แรมสิบห้าค่ำนี้มีปาฎิหาริย์ บทที่ 10 : ใครกันแน่ที่มีเลือดกรุ๊ปพิเศษ (2)
โดย : ณรัญชน์
แรมสิบห้าค่ำนี้มีปาฎิหาริย์ นวนิยายเรื่องล่าสุดจาก ณรัญชน์ ที่อ่านเอาคัดสรรมานำเสนอ กับเรื่องราวของกระจกโบราณที่สามารถทำนายอนาคตมนุษย์ทุกคนได้อย่างแม่นยำ ‘วิศรุต’ จึงใช้มันมาลิขิตชะตาชีวิตตัวเอง แม้นั่นจะหมายถึงการทำลายล้างคนรอบข้างอย่างโหดเหี้ยม ไม่เว้นแม้แต่ผู้หญิงที่เขารัก นวนิยายออนไลน์จาก www.anowl.co
ธิปกวางช้อนลง ดื่มน้ำตามแล้วนั่งนิ่งไม่แตะต้องอาหารอีก ทั้งๆ ที่เพิ่งตักเข้าปากไปเพียงไม่กี่คำ เพื่อนร่วมโต๊ะของเขามองมาอย่างเข้าใจ
นาราพยายามปลอบเขา “ให้เวลาคุณชัชวาลอีกสองสามวันเถอะ ฉันว่ายังไงเขาก็ต้องยอมไปสารภาพความจริงเรื่องที่ใส่ร้ายคุณกับคุณมงคลแน่”
ธิปกส่ายหน้า ค่อนข้างหนักใจทีเดียว “ผมว่ายาก คุณก็ได้ยินแล้วว่าชัชวาลถือทิฐิขนาดไหน”
ทั้งคู่เพิ่งมาจากร้านของชัชวาลที่พระโขนง ตรงตามที่นาราบอกธิปก ชัชวาลกำลังนั่งไม่ติดเพราะความกลัดกลุ้มที่ลูกค้าซึ่งสั่งสินค้าไว้ไม่ยอมกลับมารับของ ในขณะที่ตัวเขาเอาเงินสำรองของทางร้านไปทุ่มซื้อสินค้าล็อตใหญ่ล็อตนี้ ทำให้ขาดทุนย่อยยับ
ใบหน้าหม่นหมองอมทุกข์และรอยคล้ำใต้ดวงตาแดงก่ำบอกให้รู้ว่าชัชวาลหลับไม่สนิทมาหลายคืนแล้ว แต่ทันทีที่ได้ยินข้อเสนอของธิปก ชัชวาลก็ปะติดปะต่อเรื่องได้ว่าเหตุร้ายที่เกิดขึ้นน่าจะเป็นผลงานของอดีตเพื่อนที่เขาเคยหักหลังนี่เอง
เขาชี้หน้าธิปก มือสั่นระริกด้วยความเจ็บใจสุดจะพรรณนา
‘นี่แกคิดจะแก้แค้นฉันงั้นสินะ แต่ฉันไม่มีวันล้มให้แกสมใจหรอก ฉันต้องหาทางรอดไปจนได้ละ’
‘ถ้าทางรอดของแกหมายถึงคุณวิศรุตละก็ แกน่าจะได้คำตอบแล้ว’ ธิปกตอบกลับ ‘ถ้าหากเขายอมช่วยแก แกคงไม่มากลุ้มใจอยู่แบบนี้หรอก เห็นหรือยังว่าคุณวิศรุตไม่ได้จริงใจกับแกเลยชัชวาล แต่ฉันนี่สิ ฉันจริงใจกับแกมาตลอด ตอนที่แกลำบากมาขอความช่วยเหลือจากฉัน ฉันก็ช่วยทุกอย่าง ทำไมแกไม่เห็นน้ำใจของฉัน ไม่คิดว่าควรจะคืนความบริสุทธิ์ให้ฉันบ้าง’
‘แกวางแผนบีบบังคับทำให้ฉันจนตรอกขนาดนี้แล้ว ยังจะหวังให้ฉันช่วยแกอีกหรือ’ เพื่อนของเขาโพล่งออกมาอย่างแสนแค้น ‘เอาละ ฉันยอมรับว่าฉันเคยทำไม่ดีกับแกมาก่อน แต่ฉันลำบากมาตลอดชีวิตแกก็รู้ แกจะปล่อยให้ฉันกับแม่มีความสุขบ้างไม่ได้เชียวหรือ ไอ้ธิปก’
‘ความสุขที่แม่คุณต้องการ ไม่น่าจะเป็นความสุขที่ตั้งอยู่บนความทุกข์ของคนอื่นนะคุณชัชวาล’ นาราอดแย้งไม่ได้ทั้งๆ ที่ตั้งใจว่าจะสงบปากสงบคำ ปล่อยให้ธิปกเกลี้ยกล่อมไปคนเดียวแล้วเชียวนะ
‘น้าพยอมรู้หรือเปล่าว่าคุณทำยังไงกับเพื่อนที่มีบุญคุณกับคุณ ฉันว่าคุณแม่คุณเป็นคนซื่อ ไม่น่าจะเห็นดีเห็นงามกับการกระทำของลูกชาย’
‘อย่าเอาแม่ฉันเข้ามาเกี่ยว’ เสียงชัชวาลแทบจะเป็นตวาด ‘กลับไปกันได้แล้วทั้งสองคน อย่าคิดว่าฉันจะยอมแพ้ง่ายๆ ฉันจะต้องหาเงินมาโปะค่าของที่แกโกงฉันไปให้ได้ คอยดูไปก็แล้วกัน’
ธิปกรู้ว่าชัชวาลเป็นคนเจ้าทิฐิ แต่ที่มากยิ่งไปกว่านั้นก็คือเพื่อนของเขาเกลียดความพ่ายแพ้จับใจ ถ้าหากยอมไปสารภาพความจริงกับนายมงคลเพราะถูกบีบบังคับ ก็เท่ากับว่าชัชวาลพ่ายแพ้ให้ธิปก นับเป็นความอัปยศและเสียหน้าอย่างร้ายแรง เรื่องนี้ละที่เพื่อนของเขาทนไม่ได้
นารารู้ว่าธิปกไม่สบายใจเลยที่ต้องใช้เล่ห์กลบีบคั้นชัชวาล คนตรงไปตรงมาอย่างเขามีจุดอ่อนอยู่ที่ความเมตตา ไม่ชอบรังแกใคร เธอจึงต้องดักคอไว้ก่อน
“แต่ยังไงก็ตามคุณห้ามใจอ่อนกลับไปช่วยเพื่อนคุณเป็นอันขาด ไม่อย่างนั้นที่ลงแรงทำกันมาทั้งหมดจะต้องเสียเปล่าแน่”
ธิปกไม่ได้ตอบรับในทันที เขาใช้เวลาคิดอยู่ครู่หนึ่ง เป็นอึดใจที่นานเกินไปด้วยซ้ำในความรู้สึกของหญิงสาว กว่าชายหนุ่มจะยอมเอ่ยปาก
“ผมรู้ว่าคุณกับคุณปกรณ์หวังดี อีกอย่างชัชวาลก็ควรได้รับบทเรียนเสียบ้าง ผมไม่ได้ทำร้ายเขาเพื่อผลประโยชน์ ผมแค่อยากทวงความยุติธรรมให้ตัวเองก็เท่านั้น”
“ดีมาก” นาราทำเสียงเหมือนผู้ใหญ่ที่กำลังพูดกับเด็กน้อยไม่ประสา “ปล่อยให้ฉันกับคุณปกรณ์จัดการเอง คุณเอาเวลาไปทุ่มเททำการค้าของคุณไปเถอะ รับรองว่าคุณจะไม่เสียดายเงินที่จ้างฉันเลย”
ธิปกยิ้ม มองปากแดงๆ ที่กำลังคุยจ้อแล้วนึกขำระคนเอ็นดู เขาไม่อยากหมกมุ่นกับเรื่องของชัชวาลจนเกินไปจึงเลี่ยงไปถามถึงเรื่องอื่นที่เคร่งเครียดน้อยกว่า
“คุณยังไม่ได้บอกผมเลยว่างานเลี้ยงคืนนั้น ทำไมแหวนที่คุณจารุมนจงใจจะใส่ร้ายคุณถึงกลับไปอยู่ในกระเป๋าของเธอได้ เดี๋ยวก่อน” เขายกมือห้าม “เอาคำถามนี้ก่อนดีกว่า คุณรู้ได้ยังไงว่าพวกนั้นจะแกล้งคุณ”
“เรื่องนั้นดูง่ายจะตายไป” นาราหัวเราะร่วน “ฉันเป็นพี่น้องกับพี่รพีมายี่สิบกว่าปีเชียวนะ นิสัยเขาเป็นอย่างไรฉันรู้ดี แล้วเขาก็ไม่ใช่เพิ่งจะเคยแกล้งฉันแค่ครั้งสองครั้ง แค่เห็นความผิดปกติของพี่รพีกับพี่กมลเนตร ฉันก็เดาออกทะลุปรุโปร่งแล้ว”
ความผิดปกติที่หญิงสาวพูดถึงเกิดขึ้นหลังจากที่กุลธิดากระแทกเท้าลงจากฟลอร์เต้นรำ ไปนั่งบอกบุญไม่รับเพราะหึงหวงนารากับธิปก พอนารามองข้ามฟลอร์ไปก็เห็นรพีพรรณและกมลเนตรเดินเข้าไปหากุลธิดา
เธอรู้จักพี่สาวตัวเองเกินกว่าจะเชื่อได้ลงว่ารพีพรรณจะอยากทำความรู้จักผู้หญิงพื้นๆ ไม่มีชื่อเสียงในวงสังคมอย่างกุลธิดา ถึงขนาดเป็นฝ่ายเข้าไปแนะนำตัวก่อน และยังนั่งซุบซิบกันอย่างถูกคออีกเป็นนานสองนาน
หากจะมีสิ่งใดสามารถชักจูงให้พี่สาวผู้เย่อหยิ่งทำในสิ่งที่ผิดไปจากความเคยชินของเจ้าตัว เรื่องนั้นจะต้องเกี่ยวข้องกับเธอ…คนคนเดียวในงานคืนนี้ที่รพีพรรณชิงชัง
ด้วยเหตุนี้พอกุลธิดายึดกระเป๋าของนาราไว้เป็นเชิงบังคับให้อีกฝ่ายเดินตามไป นาราก็นึกระแวงขึ้นมาทันที สิ่งแรกที่เธอทำหลังจากได้กระเป๋าคืนมาคือรีบเปิดดูข้างใน แล้วก็เห็นแหวนเพชรที่กุลธิดานำมาใส่ไว้
จู่ๆก็เอาของมีค่ามาใส่ แผนการจะเป็นอะไรไปได้นอกจากโวยวายว่ามีของหาย แล้วโยนบาปให้นาราเป็นหัวขโมยรายนี้…
ไม่กี่อึดใจต่อมาผู้สมรู้ร่วมคิดคนที่สองก็ปรากฏตัวขึ้น…จารุมนนั่นเอง
ถ้ารพีพรรณจะยืมมือใครสักคนใส่ร้ายนารา ใครเล่าจะเหมาะไปกว่าจารุนมนซึ่งเป็นลูกสาวเจ้าของบ้าน ฉะนั้นพอจารุมนเข้ามาคลอเคลียกอดแขนพาเดินไปหาคุณประเทียบ นาราก็แอบหย่อนแหวนเพชรลงไปในกระเป๋าของหญิงสาว ที่เหลือก็แค่รอดูละครฉากสำคัญที่จะตามมาว่าพี่สาวกับเพื่อนคู่หูจะทำอย่างไร
แล้วทุกอย่างก็เป็นไปตามที่คาดไว้จริงๆ
ธิปกเดาว่ารพีพรรณคงโกรธที่นาราหนีไปจากงานแต่งงาน ทิ้งปัญหาไว้ให้เธอกับแม่ ถึงได้วางแผนใส่ร้ายกันอย่างไม่เห็นแก่ความเป็นพี่น้อง คิดๆ แล้วเขาก็ระอาความเจ้าคิดเจ้าแค้นของพวกผู้หญิง
“พี่สาวคุณไม่ควรทำอย่างนี้เลย ถ้าคุณถูกกล่าวหาว่าเป็นขโมยจะต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่ ไม่ใช่กระทบถึงคุณคนเดียว แต่ชื่อเสียงของคุณพ่อคุณก็จะต้องเสียหายไปด้วย ผมไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมเขาไม่คิดถึงจุดนี้บ้าง”
“เรื่องคุณพ่อพี่รพีไม่สนใจหรอก ขอแค่ทำลายฉันได้เขาก็พอใจแล้ว”
แน่ละ รพีพรรณย่อมไม่ไยดีว่าสุพจน์จะอับอายสักเพียงไหน ข่าวชิ้นล่าสุดที่แม่องุ่นฟังมาจากคนรับใช้ที่บ้านวรรณาอีกที เล่าว่าคุณพ่อของเธอมีเมียน้อยซุกซ่อนไว้คนหนึ่งชื่อเยาวมาลย์ ทั้งยังมีลูกชายด้วยกันอีกด้วย
เมื่อก่อนสุพจน์แอบไปเช่าบ้านในตรอกเล็กๆ ใกล้กับสวนสราญรมย์ให้เยาวมาลย์อยู่ แต่เมื่อภรรยาทำความผิดใหญ่หลวงถึงสองเรื่อง ทั้งแอบเอาเงินมรดกไปใช้จนถูกโกง และยังไปกู้เงินจากเพื่อนของเขาอย่างไม่เห็นแก่หน้าสามี สุพจน์ก็โกรธจัดจนพานหมดความเกรงใจ อีกทั้งลูกชายของเขาก็อายุย่างเข้าสิบสองปีเข้าไปแล้ว เยาวมาลย์จึงเรียกร้องให้สุพจน์เปิดเผยตัวแม่ลูกให้เป็นเรื่องเป็นราวเสียที
วรรณาแทบล้มทั้งยืนเมื่อสามีพาเยาวมาลย์มาแนะนำให้รู้จัก ความลับที่สุพจน์ปิดบังไว้เนิ่นนานเผยตัวออกมาคราวนี้เอง ที่เขากลับบ้านมืดค่ำทุกวัน แม้แต่วันหยุดก็แทบไม่อยู่ติดบ้าน ไม่ใช่เพราะมัวแต่ทำงานหรือออกไปสังสรรค์กับเพื่อนฝูงอย่างที่บอกภรรยา แต่ไปขลุกอยู่กับเยาวมาลย์และลูกของหล่อนต่างหากเล่า
พอเห็นหน้าลูกชายเมียน้อย รู้อายุของเจ้าหนู วรรณาก็ร้องไห้น้ำตาแทบจะเป็นสายเลือด ความขมขื่นซัดสาดหัวใจยิ่งกว่าระลอกคลื่นบนชายหาดเมื่อคิดว่าเธอมัวแต่ข่มเหงนารา เพราะเห็นว่าเป็นหอกข้างแคร่ ไม่เฉลียวใจเลยว่ากำลังละเลยหอกข้างแคร่ตัวจริงที่เติบใหญ่อยู่นอกบ้าน
นับเป็นเวรกรรมที่ตามมาสนองอย่างเจ็บแสบในชาตินี้ ไม่ต้องรอถึงภพหน้าเลยทีเดียว
‘คุณวรรณาตั้งหน้าตั้งตากีดกันคุณหนูจะไม่ให้เรียนหนังสือ ไม่ยอมให้อยู่สุขสบาย จะได้ไม่มาแข่งบุญวาสนากับคุณรพีพรรณลูกสาวเธอ แล้วเป็นไง ตลอดเวลานั้นนางเมียน้อยมันมีลูกชายไว้แข่งบุญแข่งวาสนาด้วยทั้งคนยังไม่รู้ตัว สมน้ำหน้านัก’ แม่องุ่นแสนจะสะใจ
สุพจน์ให้เยาวมาลย์พักที่เรือนเล็กหลังที่นาราเคยอยู่ กำชับบริวารให้คอยดูแลสองแม่ลูกอย่างดีที่สุดไม่แพ้ดูแลรพีพรรณ พอรพีพรรณรู้เข้าก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟจนไม่ยอมพูดกับบิดาอีกเลย แล้วอย่างนี้มีหรือเธอจะกังวลถ้าสุพจน์จะเสื่อมเสียเพราะลูกเมียน้อยอย่างนารา
ธิปกเหลือบมองคนเล่าอย่างห่วงใยความรู้สึก เห็นเพียงเสี้ยวหน้าเรียวละมุน ก้มน้อยๆ ดูเรียบเฉยอย่างคนปลงตก แต่ผู้มองอย่างเขานี่สิกลับเศร้าใจแทน
นาราถูกพ่อละเลยปล่อยให้แม่เลี้ยงข่มเหงโดยไม่ใยดี เพราะสุพจน์มัวแต่เอาเวลาและความสนใจไปทุ่มเทให้เมียน้อยและลูกชายอีกคน ตอนที่รู้ความจริงลูกสาวที่ถูกมองข้ามอย่างเธอคงรวดร้าวอยู่ในใจไม่น้อยเลย
อาหารมื้อนั้นจบลงอย่างฝืดคอในความรู้สึกของทั้งคู่ แม้จะอำพรางไว้ภายใต้กิริยาเป็นปกติ รับประทานเสร็จทั้งสองก็ขึ้นรถ ธิปกขับพายวดยานผ่านทุ่งนาหลายแห่งจนจะเกือบพ้นเขตพระโขนง สองข้างทางก็เริ่มมีบ้านเรือนปรากฏขึ้นบ้าง จนเลี้ยวไปถึงถนนสายหนึ่งที่ดูจะมีบ้านเรือนหนาตากว่าที่อื่น จู่ๆ นาราก็ชี้ไปทางซ้ายมือ อุทานด้วยเสียงตกใจ
“นั่นคุณวิศรุตนี่”
วิศรุตจริงๆ ด้วย เขายืนอยู่หน้าภัตตาคารสองชั้น ด้านหน้าเป็นลานดินที่ปรับไว้กว้างเพื่อทำเป็นลานจอดรถ ทว่าตัวภัตตาคารและร้านค้าใกล้ๆ อีกสามแห่งถูกไฟไหม้ไปแล้ว เวลานี้จึงร้างไม่มีผู้คน ต้องเลยไปอีกประมาณร้อยเมตรถึงจะเห็นตึกแถวค่อนข้างใหม่ปลูกเรียงกันเป็นแถวยาว เป็นที่อยู่ของชาวบ้านในละแวกนั้น
แต่สาเหตุที่ทำให้นาราตื่นตระหนกก็เพราะมีผู้ชายสามคนกำลังยืนล้อมวิศรุตอยู่ ทุกคนสวมหมวกไหมพรมปิดบังใบหน้า คนหนึ่งถือปืนจ่อไปที่หลานชายของนายมงคล
- READ แรมสิบห้าค่ำนี้มีปาฎิหาริย์ บทที่ 10 : ใครกันแน่ที่มีเลือดกรุ๊ปพิเศษ (2)
- READ แรมสิบห้าค่ำนี้มีปาฎิหาริย์ บทที่ 10 : ใครกันแน่ที่มีเลือดกรุ๊ปพิเศษ (1)
- READ แรมสิบห้าค่ำนี้มีปาฎิหาริย์ บทที่ 9 : เหตุเกิดในงานเลี้ยง (2)
- READ แรมสิบห้าค่ำนี้มีปาฎิหาริย์ บทที่ 9 : เหตุเกิดในงานเลี้ยง (1)
- READ แรมสิบห้าค่ำนี้มีปาฎิหาริย์ บทที่ 8 : ขวากหนามของวิศรุต (2)
- READ แรมสิบห้าค่ำนี้มีปาฎิหาริย์ บทที่ 8 : ขวากหนามของวิศรุต (1)
- READ แรมสิบห้าค่ำนี้มีปาฎิหาริย์ บทที่ 7 : เจ้าสาวอยู่ไหน (2)
- READ แรมสิบห้าค่ำนี้มีปาฎิหาริย์ บทที่ 7 : เจ้าสาวอยู่ไหน (1)
- READ แรมสิบห้าค่ำนี้มีปาฎิหาริย์ บทที่ 6 : ไว้ใจได้ไหมนายหน้าหนวด (2)
- READ แรมสิบห้าค่ำนี้มีปาฎิหาริย์ บทที่ 6 : ไว้ใจได้ไหมนายหน้าหนวด (1)
- READ แรมสิบห้าค่ำนี้มีปาฎิหาริย์ บทที่ 5 : ไขฟู่... กระจกพยากรณ์ (2)
- READ แรมสิบห้าค่ำนี้มีปาฎิหาริย์ บทที่ 5 : ไขฟู่... กระจกพยากรณ์ (1)
- READ แรมสิบห้าค่ำนี้มีปาฎิหาริย์ บทที่ 4 : คนหลอกลวงเลี้ยงไม่เชื่อง (2)
- READ แรมสิบห้าค่ำนี้มีปาฎิหาริย์ บทที่ 4 : คนหลอกลวงเลี้ยงไม่เชื่อง (1)
- READ แรมสิบห้าค่ำนี้มีปาฎิหาริย์ บทที่ 3 : ที่แท้ก็สิบแปดมงกุฎดีๆ นี่เอง (2)
- READ แรมสิบห้าค่ำนี้มีปาฎิหาริย์ บทที่ 3 : ที่แท้ก็สิบแปดมงกุฎดีๆ นี่เอง (1)
- READ แรมสิบห้าค่ำนี้มีปาฎิหาริย์ บทที่ 2 : วิศรุตและธิปก (2)
- READ แรมสิบห้าค่ำนี้มีปาฎิหาริย์ บทที่ 2 : วิศรุตและธิปก (1)
- READ แรมสิบห้าค่ำนี้มีปาฎิหาริย์ บทที่ 1 : โลกใบเล็กของนารา (2)
- READ แรมสิบห้าค่ำนี้มีปาฎิหาริย์ บทที่ 1 : โลกใบเล็กของนารา (1)