นิราศรักสองนครา บทที่ 2 : ทุ่งสามเสน

นิราศรักสองนครา บทที่ 2 : ทุ่งสามเสน

โดย : ปรียนันทนา

Loading

นิราศรักสองนครา โดย ปรียนันทนา เรื่องราวของโชติ หญิงสาวชาวสยาม กับทางเลือกสองทาง ความรักของชายหญิงกับความรักหวงแหนแผ่นดินเกิด เธอจะเลือกทางใด และหากไม่สามารถเลือกได้  จะมีหนทางใดที่ใจสองดวงจะมาบรรจบพบกัน ณ จุดที่ลงตัวได้หรือไม่ นวนิยายออนไลน์ที่อ่านเอาอยากให้คุณได้อ่านพร้อมกันที่นี่ anowl.co

เด็กชายผมจุกสามคนผู้กำลังวิ่งซุกซนใต้ถุนเรือนตะโกนเรียกนางแสงหญิงวัยกลางคนขณะกำลังเดินมาใกล้ แสงเป็นลูกหลานของผู้อุทิศที่ดินสร้างวัดสามพระยาหรือวัดบางขุนพรหม ขุนพรหมเป็นชื่อต้นตระกูลฝ่ายมารดาผู้ซึ่งเสียชีวิตจากไข้ป่าระหว่างปฏิบัติหน้าที่เป็นนายช่างควบคุมการก่อสร้างและปฏิสังขรณ์มณฑปพระพุทธบาทที่สระบุรี หลวงวิสุทธิ์โยธามาตย์พี่ชายของท่านจึงได้ยกที่ดินเหนือคลองบางลำพูเพื่อให้สร้างวัด หญิงกลางคนหน้าตาอิ่มเอิบดูภูมิฐานแต่งกายด้วยผ้านุ่งยาวสวมเสื้อแขนยาวมีผ้าสไบพาดไหล่ตามแบบสตรีมอญ นางเพิ่งกลับจากการทำบุญที่วัด และกำลังเดินตรงกลับมายังเรือนหลังใหญ่ซึ่งด้านหน้ามีคนเดินเข้าออกเนื่องจากบ้านของนางเป็นสถานที่ทำใบลานส่งขายไปทั่วพระนคร เด็กชายผู้วิ่งเล่นแถวนี้ก็เป็นลูกหลานเครือญาติในละแวกบ้าน เรือนของนางจึงไม่เงียบเหงาแม้ว่าบุตรสาวคนเดียวที่ควรอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือนจะมิค่อยอยู่ช่วยมารดามากนักเพราะหญิงสาวนิยมติดตามบิดาไปเรือนพี่สาวหรือคุณหญิงป้าของเธอมากกว่าก็ตาม

“ว่าอย่างไรแดง ใหญ่ อ้น ตะโกนโหวกเหวกเรียกป้าเสียงดังเทียว”

“มีคนมาหาคุณป้าน่ะ ฉันบอกให้อ้นวิ่งไปตามที่วัดแต่มันบอกว่าเดี๋ยวคุณป้าก็กลับ เลยให้เขาไปรอที่ศาลาริมน้ำ” เด็กชายผมจุกนุ่งโจงกระเบนหน้าตามอมแมมแต่ดวงตาสดใสเป็นประกายซุกซนตามวัยตอบเสียงเจื้อยแจ้ว

“ขอบใจ มาเอาขนมไปกินสิ เดี๋ยวป้าเดินไปดูก่อนว่าใครมาหา” นางยื่นตะกร้าขนมกะละแมให้

“แต่งตัวเสียเต็มยศเชียวจ้ะ ฉันคิดว่าคงอยู่วังสมเด็จฯ แหละ” เด็กชายแดงรับขนมมาส่งให้เพื่อนพลางแกะห่อในมือของตนแล้วเคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อย

“คงเป็นพ่อพร้อมใช่หรือไม่ เจ้าจำมิได้หรือแดง”

“ฉันจำไม่ได้ดอกจ้ะ ใครหรือจ๊ะ”

“ก็พ่อพร้อมน้องชายคุณจอมวาดอย่างไรเล่า”

“เช่นนั้นเอง แหม ฉันจำมิได้ ปกติท่านมิได้แต่งตัวเช่นนี้แลมิได้ทำหน้าตาขึงขังเช่นนี้ด้วย” เขานึกถึงดวงหน้าคมสันแต่ขรึมจนรู้สึกได้ถึงความเครียดก็ถึงกับย่นคออย่างระย่อด้วยรู้สึกเกรงขาม

นางแสงรีบสาวเท้าไปทางศาลาริมน้ำซึ่งนางแน่ใจว่าผู้มาเยือนคงเป็นบุคคลที่ตนเองเอ่ยถึงเมื่อครู่ด้วยว่าเป็นช่วงทำบุญสงกรานต์ คุณพร้อมหรือหลวงภูบดินทร์พิทักษ์มักแวะเวียนมาหาเสมอด้วยนางเป็นเพื่อนสนิทของพี่สาวผู้ที่ได้ถวายตัวเป็นเจ้าจอมในพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวหลายปีแล้ว

“นั่นปะไรเล่า คุณหลวงจริงๆ ด้วย” นางนั่งพักเหนื่อยพร้อมกล่าวทักทายอย่างยินดี

“กราบพี่แสงขอรับ” หนุ่มใหญ่วัยสามสิบปีท่าทางเคร่งขรึมพนมมือไหว้เพื่อนพี่สาวอย่างเคารพ

“จ้ะ ว่าแต่กลับมาจากวังสีทาเมื่อใดกัน” นางแสงหมายถึงพระบวรราชวังที่สระบุรีซึ่งสมเด็จพระปิ่นเกล้าทรงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างเพื่อแปรพระราชฐาน

“ตั้งแต่วานซืนแล้วขอรับ พระองค์ท่านทรงประชวร กลับมาเลยให้หมอฝรั่งเข้าไปถวายการรักษา”

“แล้วนี่คุณหลวงจะกลับบ้านหรือไปเข้าเฝ้าล่ะ” ตอนแรกนางคิดว่าหลวงภูบดินทร์พิทักษ์มาพบปะพูดคุยเสมือนทุกปีในช่วงสงกรานต์ หากแต่เมื่อได้ทราบข่าวว่าเจ้านายทรงมีพระประชวรทำให้แสงใจไม่สู้ดีนัก

“พระองค์อาการดีขึ้นแล้วละขอรับ ฉันว่าจะกลับไปบ้านสักหน่อย ไม่ได้เจอแม่หนูหลายวันแล้ว” เขาเอ่ยถึงบุตรสาวที่เพิ่งเกิดได้ไม่ถึงหนึ่งปีด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

“แม่จันเป็นอย่างไรบ้าง พี่ก็คิดจะไปเยี่ยม ติดเสียแต่วันๆ ตื่นมาก็วุ่นหลายเรื่อง รู้ตัวอีกทีก็ได้เวลาเข้าครัวทำสำรับเย็นให้คุณพี่ผู้ชายเขาเสียแล้ว” แสงถามถึงภรรยาของน้องชายเจ้าจอมวาดอย่างคุ้นเคย

“มิเป็นไรมิได้พี่แสง บ้านฉันก็มีบ่าวมากมาย แม่จันไม่ได้ลำบากสิ่งใด” เขาเอ่ยอย่างเกรงใจ

“แม่หนูเพ็ญคงกำลังน่ารัก อยากไปเห็นหน้าสักหน่อย ไม่ได้พบกันหลายเดือนแล้ว ไปวันนี้เลยปะไร ได้หรือไม่พ่อพร้อม” เมื่อบรรยากาศสนทนาลื่นไหลนางจึงเรียกชื่ออีกฝ่ายอย่างที่เคยคุ้นมา

“ได้สิขอรับคุณพี่ ว่าแต่เย็นนี้มิต้องจัดสำหรับให้คุณพี่ผู้ชายดอกหรือ” เขาเย้าอีกฝ่ายอย่างเป็นกันเองเช่นกัน

“มิต้อง เขาว่าอาจรับที่เรือนโน้น” แสงหมายถึงบ้านพี่เขยของสามีผู้เป็นบุตรชายคนโตของเจ้าคุณกลาโหม “แม่โชติก็ยังมิกลับจากบ้านครูแหม่มของเขา”

“แม่โชติหรือขอรับ”

“ใช่ พ่อพร้อมจำได้หรือไม่เล่า มิได้พบกันนานโข แต่แม่โชติไปหาแม่จันเป็นครั้งคราวนะ ลูกสาวของพี่นี้ดูจะไม่ใช่แม่บ้านแม่เรือนเอาเสียเลย วันๆ เอาแต่ไปโน่นมานี่” นางออกตัวหัวเราะอย่างเอ็นดูเมื่อเอ่ยถึงบุตรสาวคนเดียว

“ท่าทางแม่โชติจะชอบพบปะผู้คนนะขอรับ หากเป็นชายน่าจะช่วยงานราชการได้มากเอาการ” เขาเปรยอย่างเห็นจริงตามนั้น

“เห็นจะจริง นั่นปะไรล่ะ พูดถึงก็มาพอดี” สายตามารดาหันไปเห็นสไบสีชาดขับกับผิวสองสีเนียนตา เจ้าตัวเดินตรงมาที่ศาลาด้วยสงสัยว่าบุรุษผู้นั่งหันหลังเป็นใคร เพราะเครื่องแบบทหารเช่นนี้ไม่ชินตาหญิงสาวเสียเลย แต่หญิงสาวก็นึกรู้ว่าคงเป็นคนจากวังหน้าเป็นแน่

“แม่โชติ มาไหว้คุณหลวงสิ จำได้ไหมเล่า” แสงเอ่ยเรียกบุตรสาวเสียงยินดี ก่อนที่หญิงสาวจะเดินไปใกล้ผู้มาเยือน หลวงภูบดินทร์พิทักษ์หันมาพิจารณาหญิงสาวที่เขาเห็นมาแต่เล็กด้วยแววตาฉงน ชั่วระยะเวลาเกือบสองปีที่ไม่ได้เจอหล่อน เด็กหญิงโชติเติบโตเป็นสาวสะพรั่ง หน้าตามีเค้ามารดาหากแต่กิริยาองอาจนั้นดูจะได้พระนรินทรราชเสนาผู้เป็นบิดามาไม่ใช่น้อย

“คุณหลวงหรือคะแม่” หญิงสาวพนมมือไหว้อีกฝ่ายอย่างนอบน้อมหากแต่ดวงตายังฉงนว่าเขาคือใคร กระทั่งเพ่งอยู่ครู่หนึ่งจึงจำได้ชัดเจนว่าคือสามีของผู้ที่เธอแวะเวียนไปเยี่ยมเยือนนั่นเอง “คุณน้าพร้อม เอ้อ คุณหลวงเองหรือคะ”

“เรียกเช่นเดิมเถิดแม่โชติ” เขาเอ่ยอย่างใจดี

“มิได้ดอกค่ะ เรียกแบบเดิมแม่ก็ดุฉันแย่สิคะ” หญิงสาวยืนกรานเสียงนุ่มทว่าหนักแน่นพลางหันไปมองมารดายิ้มๆ

“แม่คิดว่าจะไปเยี่ยมแม่จันกับหนูเพ็ญสักหน่อย แม่โชติมาก็ดีแล้ว ไปด้วยกันสิ”

“ว่าแต่แม่จะนำสิ่งใดไปมอบให้แม่หนูเพ็ญอีกคะ คราวที่แล้วก็ให้ฉันเอาของเล่นจากใบลาน พวกนกสาน ตั๊กแตนสานไปให้ ยายหนูชอบใจมากเลยค่ะ” เธอสาธยายจนมารดาเอื้อมมือมาสะกิดเมื่อเห็นหลวงภูบดินทร์พิทักษ์หัวเราะออกมา

“ขอบคุณพี่แสงมากขอรับ กระผมมิใคร่ได้อยู่เรือนนัก ทั้งยังติดตามออกนอกพระนครบ่อยครั้ง ได้พี่แสงแลแม่โชติมาช่วยดูลูกเมียก็เบาใจ”

“เช่นนั้นประเดี๋ยวพี่กับแม่โชติจะไปหาแม่จันนะ”
“ได้สิขอรับ ไปด้วยกันเสียตอนนี้ก็ย่อมได้ กระผมจอดเรือไว้ที่ท่าน้ำจะได้มิเสียเวลา”

เขาเอ่ยอย่างเต็มใจ พลางนั่งรอระหว่างที่สองแม่ลูกปลีกตัวไปตระเตรียมข้าวของสำหรับไปพบภรรยาและลูกของเขา แม้จะห้ามปรามแต่นางแสงก็ไม่ยอมเพราะรักเอ็นดูบุตรสาวของเขาเสมือนหลานของเธอเอง เขาจึงตามใจ ส่วนแม่โชติก็ดูกระตือรือร้นมิได้เหน็ดเหนื่อยเพราะกลับมาจากบ้านครูฝรั่ง หญิงสาวมีสีหน้าแช่มชื่นเสมอราวกับว่าโลกของเธอไม่เคยมีเรื่องทุกข์ร้อน แม้เขามิได้พบหน้าหล่อนมาเกือบสองปีหากแต่ยังจำได้ว่าในวัยเยาว์โชติช่างเจรจา น้ำเสียงเจื้อยแจวยังเสนาะหู เมื่อเติบโตเป็นสาวก็ดูจะมีนิสัยไม่ต่างจากวัยเด็ก จนเขาเกือบคิดว่าเธอยังเดียงสาไม่ต่างจากแม่เพ็ญบุตรสาวของเขานัก

 

มิเชลนั่งรถม้าชมบ้านเมืองสยามอย่างตื่นตา ผู้ติดตามบอกว่าถนนเจริญกรุงเส้นนี้เพิ่งสร้างเสร็จไม่นาน ก่อนหน้านี้บางกอกไม่มีถนนตัดเรียบสำหรับรถม้าวิ่งเช่นนี้ แต่เมื่อชาวต่างชาติมาอยู่มากขึ้นได้แจ้งความประสงค์ไปยังในวังหลวงเรื่องข้อดีสำหรับการมีถนน ในหลวงจึงทรงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างถนนเจริญกรุงโดยเริ่มจากบริเวณที่มีชาวต่างชาติพำนักอาศัยอยู่ก่อนแล้วจึงทำการสร้างในส่วนต้นที่ใกล้กับพระบรมมหาราชวัง เขาทอดสายตามองตึกแถวที่เริ่มสร้างริมถนนซึ่งล้วนแต่เป็นสถาปัตยกรรมแบบจีนผสมยุโรปซึ่งคงได้รับอิทธิพลจากคนโปรตุเกสที่เป็นนักเดินทางผู้เข้ามาบุกเบิกการติดต่อสัมพันธ์กับแถบดินแดนตะวันออกเป็นชาติแรกๆ

สายลมพัดแผ่วพอให้คลายความร้อน ชายหนุ่มเพลิดเพลินสำรวจรอบกายระหว่างทางอย่างหมายมั่นว่าครั้งหน้าจะลงไปเดินตามตรอกซอกซอยที่เขาเห็นบางจุดมีตลาดอันแสดงว่ามีชุมชนและชาวบ้านอาศัยอยู่ ผู้ติดตามที่โอบาเรต์พามานำเขาลงจากรถม้าแล้วพาลงเรือไปขึ้นหน้าวัดคอนเซ็ปชั่นอันเป็นบริเวณบ้านเขมร มิเชลเดินผ่านกลุ่มชาวบ้านที่กำลังยืนซื้อหาของกินของใช้อันเรียกได้ว่าเป็นตลาดย่อมๆ ประจำชุมชนก็ว่าได้ เขาหยุดยืนมองอย่างสนใจ ซึ่งชาวบ้านเหล่านั้นต่างไม่ใคร่ใส่ใจเขานักเพราะคงคุ้นชินกับชาวต่างชาติมากพอสมควร

“เรารีบไปที่วัดกันก่อนเถิด มิรู้ว่าเพลานี้ท่านเจ้าคณะมิสซังคนใหม่อยู่หรือไม่”

“ได้สิ” เขาตอบกลับผู้ติดตามซึ่งพูดภาษาฝรั่งเศสได้คล่องพอสมควร

เพียงไม่นานทั้งคู่เดินมายังทางเข้าซึ่งตั้งตระหง่านริมแม่น้ำ เขาปล่อยให้คนดูแลไปสอบถามด้านในก็ได้ความว่าวันนี้บาทหลวงไม่อยู่เพราะท่านไปวัดอีกแห่งหนึ่ง มิเชลจึงแจ้งว่าเขาจะมาอีก

“คราวหน้ากระผมควรถือหนังสือมาแจ้งที่นี่ก่อนท่านจะได้มิเสียเวลา”

“มิต้องทำเอิกเกริกถึงเพียงนั้นดอก ผมมิใช่ท่านกงสุล เอาเป็นว่าหากผมมิได้เรียนภาษากับบาทหลวงที่นี่ผมอาจจะศึกษาจากการมาพบปะชาวบ้านก็ได้” อีกฝ่ายยิ้มอย่างโล่งใจที่เห็นว่าหนุ่มฝรั่งเศสผู้ติดตามท่านกงสุลคนใหม่นี้ไม่ได้เป็นคนเจ้ายศแต่อย่างใด “เช่นนั้นวันนี้ผมใคร่เดินเล่นที่นี่สักครู่แลจักไปวัดที่ท่านกงสุลบอกว่ามีชุมชนมอญ ได้หรือไม่”

“เชิญท่านเดินตามสบาย หากมีสิ่งใดให้กระผมช่วยเหลือขออย่าได้เกรงใจนะขอรับ”

มิเชลจึงเดินนำหน้านายต่วนไปอย่างอารมณ์ดี ในมือของเขามีสมุดหนึ่งเล่มซึ่งชายหนุ่มมักเขียนบันทึกลงไปเมื่อพบสิ่งที่เขาถูกใจไม่ว่าจะเป็นการเดินทาง สภาพอากาศ ลักษณะผู้คนที่พบเจอ อาหาร รวมไปถึงเรื่องอื่นๆ ตามแต่ที่เขาเห็นว่าจำเป็นต้องใช้ในงานเขียน

แดดเริ่มแรงขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเขาเดินไปสักครู่ ผิวขาวเริ่มเปลี่ยนเป็นชมพูจนเกือบแดง เสื้อผ้าที่เคยรู้สึกว่าสวมสบายไม่ว่าเป็นกางเกงขายาวหรือเสื้อที่เขาสวมทั้งตัวในและตัวนอก มาบัดนี้ชายหนุ่มรู้สึกว่ามันทั้งหนาและหนักเกินสำหรับเมืองร้อนในยามกลางวันทั้งที่เขาเดินอยู่ไม่ไกลจากแม่น้ำ

“เราเดินไปนั่งพักใกล้ริมน้ำกันได้หรือไม่” เขาเอ่ยถามนายต่วนพลางยกแขนขึ้นซับเหงื่อตรงขมับ

“ได้สิขอรับ เช่นนั้นเราเดินไปตรงท่าน้ำใกล้วัดส้มเกลี้ยงกันเถิด คงมีของกินให้ท่านเลือกซื้อมากกว่านี้”

“ดีจริง ไปกันเถิด” เขาหยุดให้อีกฝ่ายนำไปก่อน

บริเวณท่าน้ำคึกคักกว่าตรงโบสถ์ที่เพิ่งผ่านมา ด้วยมีชายไทยแต่งกายด้วยผ้าพันท่อนล่างผืนเดียวกำลังขนของขึ้นลงระหว่างริมฝั่งกับบนเรืออย่างแข็งขัน เขาสังเกตเห็นสินค้าจำพวกเครื่องปั้นดินเผาที่ถูกลำเลียงจากเรือลำหนึ่งจึงมองอย่างสนใจ พลางหันไปถามต่วนจึงได้ข้อมูลว่ามาจากเกาะเกร็ดอันเป็นแหล่งเผาเตาของชุมชนมอญซึ่งตั้งอยู่ที่นนทบุรี มิเชลเดินต่อไปแล้วหยุดที่ร้านขายขนมหวานซึ่งมีน้ำในกระบอกไม้ไผ่ท่าทางหวานหอม เขาจึงขอให้ต่วนช่วยซื้อให้ ระหว่างที่ชายหนุ่มกำลังก้มเก็บสมุดใส่กระเป๋าเสื้อเขารู้สึกว่าได้กลิ่นหอมกรุ่นจางที่ไม่ใช่มาจากแก้วกระบอกไม้ไผ่เมื่อครู่ เมื่อเงยหน้าขึ้นมาเขาถึงกับตะลึงไปโดยพลันเพราะเสี้ยวหน้าด้านข้างของหญิงสาวคนหนึ่งซึ่งยืนในระยะประชิดเขานั้นช่างแตกต่างจากหญิงใดที่เคยพบ เป็นความแตกต่างที่ช่างงดงามราวกับภาพฝันจนเขาเผลอจ้องอยู่นาน รู้ตัวอีกทีเมื่ออีกฝ่ายมองตอบอย่างสงสัยแกมเคืองขุ่นพร้อมกับคำถามที่ทำเขายิ่งประหลาดใจมากขึ้นไปอีกกับความสามารถของหญิงสาว

“มองฉันด้วยเหตุใดกัน มีสิ่งใดฤๅ”

ภาษาอังกฤษของหล่อนมิได้ออกเสียงชัดเจน แต่ก็ไม่ยากที่จะทำความเข้าใจเพราะเขาเองไม่ได้เก่งมากเช่นกัน หญิงสาวไม่ปล่อยเขาสงสัยได้นานนักเพราะเธอกำลังส่งสายตาคาดคั้นแกมบังคับมาอย่างไม่ลดละ

แต่ถึงกระนั้นชายหนุ่มก็ยังอยากทอดเวลาออกไปสักนิดเพื่อชื่นชมความเจิดจ้าในดวงตาสีนิลคู่งามคู่นี้อย่างใคร่รู้ว่าเหตุใดหญิงสาวจึงกล้าหาญสนทนากับต่างชาติได้คล่องแคล่วราวเคยคุ้นกับภาษามานานนัก

 



Don`t copy text!