แรมสิบห้าค่ำนี้มีปาฎิหาริย์ บทที่ 11 : จุดเริ่มต้นของความรัก (2)

แรมสิบห้าค่ำนี้มีปาฎิหาริย์ บทที่ 11 : จุดเริ่มต้นของความรัก (2)

โดย : ณรัญชน์

Loading

แรมสิบห้าค่ำนี้มีปาฎิหาริย์ นวนิยายเรื่องล่าสุดจาก ณรัญชน์ ที่อ่านเอาคัดสรรมานำเสนอ กับเรื่องราวของกระจกโบราณที่สามารถทำนายอนาคตมนุษย์ทุกคนได้อย่างแม่นยำ ‘วิศรุต’ จึงใช้มันมาลิขิตชะตาชีวิตตัวเอง แม้นั่นจะหมายถึงการทำลายล้างคนรอบข้างอย่างโหดเหี้ยม ไม่เว้นแม้แต่ผู้หญิงที่เขารัก นวนิยายออนไลน์จาก www.anowl.co

เสียงของหญิงสาวดังไปถึงเกรียงไกรที่ยืนรอลูกน้องอยู่หน้าภัตตาคาร เขารีบเดินกะโผลกกะเผลกตรงมา โชคดีนาราเหลือบไปเห็นเข้าเสียก่อน เธอรีบร้องบอกกันต์

บริเวณนั้นเป็นถนนโล่งกว้างไม่มีที่กำบัง ถ้าจะวิ่งต่อไปให้ถึงห้องแถวอย่างที่ตั้งใจไว้ในตอนแรก นาราไม่มั่นใจว่าทั้งคู่จะหลบคมกระสุนของเกรียงไกรได้พ้น จึงตัดสินใจวิ่งนำกันต์เข้าไปในร้านอนงค์ ทะลุออกไปด้านหลัง หลังร้านเป็นพื้นที่โล่งๆ มีสะพานไม้ยื่นออกไปเหนือหนองน้ำไม่กว้างนัก มองไปก็เห็นฝั่งตรงข้ามซึ่งเป็นทุ่งนา มีกระต๊อบของชาวบ้านปลูกอยู่ไม่ไกล

“โดดน้ำหนีไปฝั่งโน้นดีกว่าคุณ” นาราบอก

คนตัวสูงที่วิ่งมาพร้อมกับเธอหน้าซีดลงทันที ท่าทางอิดออดลังเลอย่างเห็นได้ชัด นาราฉุดแขนกันต์พาไปยืนบนสะพานทำท่าจะกระโดดลงไป แต่อีกฝ่ายขืนตัวไว้

“ผมว่ายน้ำไม่เป็น” กันต์สารภาพเสียงอ่อย

เสียงสบถของเกรียงไกรดังมาจากหน้าร้านบอกให้รู้ว่าไม่มีเวลาลังเลอีกต่อไปแล้ว ยิ่งเขาได้เห็นศพลูกน้อง เพลิงแค้นที่จะนำมาระบายกับกันต์ย่อมต้องทวีคูณขึ้นอีกหลายเท่า

“ไม่เป็นไร เชื่อใจฉันก็แล้วกัน” นาราบอก ตัดสินใจผลักชายหนุ่มสุดแรง

กันต์หล่นโครมลงไปในบึง นาราหย่อนตัวตามลงไปบ้างแล้วก็พบชายหนุ่มกำลังตะเกียกตะกายพุ้ยน้ำอย่างคนที่ไม่รู้จักวิธีประคองตัว เธอรีบว่ายอ้อมไปด้านหลังของเขา จับตัวเขย่าแรงๆ สองสามครั้งเพื่อเรียกสติ

ไม่ผิดจากที่คาดเอาไว้ ผู้ชายคนนี้สามารถควบคุมตัวเองได้ดีเยี่ยม กันต์ไม่ได้หันกลับมากอดรัดผู้มาช่วยชีวิตอย่างคนว่ายน้ำไม่เป็นทั่วไป ตรงกันข้าม เขากลับปล่อยตัวโอนอ่อนตามแรงดึงเมื่อนาราฉุดให้ดำลึกลงไปข้างล่าง ด้านบนมีกระสุนปืนพุ่งลงมาเป็นทางยาวหลายนัด เกรียงไกรคงจะตามมาถึงแล้ว และเดาออกว่าทั้งคู่ซ่อนตัวอยู่ในบึงจึงยิงสะเปะสะปะลงมาเผื่อว่าจะถูกเป้าหมายเข้าบ้าง

โชคดีที่นาราดำน้ำเก่งสมกับความแก่นแก้วมาตั้งแต่เด็ก จึงไม่ยากที่จะพากันต์ไปจนพ้นระยะกระสุน จากจุดนั้นเธอโผล่ขึ้นหายใจ แล้วหันไปรวบตัวเพื่อนร่วมทางจากด้านหลัง ใช้ขาตีน้ำทั้งฉุดทั้งดึงพาร่างชายหนุ่มเคลื่อนไปช้าๆ

ถึงแม้นาราจะว่ายน้ำแข็งแต่การลากคนทั้งคนมาด้วยในระยะทางตั้งเท่านี้ ก็ทำเอาเกือบหมดแรงไปเหมือนกัน โชคดีที่หนองน้ำไม่กว้างเท่าไรนัก พอถึงตลิ่งกันต์ก็รีบเข้ามาประคองหญิงสาวเมื่อร่างนั้นทำท่าจะทรุดฮวบลงกับกอหญ้าริมบึง

บริเวณนั้นอยู่ตรงข้ามกับภัตตาคารที่ถูกไฟไหม้พอดี ริมตลิ่งค่อนข้างรกร้าง ติดกันเป็นทุ่งนาเห็นรวงข้าวที่กำลังตั้งท้องเหลืองอร่ามทอดยาวไปจนจรดขอบถนน มีกระต๊อบของชาวนาตั้งอยู่หลังหนึ่ง เจ้าของบ้านและลูกเมียพากันมายืนอออยู่หน้าบ้าน เพราะได้ยินเสียงปืนหลายนัดดังข้ามลำน้ำฝั่งโน้นมา

กันต์ประคองนาราเดินเข้าไปหา พลางนึกถึงสถานที่ที่น่าจะปลอดภัยที่สุด

“คุณครับ เราสองคนเจอโจรเลยว่ายน้ำหนีมันมาจากฝั่งโน้น รบกวนคุณช่วยพาเราไปส่งที่โรงพักได้ไหม”

เขามองสภาพอิดโรยและเปียกโชกของนารา มือกระชับเอวบางที่ประคองอยู่แน่นเข้า

“คุณผู้หญิงเหนื่อยมาก ขอนั่งพักสักครู่และรบกวนหาเสื้อผ้าแห้งๆ มาให้เปลี่ยนหน่อยเถอะ”

เจ้าของบ้านหลังนั้นอายุห้าสิบเศษ สวมเสื้อป่านสีเข้มและกางเกงครึ่งแข้ง กันต์ค่อนข้างอุ่นใจที่เห็นเด็กเล็กๆ และผู้หญิงที่น่าจะเป็นภรรยาของเขายืนรวมอยู่ด้วย ทำให้พอจะไว้ใจได้ว่าจะไม่หนีเสือปะจระเข้มาเจอโจรเข้าที่บ้านนี้

นาราสูดหายใจเข้าปอดลึกๆ พยายามทำตัวกระฉับกระเฉงทั้งๆ ที่เพลียใจแทบขาด

“ไม่ต้องพักหรอกค่ะ เรารีบไปโรงพักกันเถอะ ฉันอยากรู้ว่าตำรวจไปช่วยคุณธิปกกับพี่รพีหรือยัง”

ชายชาวนาเป็นคนใจดี พอเห็นคนตกยากมาขอความช่วยเหลือก็ไม่ปฏิเสธ เขารีบไปหยิบผ้าขาวม้ามาให้แขกทั้งสองซับน้ำออกจากเนื้อตัว เช็ดหน้าตาผมเผ้า จากนั้นก็สั่งลูกเมียให้อยู่เฝ้าบ้านก่อนจะพาทั้งคู่บ่ายหน้าไปโรงพักซึ่งอยู่ไม่ไกลจากกระต๊อบของเขา

ธิปกกำลังคุยกับตำรวจด้วยสีหน้าเคร่งเครียดเมื่อนาราไปถึง ส่วนรพีพรรณนั่งห่อตัวอยู่บนม้ายาว ผมเผ้ายุ่งเหยิงหน้าตาซีดเซียวด้วยความเหน็ดเหนื่อยและตื่นกลัว หญิงสาวร้องไห้โฮผวาเข้ากอดกันต์ทันทีที่เห็นคนรัก ธิปกเองก็ปราดเข้ามาหานารา มองขึ้นๆ ลงๆ อยู่หลายครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าหญิงสาวไม่ได้รับบาดเจ็บจริงๆ

“ผมเป็นห่วงคุณแทบแย่ คุณไปอยู่ที่ไหนมา”

นาราเล่าเรื่องทางฝ่ายตนเองให้ธิปกฟังคร่าวๆ ก่อนจะรู้จากเขาว่าหลังจากธิปกจัดการลูกน้องของเกรียงไกรแล้ว ตำรวจก็ยกพลไปถึงภัตตาคารและรวบตัวเกรียงไกรกับลูกน้องที่เหลือไว้ได้

ใช้เวลาแจ้งความและให้ปากคำอีกเกือบชั่วโมง ตำรวจนายหนึ่งก็ขับรถพาเจ้าทุกข์ทั้งสี่ไปส่งยังรถที่จอดอยู่หน้าภัตตาคาร ก่อนจะพาชายชาวนาไปส่งบ้านเป็นลำดับต่อไป

นาราเหนื่อยเหมือนหนังตาจะปิดเสียให้ได้ เธอแข็งใจเดินโผเผไปที่รถของธิปก แต่ไปได้ไม่กี่ก้าวกันต์ก็เรียกเธอไว้ นาราไม่แน่ใจว่าคิดไปเองหรือเปล่าที่เห็นหลานชายนายมงคลมองเธอด้วยสายตาอ่อนโยน ในมือของเขามีเสื้อสูทเนื้อดีที่เพิ่งหยิบออกมาจากรถ

กันต์คลี่เสื้อออกคลุมรอบบ่าให้นาราอย่างเบามือ

“ใส่ไว้นะครับจะได้ไม่หนาว แล้วพอกลับถึงบ้านอย่าลืมกินยาแก้ไข้ดักไว้ด้วย ไม่อย่างนั้นคุณอาจจะเป็นหวัด”

นาราไม่ได้แปลกใจ เธอเพิ่งจะช่วยชีวิตเขาจากหนองน้ำมาหยกๆ จึงไม่ใช่เรื่องมหัศจรรย์ถ้าคุณวิศรุตจะอยากทำดีเล็กๆ น้อยๆ เพื่อแสดงความขอบคุณ สายตาหญิงสาวเหลือบไปทางรพีพรรณ เห็นพี่สาวชักสีหน้าอย่างไม่สบอารมณ์ มือหนึ่งรั้งแขนคนรักไว้พลางบอกห้วนๆ

“เรากลับกันเถอะค่ะ รพีเองก็เหนื่อยจะแย่อยู่แล้ว ทั้งเพลียทั้งเสียขวัญ เกิดมาไม่เคยเสี่ยงอันตรายอย่างนี้เลย”

กันต์มองวงหน้ารูปหัวใจที่ยามนี้ขาวเผือด ผมลีบระพวงแก้มกับริมฝีปากซีดจนเกือบเขียวของคนที่ผ่านความเป็นความตายมาด้วยกัน แววอาวรณ์พาดผ่านดวงตาชายหนุ่มไปอย่างรวดเร็ว…บางเบาราวกับการกระเพื่อมของผิวน้ำ เขาผงกศีรษะให้นารานิดหนึ่งแทนการบอกลา ก่อนจะหมุนตัวเดินจากไป

“เดี๋ยวครับคุณวิศรุต”

ธิปกนั่นเอง เขาเรียกเสียงขรึมขณะถอดเสื้อสูทที่คลุมร่างบางจ้อยของคนข้างตัวออก ส่งคืนให้กันต์อย่างไม่มีพิธีรีตอง จากนั้นก็กางเสื้อนอกของตัวเองที่เพิ่งหยิบออกมาจากในรถเช่นกัน คลุมลงบนบ่าให้นาราแทน

“เสื้อของผมอุ่นกว่ามาก คุณวิศรุตเก็บเสื้อไว้ให้คุณรพีพรรณเถอะครับ”

ธิปกบอกเรียบๆ ไม่ได้รอดูว่าอีกฝ่ายจะมีปฏิกิริยาอย่างไรเมื่อจูงนาราไปถึงรถ เปิดประตูให้ก่อนจะประคองเข้าไปนั่งอย่างนิ่มนวล

กันต์นิ่งอึ้ง มองภาพใกล้ชิดของทั้งคู่ด้วยอาการเลื่อนลอย อารมณ์บางอย่างคล้ายหวงแหนกึ่งริษยาผุดขึ้นมาเงียบๆ

“เราจะไปได้หรือยังคะ” เสียงแหลมๆ ของรพีพรรณดังขึ้นใกล้หู

กันต์ได้สติ รีบคลี่ยิ้มก่อนจะเปิดประตูรถให้คนรัก รพีพรรณนั่งหน้าบึ้งไปตลอดทาง ความอ่อนโยนที่กันต์แสดงต่อน้องสาวไม่ผิดอะไรกับการตบหน้าเธอฉาดใหญ่ เธอเม้มริมฝีปากแน่น พยายามข่มอารมณ์เต็มที่ไม่ให้แหวออกมา

หญิงสาวคงจะเดือดดาลขึ้นเป็นทวีคูณถ้ารู้ว่าชายหนุ่มข้างตัวกำลังเสียดายจับใจ…

เสียดายที่พบนาราช้าไป เสียดายที่ไม่เคยรู้มาก่อนว่าเธอต่างหากคือผู้หญิงที่มีเลือดกรุ๊ปเอเนกาทีฟ ที่น่าเจ็บใจยิ่งกว่านั้น เมื่อหลายปีก่อนนายมงคลเกือบจะหมั้นนาราให้เขาอยู่แล้วเชียว แต่กันต์เองที่เข้าใจผิดว่ารพีพรรณคือคนพิเศษที่จะนำความรุ่งเรืองมาให้ ถึงได้วางอุบายเล่นงานจนนาราหลุดลอยไป

ไม่รู้เลยว่ากำลังโยนเพชรทิ้งไปด้วยมือตัวเอง…

เป็นครั้งแรกที่หัวใจของกันต์หวั่นไหวเพราะผู้หญิงคนหนึ่ง ทั้งๆ ที่รูปลักษณ์ของเธอคนนั้น หากจะเทียบกับรพีพรรณหรือสาวสวยอีกมากมายที่เขาพบในวงสังคมก็ไม่นับว่าโดดเด่น แต่ผู้หญิงคนเดียวกันนี้ที่ใช้พลังทั้งหมดในร่าง ช่วยฉุดดึงพาเขาข้ามบึงน้ำเพื่อให้พ้นจากความตาย

ช่วงเวลาที่อยู่ในบึง ถึงแม้จะเป็นเวลาเพียงสั้นๆ แต่เหมือนหัวใจของกันต์กับผู้ที่โอบกอดเขาจะหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน เขาวางชีวิตไว้ในมือของเธอ ขณะที่นาราก็มุ่งมั่นจะพาเขาไปถึงฝั่งอย่างไม่ย่อท้อ นาทีนั้นกันต์พบว่าหัวใจที่เย็นชาของตนอบอุ่นขึ้นมาเป็นครั้งแรก มันถูกเติมเต็มด้วยประกายร้อนแรงแห่งความปรารถนาดีและห่วงใยอย่างจริงใจของใครคนหนึ่ง

ถ้ามีเวลามากพอ กันต์ปรารถนาเหลือเกินที่จะไปตีสนิทกับนารา ใช้เสน่ห์ของเขาเอาชนะใจเธออย่างที่เคยใช้กับรพีพรรณมาก่อน แต่จะทำอย่างไรได้ สัปดาห์หน้าก็จะถึงวันที่หม่อมภรณีบาดเจ็บจนต้องเข้าโรงพยาบาลแล้ว

เขาจำเป็นต้องมุ่งต่อไปตามแผนที่วางไว้ เพื่ออนาคตที่รอคอยอย่างหิวกระหายมานับสิบปี

กันต์ไม่มีทางเลือกและไม่อาจหักห้ามความปรารถนานี้ได้เลย ถึงแม้มันจะหมายถึงการทรยศนาราก็ตาม

 

นาราส่งยิ้มให้ช่างภาพที่กำลังกดชัตเตอร์ ด้านข้างของเธอขนาบด้วยธิปกและผู้อำนวยการโรงพยาบาล วันนี้ห้างเรืองอำพันนำพัดลมและเครื่องใช้จำนวนหนึ่งมามอบให้โรงพยาบาลแห่งนี้ นาราจึงต้องลุกขึ้นมาแต่งหน้าทำผม สวมสายสะพายรองนางงามมาร่วมพิธีมอบเครื่องไฟฟ้ากับเขาด้วย

การถ่ายรูปหมู่ผ่านไปอย่างราบรื่น ขั้นตอนต่อไปเธอจะไปบริจาคโลหิตเพื่อเชิญชวนประชาชน กิจกรรมหลังนี้ไม่ได้อยู่ในหมายกำหนดการมาตั้งแต่แรก แต่ถูกขอร้องเป็นพิเศษหลังจากมาถึงโรงพยาบาลแล้ว นาราเห็นว่าไม่เหลือบ่ากว่าแรงจึงรับปากโดยดี

เสร็จจากการถ่ายรูปหญิงสาวก็เดินตามนางพยาบาลไปจนถึงห้องที่ทางโรงพยาบาลเตรียมไว้ มีการถ่ายรูปขั้นตอนการบริจาคโลหิตของเธอ จากนั้นแขนสีน้ำผึ้งผ่องนวลก็ถูกเจาะเข้ากับสายยาง ปล่อยให้ของเหลวสีแดงข้นค่อยๆ ไหลไปยังถุงบรรจุช้าๆ

ธิปกนั่งรออยู่ด้านนอกไม่ได้ตามเข้ามาด้วย แต่เขาก็ยังสังเกตเห็นว่าที่หน้าห้องผ่าตัดซึ่งอยู่ตรงกันข้าม มีคนกลุ่มหนึ่งกำลังนั่งบ้างยืนบ้างด้วยใบหน้าเคร่งเครียด ดูจากเสื้อผ้าที่สวมน่าจะเป็นเครื่องแบบคนรับใช้ในบ้านผู้มีอันจะกิน ได้ยินแว่วๆ ว่าคนเหล่านั้นเรียกคนป่วยว่า ‘หม่อม’ แต่จะเป็นหม่อมอะไรนั้นชายหนุ่มไม่ได้เอาใจใส่ และไม่ได้รู้เลยว่าในเวลาเดียวกัน นางพยาบาลที่รับหน้าที่ดูแลนาราก็เกิดมีอาการผิดปกติ หล่อนเดินเข้าออกห้องน้ำหลายครั้ง จนสุดท้ายรู้สึกว่าจะไม่ไหวก็บอกพยาบาลรุ่นน้องด้วยสีหน้าอ่อนเพลีย

“อยู่ดีๆ พี่ก็ท้องเสีย เห็นจะต้องพักสักหน่อย ฝากรุ่งช่วยดูแลคุณนาราต่อด้วยนะ อีกไม่นานก็เสร็จแล้ว”

อันที่จริงคนฝากไม่รู้สึกว่าต้องเกรงใจรุ่นน้องคนนี้เท่าไรนัก เพราะรู้มาว่ารุ่งรัตน์ชื่นชมนาราอยู่แล้ว ก็หล่อนเองไม่ใช่หรือที่เป็นคนเสนอหัวหน้าพยาบาล ให้ออกปากขอร้องนาราให้มาบริจาคโลหิตเพื่อถ่ายรูปประชาสัมพันธ์

รุ่งรัตน์ตอบรับอย่างยินดี สีหน้าเต็มอกเต็มใจจนพยาบาลรุ่นพี่ไม่นึกห่วง รอจนได้เวลาที่กำหนด รุ่งรัตน์ก็เข้ามาถอดอุปกรณ์ออกจากแขนของนารา แนะนำวิธีปฏิบัติตัวตามระเบียบ แล้วยิ้มน้อยๆ มองตามหลังหญิงสาวที่เดินออกจากห้องไป

จากนั้นพยาบาลสาวก็หยิบปากกาขึ้นมาเขียนชื่อนามสกุลของผู้บริจาคโลหิต ก่อนจะติดป้ายชื่อลงบนถุงใส่เลือดของนารา แต่หากมีใครมาดูชื่อบนถุง คนคนนั้นจะต้องประหลาดใจเพราะมันอ่านได้ว่า

รพีพรรณ จรัสวงศ์

เตียงที่นารานอนอยู่เมื่อครู่มีผ้าม่านขึงอยู่ด้านข้าง ใช้แทนบังตากั้นไม่ให้เห็นเตียงอื่นๆ รุ่งรัตน์เดินไปรูดผ้าม่านหนาหนักออก เผยให้เตียงลักษณะเดียวกันอีกตัวหนึ่ง หญิงสาวร่างโปร่งระหงที่กำลังนอนบริจาคโลหิตอยู่อย่างเงียบกริบส่งยิ้มให้ เมื่อรุ่งรัตน์ช่วยถอดเข็มออกจากแขนของเธอ

“เรียบร้อยแล้วค่ะ” รุ่งรัตน์กระซิบบอก “คุณรพีกลับไปรอฟังข่าวที่บ้านได้เลย พี่จะรีบเอาเลือดของนาราไปตรวจว่าใช่กรุ๊ปเอบีเนกาทีฟจริงหรือเปล่า ถ้าใช่ก็จะเอาไปรักษาหม่อมภรณีเลย ถ้าได้ความยังไงพี่จะติดต่อไปนะคะ”

 



Don`t copy text!