แรมสิบห้าค่ำนี้มีปาฎิหาริย์ บทที่ 11 : จุดเริ่มต้นของความรัก (1)

แรมสิบห้าค่ำนี้มีปาฎิหาริย์ บทที่ 11 : จุดเริ่มต้นของความรัก (1)

โดย : ณรัญชน์

Loading

แรมสิบห้าค่ำนี้มีปาฎิหาริย์ นวนิยายเรื่องล่าสุดจาก ณรัญชน์ ที่อ่านเอาคัดสรรมานำเสนอ กับเรื่องราวของกระจกโบราณที่สามารถทำนายอนาคตมนุษย์ทุกคนได้อย่างแม่นยำ ‘วิศรุต’ จึงใช้มันมาลิขิตชะตาชีวิตตัวเอง แม้นั่นจะหมายถึงการทำลายล้างคนรอบข้างอย่างโหดเหี้ยม ไม่เว้นแม้แต่ผู้หญิงที่เขารัก นวนิยายออนไลน์จาก www.anowl.co

เดิมทีกันต์ตั้งใจมาดูภัตตาคารที่เจ้าของประกาศขายหลังจากถูกไฟไหม้ และถือโอกาสพารพีพรรณมานั่งรถกินลมด้วยกัน ทว่ายามนี้สีหน้าหญิงสาวเหมือนจะร้องไห้ เนื่องจากเพียงแค่ลงจากรถเก๋งคันโก้มายืนอยู่บนลานดินหน้าร้านอาหาร ก็มีรถกระบะคันหนึ่งปราดมาจอดต่อท้าย ชายฉกรรจ์สวมหมวกไหมพรมปิดบังใบหน้ากรูลงมาล้อมเธอกับคนรักไว้ คนหนึ่งจ่อปืนเข้าที่หลังของ ‘คุณวิศรุต’

“เข้าไปในร้านแล้วอย่าคิดตะโกน ไม่อย่างนั้นฉันยิงจริงๆ เร็วเข้า”

กันต์อยากจะขัดขืน แต่ไอ้โม่งก็ผลักบ่าเขากับรพีพรรณให้ออกเดินขึ้นบันไดไปยังชั้นสองของร้าน ชายหนุ่มใจหายวาบ บนนั้นปลอดจากหูตาผู้คน หากเกิดอะไรขึ้นกับเขาก็ยากนักที่คนข้างนอกจะมีโอกาสรับรู้

สองหนุ่มสาวเพิ่งจะลับตัวไป นาทีถัดมารถของธิปกก็มาถึงหน้าร้าน เขารีบบอกให้นาราไปขอความช่วยเหลือจากชาวบ้านที่ห้องแถว น่าจะมีสักหลัง เป็นต้นว่าร้านขายของชำ ที่มีโทรศัพท์ให้โทร.ไปแจ้งตำรวจได้ ส่วนตัวเขาเองค่อยๆ ย่องขึ้นบันไดร้านไป ทั้งๆ ที่ใจเต้นระรัว รู้ดีว่ากำลังเสี่ยงอันตรายโดยใช่เหตุ

แต่คุณวิศรุตเป็นหลานชายเพียงคนเดียวของนายมงคล ธิปกไม่อาจนิ่งดูดายปล่อยให้ทายาทของผู้มีพระคุณเป็นอันตรายโดยไม่ทำอะไรเลย

พอไปถึงหัวบันได ธิปกก็ย่อตัวหลบให้พ้นสายตาคนข้างบน แล้วซุ่มดูเผื่อจะมีจังหวะให้กรากเข้าไปดึงตัววิศรุตออกมาได้บ้าง เพราะมัวแต่ชะเง้อมอง เขาจึงไม่เห็นว่าทางด้านหลังมีชายร่างท้วมสวมหมวกไหมพรมปิดบังใบหน้าอีกคนหนึ่งกำลังเดินขึ้นมา มารู้ตัวก็เมื่ออีกฝ่ายเข้ามาใกล้ ยกปืนขู่บังคับให้ขึ้นชั้นบนไปรวมกลุ่มกับวิศรุตและรพีพรรณ

พอเห็นชายคนใหม่ คนร้ายทั้งหมดก็แหวกทางให้อย่างนอบน้อม บอกให้รู้ว่าคนคนนี้เป็นหัวหน้า

ถ้าไม่รวมขาข้างหนึ่งที่เดินกะเผลกเพราะใส่ขาเทียมไว้ รูปร่างและกิริยาท่าทางของหัวหน้าคนร้ายดูคุ้นตาธิปกอย่างประหลาด จนอยากจะเชื่อว่าต้องเป็นคนที่เขารู้จักแน่นอน

“พวกแกอยากได้เงินเท่าไรบอกมาได้เลย” กันต์ตั้งรับสถานการณ์อย่างใจเย็น แต่อีกฝ่ายแค่นเสียง

“ฉันไม่ต้องการเงินของแก อย่าคิดว่าเงินทองของแกจะมีค่านักหนา มันอาจจะซื้อคนอื่นได้แต่ไม่ใช่ฉัน”

หัวหน้าคนร้ายตะคอกกลับมา เสียงนั้นคุ้นหูอีกเช่นกัน ธิปกคิดอยู่อึดใจหนึ่งก็นึกขึ้นได้

“คุณเกรียงไกร!”

ธิปกทำงานกับเกรียงไกรมานานปี สนิทสนมกันจนแน่ใจว่าจำได้โดยไม่พลาด “คุณทำอย่างนี้ทำไม มีเรื่องอะไรมาคุยกันดีๆ เถอะ”

เกรียงไกรอึ้งไปครู่หนึ่งก็ยอมถอดหมวกไหมพรมคลุมศีรษะออก เผยให้เห็นใบหน้าที่ผอมซูบจนแก้มตอบ ใต้ตาคล้ำจัด ประกอบกับริ้วรอยที่เพิ่มขึ้นมากมายจนเหมือนจะแก่ลงสักสิบปี บอกถึงความตรอมตรมที่เจ้าตัวได้รับตลอดเวลาที่ผ่านมา

“คุณธิปก เสียใจที่คุณต้องพลอยมาติดร่างแหไปด้วย” เขาว่า “คุณไม่ควรจะตามมาเลย คิดจะช่วยคนอย่างไอ้เจ้าวิศรุตนี่น่ะหรือ เสียเวลาเปล่า”

กันต์ไม่ไยดีว่าธิปกมาปรากฏตัวที่นี่เพราะอะไร ความสนใจของเขามุ่งไปที่เกรียงไกรเพียงคนเดียว สัญชาตญาณบอกว่าเหตุร้ายครั้งนี้น่าจะเกี่ยวข้องกับการที่เขาเปิดโปงการคบชู้ของอีกฝ่ายเป็นแน่

ส่วนธิปกไม่รู้เรื่องมาก่อนจึงไม่อาจคาดเดาอะไรได้ เขาได้แต่พยายามถ่วงเวลารอให้ตำรวจหรือชาวบ้านที่นาราไปขอความช่วยเหลือยกกำลังมาถึง

“เกิดอะไรขึ้นหรือคุณเกรียงไกร คุณวิศรุตทำอะไรให้คุณโกรธแค้นนักหรือ”

เกรียงไกรขบกรามกรอด “มันเป็นคนเปิดโปงเรื่องของผมกับอาภา ไอ้สมบัติถึงได้รู้แล้วตามมาตัดสายเบรกรถผม เพราะมันลูกเมียผมถึงต้องตายกันหมด” เขายกปืนชี้หน้ากันต์ “ฉันไปสืบมาแล้ว มีคนเอารูปอาภากับฉันไปวางบนโต๊ะทำงานของไอ้สมบัติ ยามที่เฝ้าบริษัทบอกว่าวันนั้นเห็นแกนี่ละมาทำลับๆ ล่อๆ ที่บริษัทตอนดึกๆ คนเดียว” ยิ่งพูดเสียงของเกรียงไกรก็ยิ่งทวีเคียดแค้นจนเกือบจะเป็นคลุ้มคลั่ง

อย่างนี้เอง! กันต์ใจสั่นเมื่อประจักษ์ว่าอีกฝ่ายรู้ความลับที่เขาปิดบังไว้จริงๆ เสียด้วย ดูจากดวงตากระด้างดุดันจนเหมือนคนบ้าของเกรียงไกรแล้ว เงินทองที่คิดว่าจะยกขึ้นมาล่อใจเห็นทีจะไม่เป็นผล

แต่ถึงอย่างไรเขาก็ต้องพยายามเกลี้ยกล่อมไว้ก่อน

“คุณเกรียงไกร ผมจะไม่บอกหรอกนะว่าคุณกำลังเข้าใจผิด แต่คุณควรจะคิดถึงตัวเองให้มากๆ ผมเป็นหลานชายคุณมงคล ถ้าทำร้ายผมคิดหรือว่าคุณจะรอดไปได้”

“ฉันไม่สน” เกรียงไกรคำราม “ฆ่าแกได้ฉันก็พอใจแล้ว จะถูกตำรวจจับติดคุกติดตะรางกี่ปีฉันก็ยอม”

 

คำพูดนั้นไม่มีเยื่อใยและปิดโอกาสต่อรองโดยสิ้นเชิง กันต์รู้สึกเหมือนมีใครสักคนเทน้ำแข็งเย็นเฉียบลงมาบนตัวเขา รินรดระเรื่อยตั้งแต่หัวจรดเท้า รพีพรรณสะอื้นออกมาด้วยความหวาดกลัวจับขั้วหัวใจ เกรียงไกรขึ้นไกปืนดังกริ๊ก ยกขึ้นจ่อมาทางเหยื่อทั้งสาม

ธิปกและกันต์ยืนตัวแข็งทื่อ หัวใจเต้นระรัวแทบจะโลดออกมานอกอก ฉับพลันเสียงตะโกนของนาราก็ดังมาจากด้านหน้าภัตตาคาร

“ไฟไหม้จ้าไฟไหม้! พ่อแม่พี่น้องรีบออกมาดับไฟเร็วเข้า!”

แทบจะเป็นเวลาเดียวกัน ก็มีเสียงร้องโวยวายอย่างตกใจดังมาจากชาวห้องแถว แม้จะแผ่วเบาเพราะอยู่ห่างจากภัตตาคารมาก แต่ก็เพียงพอที่จะเบี่ยงเบนสมาธิของเกรียงไกรกับลูกน้องไปได้อึดใจหนึ่ง

ธิปกอาศัยจังหวะนั้นยกเท้าถีบคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขา ส่วนกันต์โดดเข้ากระแทกเกรียงไกร พออีกฝ่ายหงายหลังไปชนลูกน้องจนล้มตามไปด้วย กันต์ก็กระโจนข้าม เผ่นรวดเดียวไปถึงบันไดแล้ววิ่งปราดลงไปอย่างรวดเร็ว

ธิปกไม่ใจร้ายพอจะทิ้งรพีพรรณไว้อย่างที่กันต์ทำ เขาตรงเข้าคว้าแขนหญิงสาวฉุดร่างบางให้วิ่งตามมา นับเป็นโชคดีที่ชั้นสองของภัตตาคารนี้แบ่งออกเป็นหลายห้อง ธิปกหลบแวบเข้าไปในห้องที่อยู่ไกลที่สุด จัดแจงผลักระพีพรรณเข้าไปในตู้เล็กๆ สำหรับเก็บของ แต่ถูกไฟไหม้จนกลายเป็นตอตะโกดูน่ากลัวอยู่ในที

“คุณหลบอยู่ตรงนี้อย่าออกไปนะ ผมจะรีบไปดูคุณวิศรุต”

รพีพรรณไขว่คว้าแขนของชายหนุ่มไว้แน่น “ไม่นะ อย่าทิ้งรพีไว้คนเดียว”

ราวกับเสียงหญิงสาวเป็นมนตร์เรียกเนื้อเรียกปลาของพระสังข์ทอง ฉับพลันคนร้ายสองรายก็กรูเข้ามา หนึ่งในนั้นมีปืนเสียด้วย เคราะห์ดีที่ธิปกตาไวเหลือบเห็นเข้าก่อน เขารีบคว้ากระถางธูปที่ตั้งทิ้งไว้บนตู้ฟาดไปบนมือที่ถือปืนจนอาวุธกระเด็นไปไกล ตามด้วยการตะลุมบอนกันอีกครู่หนึ่งกว่าธิปกจะจัดการชายร่างเล็กทั้งสองให้หมอบได้

ในเวลาเดียวกันกันต์ก็วิ่งไปถึงลานจอดรถ เกือบชนเข้ากับนาราที่กำลังร้องตะโกนไฟไหม้อยู่แจ้วๆ หญิงสาวละล่ำละลักถามถึงธิปก แต่กันต์ไม่ตอบเพราะมัวแต่สอดส่ายสายตามองหาที่หลบภัย นาราคิดว่าเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานอย่างนี้อีกฝ่ายก็คงไม่รู้ว่าธิปกเป็นตายร้ายดีอย่างไรเหมือนกัน จึงเลิกซัก เปลี่ยนเป็นบอกเขาอย่างรวบรัด

“เมื่อกี้ฉันไปขอให้ชาวบ้านโทรศัพท์ไปแจ้งตำรวจแล้ว โรงพักอยู่ไม่ไกลน่าจะมาถึงไม่เกินสิบนาทีนี่ละ”

กันต์มองไปทางห้องแถว เห็นชาวบ้านหลายคนออกมายืนอออยู่หน้าบ้าน มองมาทางนี้เพื่อจะดูว่าไฟไหม้จริงหรือไม่ ใจหนึ่งเขานึกเป็นห่วงรพีพรรณ แต่อีกใจที่รักตัวเองมากที่สุดกระซิบบอกว่าไม่มีใครอีกแล้วจะมีค่าเท่ากับชีวิตของเขา นาทีนี้เขาต้องพาตัวเองให้รอดปลอดภัยไว้ก่อน

“ไปหลบที่ห้องแถวนั่นก่อนดีกว่า” กันต์ตัดสินใจ

“คุณจะทิ้งคุณธิปกกับพี่รพีไว้ที่นี่หรือ”

“ถึงเราอยู่ก็ช่วยเขาไม่ได้ ไปอยู่ที่นั่นรอให้ตำรวจมา แล้วเราค่อยกลับมาช่วยพวกเขาอีกที”

ชายหนุ่มไม่ได้พูดเปล่าแต่ออกวิ่งนำไปก่อนเป็นการบังคับอยู่ในที นาราไม่มีทางเลือกจึงต้องวิ่งตามไปบ้าง

ติดกับภัตตาคารเป็นร้านขายผ้าที่ถูกไฟไหม้จนวอดวาย เหลือไว้แต่ห้องไหม้เกรียม ระเกะระกะไปด้วยซากปรักหักพังที่น่าจะดูสยองขวัญไม่น้อยหากผ่านมาในยามพลบค่ำ กันต์กับนาราเพิ่งจะวิ่งผ่านไปไม่กี่ก้าวเสียงปืนก็ระเบิดเปรี้ยงมาจากด้านหลัง

“เฮ้ย! ไอ้สองคนนั่นหยุดเดี๋ยวนี้” เสียงแข็งกร้าวตวาดกึกก้อง

กระสุนนัดหนึ่งถูกยิงลงพื้นห่างจากตัวกันต์ไปไม่ไกลนัก ชายหนุ่มจึงต้องหยุดฝีเท้า ผู้ชายสวมหมวกไหมพรมเจ้าของปืนเดินอาดๆ เข้ามาหา ยกด้ามปืนทุบเปรี้ยงไปบนไหล่ของกันต์ ทำเอาชายหนุ่มถึงกับทรุด จากนั้นคนร้ายก็สั่งให้ทั้งคู่เดินกลับไปที่ภัตตาคารตามเดิม

นารายอมเดินไปตามคำสั่ง แม้ว่ามือไม้จะเย็นเฉียบทั้งยังสั่นระริกจนต้องกำไว้แน่นเพื่อคุมสติไม่ให้กระเจิดกระเจิง บอกตัวเองว่าตำรวจใกล้จะมาถึงแล้ว ขณะที่กันต์คิดหาทางรอดอย่างไม่ยอมแพ้

เขากวาดสายตามองไปรอบตัว พยายามเค้นสมองทุกหยาดหยดเพื่อหาทางหลุดเร้นจากวิกฤติไปให้จงได้ จนกระทั่งถึงร้านขายผ้า เขาก็เหลือบไปเห็นป้ายชื่อที่ห้อยอยู่เหนือประตูร้าน

ทีแรกชายหนุ่มไม่ได้ใส่ใจ แต่เพียงอึดใจเดียวหนึ่งสมองซึ่งราวกับจะได้รับพรลึกลับให้จดจำภาพนิมิตที่เห็นจากไขฟู่ได้ทุกบททุกตอน ก็นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้

ป้ายไม้หนาหนักแผ่นนั้นทาสีแดง ตรงกลางวางตัวอักษรไม้สีเหลืองเรียงต่อกันเป็นคำว่า ‘อนงค์’ สภาพป้ายเอียงกระเท่เร่ถูกควันไฟรมจนกระดำกระด่าง โซ่เล็กๆ ที่รับน้ำหนักผุและขาดเป็นบางข้อ กระนั้นมันก็ยังรับน้ำหนักป้ายขนาดใหญ่นั้นไว้ได้อย่างหมิ่นเหม่เต็มทน

ในความทรงจำของกันต์ ขณะที่เขาใช้คันฉ่องไขฟู่เพ่งดูอนาคตของธงชัย เคยได้ยินอีกฝ่ายพูดถึงข่าวเล็กๆ ที่อ่านพบในหนังสือพิมพ์ เกี่ยวกับคนงานที่ถูกป้ายร้านขายผ้าตกใส่จนคอหัก ขณะนั้นเป็นเวลาบ่ายสองโมงสิบสามนาที ที่รู้เพราะชาวบ้านคนหนึ่งกำลังดูนาฬิกาอยู่พอดีขณะได้ยินเสียงคนเคราะห์ร้ายร้องลั่น

ป้ายชื่อที่ตกลงมานั้นเป็นของร้าน ‘อนงค์’ ตั้งอยู่ในเขตพระโขนง เป็นอีกร้านหนึ่งที่รับเคราะห์ถูกไฟที่ลามมาจากภัตตาคารที่อยู่ติดกันเผาผลาญจนวอดหมดทั้งร้าน หากเขาเดาไม่ผิด และหากโชคชะตาไม่เล่นตลกกับกันต์จนเกินไปนัก ร้านอนงค์ที่ว่าก็คือร้านที่อยู่ตรงหน้าเขานี่ละ

ไม่ใช่กันต์จะไม่รู้ว่าเมื่อเขาเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของธงชัยไปแล้ว อนาคตที่จะเกิดขึ้นย่อมจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป แต่ก็ใช่ว่าเรื่องแบบเดียวกันจะไม่เกิดขึ้นเลยมิใช่หรือ…

เกรียงไกรเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุด ผู้หญิงที่เป็นชู้กับเกรียงไกรไม่ใช่แม่สาวที่กันต์เคยเห็นว่าเป็นเมียน้อยของเขาในนิมิต แต่ถึงอย่างไรเกรียงไกรก็ยังมีชู้อยู่นั่นเอง

กันต์ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู ก่อนจะเลื่อนสายตาไปที่ป้ายชื่อที่ห้อยอยู่เหนือประตูร้าน ขณะนั้นเวลาบ่ายสองโมงสิบนาที จะเป็นไรไปถ้าเขาจะลองเสี่ยงกับโชคชะตาดูสักครั้ง

กันต์หยุดยืนเยื้องหน้าร้านอนงค์ไปเล็กน้อย นิ่วหน้าก้มตัวลงกุมท้องคล้ายเจ็บปวดอย่างรุนแรง นาราหันมาถามด้วยความเป็นห่วง

“เป็นอะไรหรือคุณ”

คนร้ายสวมหมวกไหมพรมถือปืนเดินตามหลังทั้งคู่มาห่างๆ เห็นอย่างนั้นเขาก็ตวาดลั่น

“อย่ามาทำโยกโย้นะโว้ย เดินไป”

“ฉันปวดท้อง ขอพักสักเดี๋ยว” กันต์บอกพลางชำเลืองมองนาฬิกาอีกครั้ง คำนวณว่าคนร้ายไม่น่าจะยอมเข้าใกล้ตัวเขามากพอที่กันต์จะเหวี่ยงหมัดหรือเท้าไปทำร้ายเอาได้ ฉะนั้นอีกฝ่ายจะต้องยืนห่างเขาออกไปประมาณสองก้าว ซึ่งก็คือใต้ป้ายชื่อร้านพอดี

“จะเดินไปดีๆ หรือจะให้กูยิงตายอยู่ตรงนี้ เลือกเอา”

ไอ้โม่งหมดความอดทนจึงปรี่เข้ามาหาอย่างคนเจ้าโทสะ ทำให้ตำแหน่งที่ยืนคลาดเคลื่อนจากป้ายโดยไม่ตั้งใจ ปืนในมือเงื้อขึ้นหมายจะตบหน้ากันต์ แต่แล้วจู่ๆ ชายหนุ่มที่ยืนกุมท้องตัวงออยู่ก็ยืดตัวขึ้น แววตาเหี้ยมเกรียมไม่ต่างจากเพชฌฆาตเมื่อผลักเขาเต็มแรงจนหงายหลังกระแทกพื้น

บ่ายสองโมงสิบสองนาที…

คนร้ายลุกพรวดขึ้นมาหน้าตาโกรธจัด ผรุสวาทใส่กันต์ดังลั่น

บ่ายสองโมงสิบสามนาที…

ไอ้โม่งจะกรากเข้ามาทำร้ายชายหนุ่มให้สมแค้น แต่ทันใดนั้นป้ายไม้หนาหนักที่อยู่เหนือหัวก็หลุดจากโซ่ผุๆ ที่รั้งมันไว้ ร่วงลงมาด้านล่าง มุมแหลมของไม้ทั้งแผ่นกระแทกลงบนคอต่อของคนที่ยืนอยู่อย่างเหมาะเหม็ง เสียงเนื้อกับไม้กระทบกันดังอย่างน่ากลัว ผสานไปกับเสียงหวีดร้องของนารา

 กันต์มองร่างที่นอนคว่ำอยู่กับพื้นด้วยใบหน้าซีดเผือด แต่มุมปากคลี่ยิ้มอย่างสมคะเน!

 



Don`t copy text!