพิ่งหยิบโทรศัพท์ชายหนุ่มก็โทร.เข้ามาพอดี “หายไปไหนมาคะ เกือบโทรหาอยู่แล้ว”

ปลายสายตอบเสียงใสไม่ทุกข์ร้อน ราวเป็นคนละคนกับที่เพิ่งอาละวาดไปก่อนหน้า “ผมอยู่ที่สวนนกยูง ลงมาหาหน่อยสิ”

วิมลินกำลังจะเทศนาแต่ชายหนุ่มทำนกรู้รีบตัดสายทิ้ง โทร.ใหม่ก็ไม่ยอมรับ หญิงสาวจึงได้แต่ลงไปชั้นล่างพร้อมอารมณ์คุกรุ่น ออกจากลิฟต์เตรียมดันประตูฉุกเฉินที่เปิดสู่สวน เผอิญมองลอดช่องกระจกบนประตูไปด้านนอกเสียก่อน มือที่จับประตูไว้จึงไม่ได้ออกแรงผลัก

เจคกำลังยืนใต้ต้นหางยกยูงฝรั่ง ย่อเข่าข้างหนึ่งพักไว้ที่เก้าอี้สนามตรงโคนต้น เงยหน้าทอดสายตาชื่นชมกิ่งก้านแผ่ขยาย แสงแดดลอดผ่านช่องระหว่างใบฉาบทับยังใบหน้าอ่อนละมุนของเขา กลับยิ่งขับดุนเงาความอ้างว้างจากส่วนลึกในแววตา

เขาคงชอบพวกต้นไม้ใบหญ้าจริงๆ และตอนนี้น่าจะโหยหามันอย่างยิ่ง แต่เธอกลับรั้งตัวเขาไว้ที่นี่

เมื่อหญิงสาวผลักประตูเจคก็หันหน้ามา ยามภาพเธอทาบทับในดวงตาเขา คล้ายเข้าไปเติมเต็มแทนที่จนความอ้างว้างปลาสนาการหมดสิ้น เหลือไว้เพียงความอบอุ่นราวแสงแดดยามเช้า วิมลินเผลอชะงักเท้านิดหนึ่ง หัวใจสั่นไหวจนลืมคำต่อว่าที่จ่อยังริมฝีปากไปเงียบๆ

“ลงมาถึงนี่เชียว ไหนบอกจะไปหาพี่ปริ้น”

“เห็นช่วงนี้คุณยุ่งๆ ทำแต่งาน เลยชวนมาพักสายตากับธรรมชาติบ้าง” เขาล้วงกระเป๋า ทำท่าบุ้ยใบ้ไปรอบตัว “ดูสิ สวยออกนะ”

วิมลินจึงเพิ่งสังเกต หางนกยูงกำลังออกดอกจนแดงสะพรั่งเต็มต้น พอลมพัดก็ปลิวเป็นช่อฟูฟ่องหมุนคว้างกลางอากาศปัดป่ายแขน ประหนึ่งสายฝนที่ลากไล้ตามผิวอย่างอ่อนโยน ครั้งสุดท้ายซึ่งเห็นภาพแบบนี้คงเป็นตอนยังเด็กๆ กระมัง ทั้งที่หางนกยูงก็ออกดอกทุกปี…แต่เธอกลับไม่ยอมเจียดเวลาชื่นชมเลย เอาเวลาไปใช้ทำอะไรจนหมดนะ

วิมลินกอดอก จู่ๆ ก็นึกอยากเล่าขึ้นมา “สมัยเด็กพี่ปริ้นกับพี่แคนชอบแข่งกันปีนต้นหางนกยูงนี่แหละ จนวันหนึ่งพี่ปริ้นพลาดตกลงมา เขาโกรธจัดไปฟ้องลุงเสริฐให้โค่นมันทิ้ง ดีนะไม่มีใครบ้าจี้ทำตาม”

ชายหนุ่มหัวเราะ “ตัวปัญหาจริงๆ เลย”

“ค่ะ แล้วคุณไปคุยกับตัวปัญหามาเป็นไงบ้างคะ”

เจคทำหน้าเหม็นเบื่อ “ก็เซ็งจนต้องมาผ่อนอารมณ์ถึงนี่ไง รู้ไหมเขาจะเอาเงินไปทำอะไร เอาไปซื้อรถซูเปอร์คาร์น่ะสิ!”

คนฟังเลิกคิ้ว “อย่าบอกนะว่าพี่เขาจะซื้อปอร์เช่ 981”

“หา คุณก็รู้เรื่องปอเช่ 981 นี่ด้วยหรือ”

“ต้องรู้สิคะ ตอนพี่ปริ้นประสบอุบัติเหตุเรื่องใหญ่เชียวนะ แม่พี่ปริ้นร้องไห้จะเป็นจะตายหน้าห้องผ่าตัด พอพี่เขาหายดีดันจะซื้อรถรุ่นเดิมเลยทะเลาะกันบ้านแทบแตก สุดท้ายพี่ปริ้นแพ้ได้แต่มองรถน้ำลายหกอย่างเดียว”

“ถ้าคลั่งไคล้สุดขีดขนาดนั้นเป็นผมคงใช้เงินตัวเองซื้อไปแล้ว ลองรถมาถึงแม่จะด่าก็ทำอะไรไม่ได้”

“เงินส่วนตัวพี่ปริ้นแทบไม่เหลือค่ะ” วิมลินรู้ข้อมูลดีกว่าโปรดปราน “เอาไปเที่ยวกับเปย์สาวหมด ถ้าอยากได้ของแพงๆ ก็ต้องขอเงินกงสีหรืออาศัยหักค่าหัวคิวเวลาสั่งของกับซัปพลายเออร์”

“คุณรู้แต่ยอมให้เขาหักหัวคิวนี่นะ”

“มันยังอยู่ในระดับที่บริษัทรับได้ค่ะ เพราะลุงเสริฐก็คอยปรามไว้บ้าง หัวหน้าฝ่ายจัดซื้อไม่ว่าจะที่ไหนส่วนใหญ่ก็หาประโยชน์กันแทบทั้งนั้น ด้วยตำแหน่งมันเอื้ออยู่แล้ว อย่างน้อยเป็นพี่ปริ้นเงินมันก็ยังตกกับคนในครอบครัว”

“เพราะระบบกงสีถึงหยวนกันง่ายสินะ สบายเขาไป ทีนี้เลยติดลมบนมาเอาจากการซื้อขายที่ดินด้วย”

“ว่าแต่คุณรู้เรื่องพี่ปริ้นอยากซื้อปอร์เช่ 981 ได้ไง”

“คืนที่ไปผับเผอิญเจอเขาจ้องรถรุ่นนี้น้ำลายแทบหก สงสัยคงสะกิดต่อมอะไรเข้า เมื่อกี้ไปคุยกับเขาที่ห้อง ตะล่อมนิดหนึ่งคุณพี่ติดลมโม้เรื่องรถอย่างเดียวเลย เปิดรูปในเน็ตที่มีคนเอาลงขายมือสองไว้ ราคาตั้งเกือบสี่ล้าน ผมแกล้งแหย่จะเอาเงินที่ไหนซื้อ เขายักคิ้วบอกให้คอยดู สรุปง่ายๆ เขาเรียกจากคุณห้าล้านกะเอาส่วนต่างอีกล้านหนึ่งด้วยนะ โคตรงกเลยพี่ชายคุณเนี่ย”

“นั่นแหละพี่ปริ้นตัวจริงเสียงจริง เมื่อครู่ทนายเพิ่งโทรกลับมา บอกว่าพี่ปริ้นตกลงรับการต่อรองของเรา แต่เขาขู่ห้ามผิดนัดเด็ดขาด ไม่งั้นจะยกเลิกการซื้อขายทันที”

“แล้วคุณจะแก้ปัญหายังไง เงินตั้งห้าล้าน”

“ฉันเจียดเงินเก็บมาได้หน่อยเพราะต้องกันส่วนใหญ่ไว้จ่ายค่าสนับสนุนการรักษาแผนใหม่ของมูลนิธิ ก็น่าจะมีสักสามล้าน ที่เหลือคงต้องขายหุ้นเอาเงินสดกลับมา”

ชายหนุ่มหน้าตึง แต่สักพักก็ทำท่าปลง “ว่าไงว่าตามกันครับ”

วิมลินผู้เตรียมตั้งรับการโวยวายของเขา แอบประหลาดใจเมื่อเจคว่าง่ายผิดคาด และหลายวันหลังจากนั้นเขาก็ทำตัวเรียบร้อยดี ไม่สิ…สงบเสงี่ยมและขยันทำงานจนดูผิดปกติด้วยซ้ำ แม้เริ่มสงสัยทว่าหญิงสาวไม่มีเวลาตรวจสอบเลยจริงๆ เพราะยุ่งมาก ทั้งเรื่องงานในบริษัท การติดต่อขายหุ้นซึ่งกว่าจะได้เงินเข้าบัญชีก็ต้องรออีกตั้งสามวัน

ในที่สุดก็มาถึงเช้าวันศุกร์ ซึ่งเป็นวันที่โบรกเกอร์ต้องจ่ายค่าขายหุ้นที่ทำธุรกรรมไว้ตั้งแต่สามวันก่อนให้วิมลิน หญิงสาวแต่งตัวลงมากินข้าวเช้ากับเจคตามปกติ ระหว่างนั้นแม่บ้านก็เปิดช่องข่าวเศรษฐกิจผ่านจอโทรทัศน์ในห้องรับประทานอาหารให้ดูเหมือนเคย แต่แล้วข่าวแรกของวันกลับทำวิมลินตะลึงจนลืมตักอาหาร

บริษัทหลักทรัพย์หรือโบรกเกอร์เจ้าดังถูกอายัดทรัพย์ข้อหาพัวพันการปั่นหุ้น!

ใบหน้าซีดเผือดของเธอทำพี่ชายกำมะลอเอะใจ “คุณเป็นอะไรไป ทำไมฟังข่าวแล้วทำท่าพิกล”

“โบรกเกอร์เจ้านั้น” วิมลินพึมพำ “คือนายหน้าของฉันเอง พวกเขาต้องโอนเงินค่าขายหุ้นให้วันนี้”

“หา!” คนฟังอ้าปากค้าง “อย่าบอกนะว่า…”

“ค่ะ” หญิงสาวรับคำเสียงเครียด “ถ้าข่าวเป็นความจริง…ฉันจะไม่มีเงินสองล้านไปจ่ายให้พี่ปริ้น”



Don`t copy text!