หน้ากากมยุเรศ บทที่ 9 : แตกหัก (1)

หน้ากากมยุเรศ บทที่ 9 : แตกหัก (1)

โดย : สิตา

Loading

หน้ากากมยุเรศ นวนิยายโรแมนติกดราม่า โดย สิตา ผู้ที่เคยได้รับรางวัลชนะเลิศในโครงการ อ่านเอาก้าวแรก ปี 2 ในนามปากกา “เยว่หวา” ที่ครั้งนี้ เธอขอพาทุกคนสู่การเฉือดเฉือนในวงการธุรกิจของครอบครัวบุหรงกาญจน์ ที่ต่างฝ่ายต่างสวมหน้ากากปิดบังเป้าหมายในใจ ผลลัพธ์จะเป็นอย่างที่คาดเดาหรือหักมุม อ่านออนไลน์กันได้ที่ anowl.co

อาหารบนโต๊ะกินข้าวถูกเก็บขึ้นหมดเพราะเจ้าของบ้านทั้งสองไม่เหลืออารมณ์รับประทานแล้ว แม้กระทั่งกาแฟแก้วโปรดวางตรงหน้าวิมลินก็ไม่แตะ เอาแต่ไถหน้าจอโทรศัพท์เช็กข่าวที่เกิดขึ้น เพราะเจ้าหน้าที่ของบริษัทหลักทรัพย์แห่งนั้นยังไม่มีใครรับสายเธอ ก่อนสรุปคร่าวๆ

“น่าจะเป็นความจริงแต่รายละเอียดยังไม่ชัดเจน คงต้องรอข่าวอีกสักพัก”

เจคมือไพล่หลังเดินวนไปมาข้างโต๊ะ “แล้วคุณจะทำยังไงต่อ”

“โทรหาทนายเพื่อปรึกษาหาทางเอาเงินออกมาค่ะ แล้วก็ลองตรวจสอบทรัพย์สินอื่นว่ามีทางขายอะไรได้ไหม เผื่อฉุกเฉินกรณีเอาเงินขายหุ้นออกมาไม่ได้”

“น่าจะใช้เวลานานนะ อีกอย่างไปทำที่บริษัทคงไม่ได้มันเตะตาเกินไป พวกเขาอาจสงสัยทำไมเราร้อนเงินนัก” ชายหนุ่มสรุป “เอาอย่างนี้ ผมขับรถไปบริษัทคนเดียว อ้างคุณป่วยพักที่บ้านจะได้มีเวลาจัดการมัน เพราะถ้าเราลากันทั้งคู่เกิดมีคนมาเยี่ยมอาจยิ่งวุ่นวาย ผมจะคอยกันทางนั้นให้”

ข้อเสนอของเขาเป็นทางเลือกที่ดี หญิงสาวจึงปักหลักอยู่บ้านสะสางปัญหา ผ่านไปครึ่งวันทนายค่อยติดต่อกลับมา แจ้งว่าเงินของเธอปลอดภัยเพราะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับหุ้นที่ถูกสงสัย อย่างไรก็ต้องได้คืนแน่…แต่คงใช้เวลาสักพัก

วิมลินมีเวลาเสียที่ไหน!

แน่นอนเธอไม่ได้มีทรัพย์สินแค่นั้น แม้ขาดเงินสดก็ยังเหลือทองคำกับเครื่องประดับซึ่งฝากไว้ที่ตู้นิรภัยธนาคาร แต่ทั้งหมดก็แค่ล้านเศษๆ เท่านั้นเพราะช่วงนี้ทองราคาตก และการรีบร้อนปล่อยของต้องถูกกดราคายับ ส่วนหุ้นอื่นกับกองทุนที่ยังมีเก็บไว้กว่าจะขายกว่าจะได้เงินก็ต้องเป็นพุธหน้าเนื่องจากติดเสาร์อาทิตย์ ไม่ทันเวลานัดหมายกับปวินท์ซึ่งคือวันจันทร์ พวกอสังหาริมทรัพย์ยิ่งไม่ต้องพูดถึง การขายกินเวลายาวนานกว่ามาก

วิมลินยังจมอยู่ในความคิดตอนที่ได้กลิ่นอาหาร เมื่อเงยหน้าขึ้นเจอเจคกำลังวางถาดอาหารตรงหน้าเธอ เป็นโจ๊กควันกรุ่นกับน้ำเปล่า

“เจค คุณกลับมาเมื่อไหร่”

“ก็นานพอจะได้ถามแม่บ้านจนรู้คุณยังไม่รับมื้อกลางวันเลย นี่บ่ายกว่าแล้วนะครับ โชคดีผมซื้อโจ๊กติดมือมาเลยขอแม่บ้านอุ่นให้” เขาพูดขณะเขี่ยกองกระดาษและอุปกรณ์บนโต๊ะไม่ให้เกะกะถาดอาหาร

“ที่บริษัทเป็นไงบ้างคะ”

“กินสักนิดค่อยคุยกันเถอะ” แล้วพูดเสริมก่อนเธอจะทันค้าน “ถ้าอดข้าวนานๆ แล้วสมองแล่นปรี๊ดแก้ปัญหาจบ ผมยอมอดเป็นเพื่อนคุณเลย แต่ความจริงมันตรงข้าม ฝืนกินสักนิดให้มีแรงสู้ต่อดีกว่า”

เวลาพูดกับวิมลินใช้เหตุผลต่อรองได้ผลกว่าวิธีอื่นเยอะ ยามมองเธอยอมตักโจ๊กเข้าปากทีละคำ เขาพลันนึกถึงการสนทนากับแม่บ้านเมื่อครู่

“ตั้งแต่คุณผู้ชายเสียคุณอิงกินน้อยลงมากค่ะ ลืมบางมื้อซะด้วยซ้ำ พอเตือนก็ชอบทำหูทวนลม”

ผู้หญิงคนนี้…คิดว่าร่างกายตัวสร้างจากเหล็กหรืออย่างไร

จบมื้ออาหารแบบเร่งรัดพวกเขาค่อยแลกเปลี่ยนข้อมูลกัน เจคลาบริษัทครึ่งวันอ้างจะกลับมาดูแลวิมลินที่ป่วย ส่วนหญิงสาวแจกแจงความล้มเหลวในการรวบรวมเงินก่อนสรุป

“ช่วยไม่ได้ค่ะคงต้องยอมใช้วิธีสุดท้าย ขอเงินกงสีในส่วนของฉันออกมา เพราะฉันไม่เคยเบิกใช้เลยมีสะสมอยู่ก้อนใหญ่”

หญิงสาวแทบไม่อยากแตะต้องหนทางนี้ ด้วยการใช้เงินกงสีต้องขออนุญาตผู้ดูแลกองเงินกงสีซึ่งปัจจุบันคือลุงประเสริฐ และถ้าประเสริฐรู้ปวินท์ก็ต้องรู้ แล้วหากปวินท์เกิดสะกิดใจโยงเรื่องวิมลินร้อนเงินช่วงเดียวกับที่เขาดันเรียกค่าหัวคิวซื้อขายที่ดินขึ้นมา ความลับอาจโดนเปิดเผย การจะลดความเสี่ยงลงวิมลินต้องหาข้ออ้างที่เหมาะสม ซึ่งมันยากและชวนให้รู้สึกผิดปกติมาก เพราะตั้งแต่เกิดมา…เธอไม่เคยขอใช้เงินกงสีแบบนี้เลยสักครั้ง!

ครั้นถ่ายทอดความกังวลให้เจคฟัง ชายหนุ่มกลับโต้ตอบด้วยท่าทางผ่อนคลาย

“เลิกห่วงได้แล้วครับ ผมดำเนินการเรียบร้อยตั้งแต่อยู่ที่บริษัทเมื่อเช้า”

“คุณหมายความยังไงฉันไม่เข้าใจ”

เจคเอ่ยเรื่อยเฉื่อยราวพูดเรื่องไร้ความสำคัญ “ผมไปถามลุงเสริฐมาว่าผมมีสิทธิ์เบิกเงินกงสีได้ไหม เขาถามจะเอาไปทำอะไร ผมบอกอยากได้รถสักคันจะได้ไม่ต้องคอยกวนคุณ ทีนี้เคยคุยกับพี่ปริ้นแล้วสนใจรถสปอร์ต ถ้าพอจะเบิกสักสองล้านไปซื้อได้คงดี ลุงเสริฐก็อนุญาตเฉยเลย”

“เดี๋ยวนะ” อีกฝ่ายยังไม่เชื่อหู “คุณขอเงินกงสีมาสองล้าน!”

อันที่จริงไม่สามารถเบิกทีเดียวได้มากขนาดนั้น แต่ประเสริฐคงทบต้นทบดอกนับรวมสิทธิ์ย้อนหลังที่เจคไม่เคยใช้เงินกงสีมาหลายปี

“ใช่ ตอนขับรถไปบริษัทผมพยายามคิดจนแน่ใจคุณไม่มีทางหาเงินสองล้านได้ทันแน่ ยังไงก็ต้องขอเงินกงสีมาช่วย ผมเลยทำให้แทนเสียเลย”

เธอเม้มปาก “คุณรู้ได้ยังไงว่าฉันจะหาเงินไม่ทัน”

“เพราะอาการลนลานของคุณตอนรู้ข่าวโบรกเกอร์โดนอายัดทรัพย์ไง ถ้าคุณมีทางหาเงินด้วยวิธีอื่นอีกคงรีบจัดการไปแล้ว แทนที่จะมัวติดต่อทนายพยายามเอาเงินขายหุ้นกลับมาจากโบรกเกอร์”

ถ้าไม่ใช่สถานการณ์หมิ่นเหม่ วิมลินคงยอมชมเขาสักสองสามคำที่ช่างสังเกต “ถึงมันจะจริงก็เถอะแต่คุณจะเอาตัวพัวพันด้วยการขอเงินกงสีทำไม ยกเลิกเถอะค่ะเดี๋ยวฉันคุยกับลุงเสริฐเอง”

“คุณห่วงว่าพวกเขาจะจับโยงเรื่องการขอเงินกงสีกับการซื้อที่ แล้วถ้ายกเลิกคำขอผมจากนั้นคุณก็ขอใหม่อีกรอบมิยิ่งน่าสงสัยกว่าหรือ”

“แต่เงินตั้งสองล้าน มันอาจทำให้มีปัญหาเวลาคุณจะถอนตัวจากบุหรงกาญจน์นะคะ”

“หลังเราให้เงินคุณปริ้นไปแล้วคุณจะมีเวลาหาเงินใหม่อีกรอบ เราก็เอาเงินนั้นคืนกงสีไปโดยบอกผมเปลี่ยนใจแล้ว ทุกอย่างจะกลับสู่สถานะเดิม”

หญิงสาวยกมือนวดหว่างคิ้ว “นี่คุณคิดไว้หมดแล้วสิ”

“ผมก็ลองพยายามในแบบของผม ใครจะอยากเป็นตัวถ่วงคุณอย่างเดียว” เขายื่นมือไปหาเธอ “เพื่อรักษามูลนิธิเอาไว้ มาร่วมมือผ่านศึกครั้งนี้ไปด้วยกันเถอะนะ…หุ้นส่วน”

วิมลินมองฝ่ามือหนาใหญ่ตรงหน้าอย่างชั่งใจ แม้ไม่ชอบที่เจคทำโดยพละการแต่ต้องยอมรับว่าวิธีชายหนุ่มเหมาะสมกว่าในสถานการณ์เช่นนี้ จึงจำใจบีบมือนั้นตอบ

ทว่าหากเธอสามารถรู้อนาคตสักนิด อาจเปลี่ยนจากบีบมือเป็นบีบคอเขาแทน!

 

แล้วก็มาถึงวันชี้ชะตา เจคและวิมลินอยู่กันในห้องทำงานของบริษัท เท่าที่ทราบปวินท์ไม่มาทำงานซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลก ส่วนผู้บริหารคนอื่นต่างมีธุระไปข้างนอกกันหมด ช่วงบ่ายอันเป็นเวลานัดหมายที่ต้องส่งเงินให้ปวินท์พวกเขาสองคนจึงค่อนข้างว่าง

“เดี๋ยวฉันไปสั่งพนักงานว่าห้ามรบกวนถ้าไม่จำเป็นนะคะ” วิมลินชี้แจงพลางขอตัวออกจากห้อง ปล่อยชายหนุ่มอยู่ตามลำพัง

หญิงสาวโอนเงินสามล้านไปทิ้งไว้ในบัญชีของทนายเพื่อเตรียมโอนต่อให้ปวินท์อีกทอด รอเพียงส่วนของเจคมาเติมให้ครบห้าล้าน ทางด้านเจคนั้นเปิดบัญชีธนาคารของไทยไว้ตั้งนานแล้ว เขา ‘อ้าง’ กับวิมลินว่าประเสริฐรับปากจะโอนเงินให้ตอนบ่ายสอง

เจคหมุนโทรศัพท์ในมือเล่นอย่างเลื่อนลอย ภาวนาให้แผนการลุล่วงโดยไร้อุปสรรค จนกระทั่งเครื่องมือสื่อสารส่งสัญญาณให้เขาก้มดูข้อความซึ่งใครบางคนส่งมา เมื่อนั้นรอยยิ้มแฝงเลศนัยพลันผุดยังมุมปากช้าๆ

ปัง!

วิมลินกระแทกประตูเข้ามาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย พลางก้าวฉับๆ มาหยุดยืนตรงหน้าโต๊ะทำงาน จ้องเขาตัวสั่นเทิ้ม

“คุณโกหก เมื่อกี้ฉันแวะถามฝ่ายบัญชี ไม่มีคำสั่งลุงเสริฐเตรียมโอนเงินอะไรเลย คุณไม่ได้ขอเงินกงสีไว้ใช่ไหมคะ!”

เธอนึกเอะใจอยู่บ้างแล้ว แต่กลับหาเหตุผลหรือหลักฐานยืนยันแน่ชัดไม่ได้ ส่วนหนึ่งเพราะกลัวทางลุงเสริฐสงสัยจึงไม่กล้าถามข้อมูลกับทางนั้น กว่าจะรู้ตัวเลยสายเกินไป

ชายหนุ่มยังหมุนโทรศัพท์เล่นไม่อนาทร “คุณจับไต๋ผมเร็วจังแฮะ นึกว่าต้องรอหลังเรื่องจบค่อยสารภาพให้คุณรู้ตัวเสียอีก”

“ทำอย่างนั้นเพราะอะไรคะ!” หญิงสาวตาแดงฉาน

“ผมโกรธ ถึงคุณปริ้นจะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นคุณแต่การฉกเงินคนอื่นหน้าด้านๆ แบบนี้มันไม่ยุติธรรม คุณต้องเสียเงินหลายล้านไปฟรีๆ ทำไม”

“เลยจะล้มกระดาน ทำลายแผนการเอาที่ดินมูลนิธิกลับมางั้นหรือ” เพราะเหตุผลนี้เธอถึงตกหลุมพรางครั้งใหญ่ วิมลินไม่เคยคิดว่าเจคจะกล้าปล่อยมือจากการช่วยเหลือมูลนิธิเลย

คนฟังเลิกคิ้ว “เข้าใจผิดแล้ว เงินสองล้านกำลังจะถูกโอนเข้าบัญชีของทนายโดยตรง ยังไงวันนี้คุณปริ้นต้องได้เงินห้าล้านจนกระเป๋าตุงแน่ อย่ากังวลเลยครับ”

วิมลินมองเขาเหมือนเจคกำลังพูดว่าจะมีกบตกจากฟ้า “แต่คุณไม่ได้ขอเงินกงสีไว้ แล้วสองล้านจะมาจากไหน”

ชายหนุ่มฉีกยิ้มกว้าง “ผมมีคนคอยช่วยเหลือ”

 

ย้อนกลับไปในช่วงเที่ยงของวันนี้ ปวินท์ผู้ออกจากบ้านแต่เช้า ขับรถข้ามจังหวัดมานั่งรอคนในคลับเฮาส์ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสนามกอล์ฟที่เขาใช้บริการประจำ สนามกอล์ฟแห่งนี้เปิดรับทั้งสมาชิกและคนนอกแต่เนื่องจากปวินท์เป็นสมาชิกระดับสูง เมื่อร้องขอจึงได้ใช้ห้องรับรองส่วนตัวทางชั้นบนของคลับเฮาส์ ภายในมีโซฟาครึ่งวงกลมเบาะหนานุ่ม โทรทัศน์และตู้เย็นเสิร์ฟเครื่องดื่ม หน้าต่างกว้างมองเห็นสนามกอล์ฟเขียวขจี

ปวินท์กำลังดื่มแชมเปญที่ทางสนามกอล์ฟอภินันทนาการเป็นพิเศษ ตอนพนักงานต้อนรับนำทางแขกมาหาถึงห้อง

ชายฝรั่งตัวสูง ผมหยักศกและตาสีน้ำตาลเข้ม ยิ้มกว้างจนเห็นฟันขาวเรียงเป็นระเบียบ มาถึงก็ยื่นมือไปทางปวินท์พลางแนะนำตัว

‘ผมมานูเอลครับ ยินดีที่ได้รู้จักคุณปวินท์’

สำเนียงภาษาอังกฤษเขาค่อนข้างแปร่งถึงกระนั้นกลับเรียกชื่อไทยชัดเจนพอใช้ ปวินท์จับมือเขย่าพลางคิดว่าควรสั่งแชมเปญเลี้ยงอีกฝ่ายไหม แต่ก็ไม่ทำ

‘คุณบอกว่ามี Porsche 981 ขายใช่ไหม’

‘Porsche Boxster 2.7 Convertible Model 981 ครับ’ หนุ่มฝรั่งเสริมรายละเอียด ลงท้ายแต่ละคำเสียงหนัก ปวินท์ฟังจนเคลิ้มกับการพูดศัพท์ในวงการแบบถูกต้องทุกคำ พอใจเมื่อเจอคอเดียวกัน

‘มือสอง?’

‘รถสะสมครับ’ มานูเอลเลี่ยงคำที่ลดภาพลักษณ์สินค้าอย่างมืออาชีพ ‘สภาพเรียบกริบแต่ขายแค่สองล้าน ผมเสียดายถ้ามีเวลาจะปั่นราคาถึงสี่ล้านสบายๆ เลย แต่เจ้าของจำเป็นต้องรีบปล่อย และไม่อยากผ่านร้านขายรถมือสองให้ประเจิดประเจ้อ’

‘ถามเหตุผลที่รีบขายได้ไหม’

หนุ่มฝรั่งทำท่าชั่งใจพักใหญ่ ‘เจ้าของเกี่ยวข้องธุรกิจสีเทา อาจโดนหางเลขยึดทรัพย์เร็วๆ นี้ เปลี่ยนของเป็นเงินโยกย้ายง่ายกว่านี่ครับ’

ปวินท์เลิกคิ้ว ‘นี่คุณกล้าบอกผมตรงๆ เลยหรือ’

‘ผมรู้คุณปวินท์เป็นคนเข้าใจอะไรง่าย และระดับคุณต้องรู้กฎหมายไทยดี ถ้าบุคคลที่สามซื้อของมาโดยสุจริต แม้ของนั่นจะมีปัญหาภายหลังก็ไม่ต้องคืน’

คนฟังหัวเราะชอบใจก่อนหุบยิ้มฉับ ‘แต่ผมยังต้องขอเวลาตัดสินใจนะ’

แม้สินค้าจะน่าสนใจมากถึงกระนั้นราคาที่เสนอมันชวนสงสัย สงวนท่าทีไว้ก่อนดีกว่า

‘เข้าใจครับของราคาไม่ใช่บาทสองบาท ยังไงลองตรวจเอกสารของรถดูก่อนไหมครับ เราทำอย่างถูกต้องพร้อมโอนได้ทันที’

ปวินท์รับสำเนาเอกสารมาดู ที่ควรมีก็มีพร้อมจริงๆ ‘ปิดชื่อกับรายละเอียดเจ้าของรถไว้ด้วย’

‘เราขอสงวนไว้เพราะต้องเอาให้ลูกค้าตรวจสอบอีกหลายรายครับ มีคนติดต่อมาเยอะ’ มานูเอลชี้แจงพลางหยิบโทรศัพท์มาพิมพ์โต้ตอบ ปากก็ว่า ‘แต่ไหนๆ รถมาถึงแล้วจะดูสักหน่อยไหมครับ คนขับเพิ่งแจ้งมาที่ผมนี่เอง’

ปวินท์ตาวาว รีบลุกตามมานูเอลไปที่หน้าต่าง ด้านล่างคือลานจอดรถที่คั่นระหว่างตึก เห็นรถเปิดประทุนสองที่นั่งเพิ่งวิ่งเข้ามาจอด สีดำมันวับโดดเด่นจนยากละสายตา

‘Porsche Boxster 981 ม้าศึกคะนองสายเลือดเยอรมัน ตัวรถสีดำตัดด้วยเบาะแดงอันเป็นเอกลักษณ์ เครื่องยนต์กลางลำหลังเบนซินหกสูบ 2706 ซีซี วิ่งแค่ห้าหมื่นกิโลเท่านั้น’ หนุ่มฝรั่งสาธยายอย่างคล่องแคล่ว ปวินท์แทบเกาะหน้าต่างมองน้ำลายไหล มานูเอลยื่นหน้าไปหา ‘ลองขับดูไหมครับ’

ไม่มีทางได้ยินคำปฏิเสธ แต่พวกเขาเพิ่งเดินถึงกลางห้องโทรศัพท์มานูเอลพลันดังขึ้น หนุ่มฝรั่งขอตัวไปรับสายนอกห้องปล่อยปวินท์ไว้กับความกระวนกระวายอยากสัมผัสรถในฝัน ประมาณห้านาทีมานูเอลก็กลับเข้ามาพร้อมสีหน้าเคร่งเครียด

‘ขออภัยอย่างสูงครับคุณปวินท์ ผมจำเป็นต้องยกเลิกการซื้อขายครั้งนี้’

ปวินท์ตาเหลือก คว้าแขนหนุ่มฝรั่งที่กำลังเก็บเอกสารบนโต๊ะ ‘เดี๋ยวสิ! ทำไมล่ะ’

‘ลูกค้าที่ผมเอารถไปให้ลองเมื่อเช้าติดต่อกลับมาจะซื้อรถเลย สั่งผมเอาไปส่งตอนนี้ครับ ให้ผมเดาเขาคงใช้เวลาตรวจสอบว่ารถคันนี้ไม่เคยผ่านการชนหนักมาจนแน่ใจแล้ว’

ปวินท์อึ้ง เขาพอรู้ถ้ามีเส้นสายในวงการ จะสืบประวัติรถมือสองสักคันมันไม่ยากอะไรนัก และข้อมูลที่ตรวจสอบนั่นก็ตรงกับความกลัวของเขาพอดี ปวินท์กังวลรถคันนี้จะเคยถูกชนจนเสียหายหนักแล้วซ่อมเพื่อย้อมแมวขาย เท่านี้ความกลัวก็ถูกขจัดทิ้งแล้ว

มานูเอลก้มหัวขออภัยอีกครั้ง ‘เสียดายที่ไม่ได้ดูแลคุณปวินท์ต่อ ไว้โอกาสหน้านะครับ’

ปวินท์หมุนตัวขวางเขาไว้ ‘ขอเวลาผมอีกนิดเถอะ’

หนุ่มฝรั่งมีอาการกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ‘อย่างที่คุณทราบ เจ้าของรถอยากรีบขายให้เร็วที่สุด ขืนรู้ว่าผมยื้อเวลาทั้งที่ขายได้แล้วผมคงแย่ ในเมื่อคุณปวินท์ยังไม่ได้จ่ายเงินรถก็ไม่ใช่ของคุณ ตัดใจเถอะครับ’

ปวินท์ลนลานแทบคลั่ง รถระดับสูงในราคาถูกแสนถูก…โอกาสแบบนี้จะวนมาหาในชีวิตสักกี่รอบกัน สมองหมุนเร็วจี๋ก่อนปากจะโพล่งขึ้น

‘ผมโอนเงินให้เลย!’ เขาจิ้มนิ้วใส่อกอีกฝ่าย ‘ทางนั้นยังไม่จ่ายแต่ผมวางเงินแล้ว เท่ากับผมเป็นเจ้าของรถใช่ไหม’

มานูเอลตาลุกก่อนเปลี่ยนใจส่ายหัว ‘บัญชีรับโอนเป็นบัญชีต่างประเทศเพื่อป้องการถูกอายัด ถึงคุณจะโอนแต่กว่าเงินจะเข้าบัญชีก็อีกหลายวัน สู้เงินสดที่ลูกค้าอีกคนจะจ่ายไม่ได้หรอกครับ’

‘บัญชีต่างประเทศของที่ไหน’ แน่นอน สถานที่ยอดฮิตซึ่งสามารถเปิดบัญชีธนาคารลักษณะนี้อย่างปลอดภัยย่อมมีไม่กี่แห่ง เมื่อปวินท์ได้ยินจึงแสยะยิ้มทันที ‘ที่นั่นผมก็มีบัญชี โอนเงินเข้าได้เลย ยังติดปัญหาอะไรอีกไหม’

มานูเอลหน้าบานเป็นกระด้ง พวกเขากลับไปสุมหัวกันที่โซฟาครึ่งวงกลม ปวินท์ใช้โทรศัพท์สองสามครั้งก็สำเร็จ หนุ่มฝรั่งตรวจสอบกับเจ้าของรถเพื่อยืนยันยอดเงินในบัญชีแล้วรีบบอกอีกฝ่าย

‘เรียบร้อยครับ’

ปวินท์ยักไหล่ทำนองเรื่องกล้วยๆ ลุกขึ้นจะตามอีกฝ่ายไปแต่มานูเอลยกมือห้าม

‘เดี๋ยวผมลงไปเอาเอกสารตัวจริงขึ้นมาให้คุณเซ็นเพื่อทำสัญญาซื้อขายและทำการโอนรถนะครับ’ เขาหลิ่วตาแซว ‘ไว้รอขับเจ้าม้าคะนองนั่นครั้งแรกตอนเป็นเจ้าของมันแท้ๆ แล้วดีไหมครับ’

ปวินท์หัวเราะลั่น กระแทกนั่งโซฟา สองแขนกางพาดพนักพิงอย่างสบายใจ ราวสิบนาทีโทรศัพท์พลันส่งเสียงเตือน ที่แท้คนซื้อที่ดินโอนเงินห้าล้านที่ร้องขอมาให้เรียบร้อย ชายหนุ่มฉีกยิ้มไม่หุบ เริ่มฝันหวานถึงภาพตัวเองตอนขับรถเปิดประทุนชมวิวสองข้างทางกลับกรุงเทพฯ ส่วนรถคันเดิมฝากไว้ที่นี่ก่อน ยิ่งคิดยิ่งนั่งไม่ติดต้องเด้งตัวไปตรงหน้าต่างมองรถอีกครั้ง ยามนี้คนขับออกมารอด้านหน้ารถกำลังคุยโทรศัพท์ เสร็จสรรพก็นั่งรอยังม้านั่งแถวนั้น แต่ไม่เห็นมานูเอล หนุ่มฝรั่งคงจะไปเอาเอกสารที่รถตัวเอง

แล้วเวลาก็ผ่านไป จากวินาทีเป็นนาที จากนาทีเป็นชั่วโมง ปวินท์ชักหงุดหงิด ลองโทร.หาก็ไม่มีใครรับสาย ไอ้ฝรั่งตาน้ำข้าวหายไปไหนวะ!

เขาทนรอไม่ไหวจึงลงมายังชั้นล่างของคลับเฮาส์ เนื่องจากไม่รู้มานูเอลจอดรถที่ไหนเลยตรงไปหาคนขับรถปอร์เช่แทน ‘นี่คุณมานูเอลหายไปไหน’

‘หา อะไรนะ’

ความหงุดหงิดเปลี่ยนเป็นความโกรธ ‘โอ๊ย! ปัญญาอ่อนกันรึไง ช่างเถอะเอากุญแจรถมา ฉันจะขับกลับก่อนให้มานูเอลเอาเอกสารตามไปที่กรุงเทพแล้วกัน’

เพิ่งพูดจบคนขับปอร์เช่พลันถอยห่างจากเขา ‘ประสาทเหรอคุณไปไกลๆ เลย ผมรอลูกค้าซื้อรถอยู่’

‘ก็ผมนี่ไงลูกค้าที่ติดต่อผ่านมานูเอลไว้’

‘ใครกันผมไม่รู้จัก ลูกค้าผมเป็นฝรั่งชื่อบรูโน นัดดูรถกันที่นี่แต่ปล่อยผมรออยู่นั่น เอาแต่โทรไม่ก็ส่งข้อความว่าใกล้ถึงๆ’

สังหรณ์ร้ายวาบขึ้นถึงกระนั้นปวินท์ยังส่ายหัวปฏิเสธ ‘เล่นตลกอะไร รถเป็นของฉันส่งกุญแจมา’

คนขับหรือจะยอม สองฝ่ายยื้อแย่งกุญแจจนพนักงานสนามกอล์ฟต้องเข้ามาห้าม ไกล่เกลี่ยจนพวกเขายอมไปคุยในคลับเฮาส์ คนขับปอร์เช่ติดต่อต้นสังกัดจนได้ข้อมูลมาแสดงกับปวินท์ เป็นรูปในสื่อสังคมออนไลน์ของ ‘ลูกค้า’ ที่ติดต่อซื้อรถ มันคือรูปมานูเอลแต่ใช้ชื่อว่าบรูโน!

‘ตะ…แต่เขามีเอกสารเกี่ยวกับรถมาให้ดูด้วยนะ’

‘ทางเราเป็นคนส่งให้เขาเองครับ เขาอ้างว่ารถราคาตั้งสี่ล้านต้องตรวจสอบทุกอย่าง’

เหมือนโดนค้อนเหล็กตอกใส่หัวจนแทบสลบ ปวินท์อ้าปากค้าง…สรุปว่าเขาถูกหลอก!



Don`t copy text!