แรมสิบห้าค่ำนี้มีปาฎิหาริย์ บทที่ 12 : คนโปรดของหม่อมภรณี (1)

แรมสิบห้าค่ำนี้มีปาฎิหาริย์ บทที่ 12 : คนโปรดของหม่อมภรณี (1)

โดย : ณรัญชน์

Loading

แรมสิบห้าค่ำนี้มีปาฎิหาริย์ นวนิยายเรื่องล่าสุดจาก ณรัญชน์ ที่อ่านเอาคัดสรรมานำเสนอ กับเรื่องราวของกระจกโบราณที่สามารถทำนายอนาคตมนุษย์ทุกคนได้อย่างแม่นยำ ‘วิศรุต’ จึงใช้มันมาลิขิตชะตาชีวิตตัวเอง แม้นั่นจะหมายถึงการทำลายล้างคนรอบข้างอย่างโหดเหี้ยม ไม่เว้นแม้แต่ผู้หญิงที่เขารัก นวนิยายออนไลน์จาก www.anowl.co

รพีพรรณลืมตาตื่นตั้งแต่ย่ำรุ่งแต่ยังไม่รีบลุกขึ้นทำกิจวัตรประจำวัน กลับเอนกายกึ่งนั่งกึ่งนอนพิงหมอนนุ่มด้านหลังอย่างแสนสุข ขณะกวาดสายตามองไปทั่วห้องเพื่อดื่มด่ำกับความละเมียดละไมของสิ่งรอบตัว

ห้องนี้ไม่ใช้ห้องนอนในบ้านที่หญิงสาวคุ้นเคยมาแต่น้อยคุ้มใหญ่ แต่เป็นห้องแปดเหลี่ยมทาสีฟ้าสลับขาว ตกแต่งด้วยเครื่องเรือนทันสมัย สวยงามหรูหราเสียจนรพีพรรณถึงกับตะลึงเมื่อเดินเข้ามาเป็นครั้งแรก

หญิงสาวคงไม่ได้มานอนอยู่ในห้องนี้ และไม่ได้กลายเป็นคนโปรดของหม่อมภรณีถ้าไม่เพราะแผนการของ ‘คุณวิศรุต’

รพีพรรณไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดจู่ๆ คนรักก็ถามถึงเพื่อนพยาบาลคนหนึ่งของเธอ ทั้งๆ ที่เคยพบกันเพียงครั้งเดียวเท่านั้น เขาซักไซ้เกี่ยวกับนิสัยใจคอ ความสนิทชิดเชื้อของรพีพรรณกับรุ่งรัตน์ เน้นย้ำเป็นพิเศษถึงฐานะครอบครัวของพยาบาลสาว จากนั้นหลังจากไตร่ตรองเงียบๆ อยู่ครู่ใหญ่ วิศรุตก็บอกว่าต้องการให้รุ่งรัตน์ทำงานชิ้นหนึ่งให้

‘มันเป็นงานที่จะเปลี่ยนอนาคตของเราทั้งสองคน คุณไปเรียกเพื่อนคุณมาพบผม รพีเองก็ต้องร่วมมือด้วยถึงจะสำเร็จ’

พอได้ฟังแผนการของคนรัก รพีพรรณก็ปฏิเสธหัวชนฝา แต่วิศรุตย้ำให้เธอเห็นผลดีที่ทั้งคู่จะได้รับ โดยเฉพาะตัวเธอนั้น รพีพรรณจะเฟื่องฟูเกินหน้าเกินตาเพื่อนฝูงทั้งหมดเลยทีเดียว

นับว่าชายหนุ่มฉลาดในการโจมตีถูกจุดอ่อนของหญิงสาว เพราะถึงแม้จะได้ชื่อว่าเป็นผู้ดีเก่าแต่ฐานะครอบครัวรพีพรรณไม่ได้ร่ำรวยล้นเหลืออย่างเพื่อนบางคน คนที่ไม่ชอบหน้าจึงใช้เรื่องนี้มาเป็นอาวุธทิ่มแทงเธอทุกครั้งที่ปะทะคารมกัน

ใช้เวลาใคร่ครวญอยู่หนึ่งคืนเต็มๆ ในที่สุดรพีพรรณก็ยอมไปโรงพยาบาลในวันและเวลาที่คนรักกำหนด เป็นเวลาเดียวกับที่หม่อมภรณีถูกบริวารพาตัวมาส่งโรงพยาบาล เนื่องจากรถยนต์ที่เธอนั่งไปร่วมงานเลี้ยงชนเข้ากับรถเก๋งอีกคันที่ขับสวนมา ถึงแม้อาการบาดเจ็บของหม่อมจะไม่ร้ายแรงนักแต่เธอก็เสียเลือดไปมาก จำเป็นต้องได้โลหิตมาทดแทนโดยด่วน

ปัญหาคือหม่อมภรณีมีเลือดกรุ๊ปเอเนกาทีฟ ซึ่งหาได้ยากนักหนาและไม่มีสำรองอยู่ในโรงพยาบาลหรือแม้แต่ธนาคารเลือด

ในตอนนั้นเองรุ่งรัตน์ซึ่งรู้ข่าวจากเพื่อนพยาบาลที่เข้าเวรอยู่ด้วยกันก็อุทานว่า

‘โชคดีจริงๆ ฉันรู้จักคนที่มีเลือดกรุ๊ปนี้ เธอแวะมาคุยกับฉันเพิ่งเดินออกไปเมื่อตะกี้นี้เอง ฉันจะรีบไปตามคุณรพีมาเดี๋ยวนี้ละ เธอเป็นคนจิตใจงามอยู่แล้ว ถ้าขอให้มาบริจาคโลหิตช่วยชีวิตคนเธอต้องยินดีแน่’

ต่อจากนั้นรพีพรรณก็มานอนบริจาคโลหิตในห้องที่จัดเตรียมไว้ ผ้าม่านเนื้อหนาที่ถูกรูดมากั้นกลางช่วยปิดบังไม่ให้นาราที่เข้ามาทีหลังเห็นตัวพี่สาว ส่วนรพีพรรณก็นอนเงียบกริบไม่ส่งเสียงราวกับไม่มีตัวตน จนกระทั่งน้องสาวบริจาคเลือดเสร็จและผละออกไปแล้ว รุ่งรัตน์ก็เข้ามาสลับถุงเลือดของหญิงสาวทั้งสอง นำเลือดของนาราไปตรวจสอบ ก่อนจะนำไปใช้ช่วยชีวิตหม่อมภรณีที่กำลังสลบอยู่

การผ่าตัดหม่อมภรณีลุล่วงไปด้วยดี เธอพักฟื้นอยู่ในโรงพยาบาลได้หนึ่งสัปดาห์จนร่างกายฟื้นตัวพอจะพูดคุยกับคนที่มาเยี่ยมได้แล้ว รุ่งรัตน์ก็พารพีพรรณเข้าไปพบ แนะนำด้วยเสียงนอบน้อมว่า

‘นี่ละค่ะคุณรพีพรรณ จรัสวงศ์ คนที่บริจาคเลือดให้ท่าน’

หม่อมภรณีเป็นสตรีวัยสี่สิบปลาย ใบหน้าที่บอกชัดว่าจะต้องสวยไม่น้อยในวัยสาวดูอ่อนโยน ไม่มีแววเจ้ายศเจ้าอย่างที่รพีพรรณนึกหวั่นว่าผู้หญิงซึ่งพร้อมพรั่งด้วยทรัพย์ศฤงคารอย่างเธอจะเป็น

‘ขอบคุณนะคะคุณรพีพรรณที่ช่วยฉัน เห็นคุณพยาบาลบอกว่าคุณยอมมาให้เลือดโดยไม่ถามสักคำว่าคนป่วยเป็นใคร แหม! คนน้ำใจงามอย่างคุณสมัยนี้หาได้ยากแล้ว ฉันจะไม่ลืมเลย’

จากการพูดจากันเพียงสั้นๆ ในวันแรก รพีพรรณก็ไปเยี่ยมเยียนหม่อมภรณีอีกหลายครั้ง สุดท้ายก็ไปทุกวัน ช่วยรินน้ำ หยิบข้าวของเล็กๆ น้อยๆ หรืออ่านหนังสือให้เธอฟัง หม่อมราชวงศ์เจตน์ สามีของหม่อมภรณีถึงแก่กรรมไปยี่สิบกว่าปีแล้ว ทุกวันนี้เธออยู่ตัวคนเดียวในคฤหาสน์หลังใหญ่ที่เทเวศร์ ส่วนคุณจงกลนีน้องสาวของหม่อมไปทำงานเป็นครูอยู่ที่ปีนัง การมีหญิงสาวสวยชาติตระกูลดี กิริยามารยาทถูกใจมาอยู่เป็นเพื่อนจึงช่วยคลายเหงาให้หม่อมภรณีได้มาก

กินเวลาเพียงเดือนเศษรพีพรรณก็กลายเป็นคนโปรดที่หม่อมเอ็นดู ถึงขนาดจัดห้องพักไว้บนชั้นสองของบ้าน สำหรับให้รพีพรรณนอนค้างในวันที่มาอยู่เป็นเพื่อนเธอจนค่ำมืด ซึ่งก็คือห้องที่รพีพรรณกำลังนอนเอกเขนกอย่างแสนสุขอยู่ในเวลานี้

แต่ทอดเวลาอ้อยอิ่งได้เพียงครู่เดียว รพีพรรณก็รีบลุกขึ้นอาบน้ำแต่งตัวอย่างว่องไว วันนี้หม่อมนัดเพื่อนๆ ของเธอไว้ว่าจะไปกราบเยี่ยมพระครูท่านหนึ่งที่วัดบวรนิเวศ รพีพรรณจึงต้องตามไปดูแลอย่างใกล้ชิด

แม้ใจจริงรพีพรรณจะเบื่อหน่ายกิจกรรมของผู้สูงวัยเหล่านี้ แต่หญิงสาวก็ไม่เคยแสดงความรู้สึกออกมา เพราะการติดตามหม่อมไปพบคนใหม่ๆ มีแต่ผลดี เพื่อนฝูงของเธอถ้าไม่ใช่คนเด่นดังในวงสังคมก็เป็นคนที่มีชื่อเสียง และร้อยทั้งร้อยทุกคนมีฐานะพอจะเกื้อหนุนรพีพรรณในภายภาคหน้าได้ทั้งสิ้น ถ้าหากว่าหญิงสาวรู้จักประจบให้ถูกใจละก็

การเยี่ยมเยียนกินเวลาตลอดช่วงเช้า หลังจากนั้นหม่อมภรณียังแวะซื้อของที่วรจักรอีกครู่ใหญ่ กว่าจะกลับถึงบ้านก็เป็นเวลาบ่าย พอเห็นเจ้านาย สาวใช้ที่กระวีกระวาดมาต้อนรับก็รายงานว่าวิศรุตซึ่งมารอรับคนรักของเขาทุกวันมาถึงแล้ว

“เธอเห็นคุณยังไม่กลับมาเลยไปคุยกับคุณจงกลนีอยู่ในสวนค่ะ”

จงกลนีเป็นน้องสาวต่างมารดาของหม่อมภรณี ปกติเธอทำงานเป็นครูอยู่ที่โรงเรียนประจำในปีนัง แต่พอรู้ข่าวจากจดหมายที่หม่อมส่งไปถึงว่าพี่สาวป่วย ประกอบกับเป็นช่วงที่โรงเรียนปิดเทอมใหญ่นานหลายเดือน จงกลนีจึงเดินทางมาเยี่ยมพี่สาวและจะพักอยู่จนกว่าจะเปิดเทอม

เป็นกิจวัตรที่หม่อมภรณีจะต้องเอนหลังในยามบ่าย รอจนเธอขึ้นไปพักผ่อนที่ห้องชั้นบนแล้วรพีพรรณก็เดินเข้าไปในสวน เห็นคนสามคนกำลังนั่งคุยกันอยู่บนเก้าอี้เหล็กดัดสีขาว ข้างน้ำตกจำลองก่อด้วยหินธรรมชาติลวดลายแปลกตา ความชุ่มฉ่ำจากสายน้ำเล็กๆ ที่ทิ้งตัวลงสู่หินเบื้องล่างช่วยให้บริเวณนั้นสดชื่นเหมาะจะนั่งเล่นในย่ามบ่ายอย่างนี้

รพีพรรณชะลอฝีเท้า แม้จะมองจากไกลๆ เธอก็บอกได้ทันทีว่าผู้หญิงสามคนนั้นคือจงกลนี นพมาศ และนารา แต่กลับไม่มีแม้แต่เงาของวิศรุต

ก็นับว่าน่าแปลกที่เขาไม่อยู่ ปกติชายหนุ่มจะมาป้วนเปี้ยนคอยรับใช้หม่อมภรณีและน้องสาวของเธอทุกครั้งที่มีเวลาว่าง และก็เพราะความสนิทสนมที่ก่อตัวขึ้นในเวลาอันสั้นนี่ละ วิศรุตจึงเป็นคนหนึ่งที่ได้รับประโยชน์มากมายจากการที่รพีพรรณเป็นคนโปรดของหม่อม อาจจะมากกว่าตัวหญิงสาวเองเสียด้วยซ้ำหากจะตีค่าเป็นจำนวนเงิน

รพีพรรณแน่ใจว่าชายหนุ่มวางแผนไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่าจะขอให้หม่อมช่วยเหลือในเรื่องใดบ้าง มิฉะนั้นเขาคงไม่ปรารภเป็นเชิงปรับทุกข์ขึ้นมาในเย็นวันหนึ่งระหว่างรับประทานอาหารด้วยกัน ว่าบรรดาลูกน้องเก่าแก่ของนายมงคลมักจะดูหมิ่นเขา เนื่องจากเขาไม่อาจหาลูกค้าใหม่ๆ มาเพิ่มได้มากพอ

‘พวกนั้นชอบขัดแข้งขัดขาผม ลับหลังก็พูดจาให้ร้ายเพราะไม่เชื่อฝีมือว่าผมจะมาดูแลกิจการต่อจากคุณปู่ได้’ ชายหนุ่มรำพึงรำพัน หน้าสลดลงอย่างกลัดกลุ้ม

ยิ่งในเวลานี้วิศรุตกำลังเจรจาขอติดตั้งเครื่องปรับอากาศในโรงแรมบุณฑรีก์ ซึ่งเป็นโรงแรมเปิดใหม่บนถนนสาทร ทุกคนก็ยิ่งเพ่งเล็งว่าเขาจะทำโครงการใหญ่ชิ้นนี้ได้สำเร็จหรือไม่

‘โอกาสที่จะได้งานริบหรี่เต็มทนครับ เพราะบริษัทคู่แข่งเขารู้จักกับคนที่ดูแลโครงการนี้อยู่ ก็คงวิ่งเต้นช่วยเหลือกันเต็มที่ ส่วนตัวผมหากว่าพลาดไม่ได้ทำสัญญา คงมีคนรอสมน้ำหน้ากันหลายคนเชียวละ’

หม่อมภรณีนั้นมีสายสัมพันธ์อันดีกับนักธุรกิจใหญ่ๆ แทบทั้งพระนคร แม้แต่เจ้าของโรงแรมบุณฑรีก์ก็เป็นหลานชายของเพื่อนสนิทของเธอ จึงไม่ยากที่หม่อมจะช่วยเจรจาให้กันต์ได้เซ็นสัญญาติดตั้งเครื่องปรับอากาศอย่างที่หวัง

ความสำเร็จใหญ่ยักษ์ชิ้นนี้นับเป็นผลงานชิ้นโบแดง สามารถเปลี่ยนคำสบประมาทในหมู่พนักงานที่มีต่อ ‘คุณวิศรุต’ ให้เป็นเสียงชื่นชมได้ในชั่วข้ามคืน นายมงคลพอใจมากถึงขนาดยกห้างสรรพสินค้าไดมอนด์ที่เพิ่งเปิดตัวให้หลานชายดูแล เรียกได้ว่ารางวัลที่รพีพรรณและคนรักได้รับมีมากมายล้นหลาม คุ้มค่ากับการสวมรอยเป็นผู้บริจาคเลือดให้หม่อมภรณีแทนนาราเลยทีเดียว

นารา…

กว่าจะยั้งตัวเองได้ทัน ความคิดของรพีพรรณก็โลดแล่นไปถึงคนที่ไม่ปรารถนาจะคิดถึงที่สุดเสียแล้ว พริบตานั้นเปลวเพลิงแห่งความชิงชัง…มากมายทบทวียิ่งกว่าเมื่อก่อนหลายสิบเท่า…ก็พวยพุ่งขึ้นแผดเผาหัวใจหญิงสาว สายตาที่ทอดมองบุคคลที่สามที่กำลังนั่งฟังบทสนทนาระหว่างจงกลนีกับนพมาศอยู่มีแววเคียดแค้นสุดขั้วหัวใจ

ทุกวันนี้ ยิ่งได้รับการยกย่องเชิญชูมากเท่าไรรพีพรรณก็ยิ่งหวาดกลัวมากเท่านั้น กลัวว่าสักวันหนึ่งความจริงจะเผยตัวของมันออกมา แล้วทุกสิ่งที่เธอครอบครองก็จะเปลี่ยนเจ้าของ กลับกลายเป็นของนังน้องสาว ทั้งๆ ที่นาราไม่ได้ออกแรงทำสิ่งใดเลย นอกเสียจากบังเอิญโชคดีเกิดมาพร้อมเลือดกรุ๊ปพิเศษเท่านั้น

ยิ่งคิดก็ยิ่งหงุดหงิดจนพานไม่อยากพบใคร อันที่จริงรพีพรรณก็ไม่อยากเสวนากับจงกลนีอยู่แล้ว เพราะฝ่ายนั้นไม่ได้เอ็นดูเธอเหมือนพี่สาว จงกลนีมักจะมองเธอด้วยสายตาครุ่นคิด กึ่งระแวงกึ่งขบขันที่เห็นเธอคอยประจบเอาใจหม่อมภรณีตลอดเวลา จนรพีพรรณอึดอัดไม่อยากเข้าใกล้

เมื่อไม่มีอารมณ์จะพูดจาอ่อนหวานกับผู้หญิงสามคนนั้น หญิงสาวเลยหันหลังกลับเอาดื้อๆ เดินเข้าไปในห้องโถง สั่งคนรับใช้ให้ไปบอกวิศรุตให้เข้ามาพบเธอในบ้านแทน

 

ระหว่างที่รพีพรรณกลับเข้าไปนั่งไขว่ห้างจิบเครื่องดื่มเย็นๆ ในห้องรับแขก ผู้หญิงอีกสามคนในสวนก็กำลังคุยกันด้วยเรื่องสัพเพเหระ ส่วนใหญ่เกี่ยวกับอาการป่วยของหม่อมภรณีและการรักษาพยาบาลเธอ ถึงตอนหนึ่งจงกลนีก็พูดขึ้นว่า

“คุณวิศรุตคนนี้ที่จริงก็ไม่มีอะไรเสียหาย ทั้งหน้าตาชาติตระกูลความรู้ถือว่าดีไปทั้งหมด แต่ฉันมักรู้สึกแปลกๆ เวลาคุยกับเขา คงเพราะลักษณะของเขาไม่เหมือนในจดหมายที่ไพศาลบรรยายมาเลยกระมัง แตกต่างกันอย่างกับเป็นคนละคน”

“ยังไงหรือเธอ” นพมาศถาม เธอกับจงกลนีรู้จักกันในงานการกุศลงานหนึ่งเมื่อนานมาแล้ว หลังจากนั้นก็ติดต่อกันทางจดหมายเรื่อยมาจนนับได้ว่าเป็นเพื่อนสนิท

เพื่อให้ผู้ฟังเข้าใจทะลุปรุโปร่ง จงกลนีจึงเท้าความไปถึงสมัยที่ตนเองเป็นนักศึกษา ว่าในคณะของเธอมีนักศึกษาอยู่ไม่กี่คน หนึ่งในนั้นเป็นเพื่อนที่เธอรักที่สุดชื่อว่าไพศาล คุปตานนท์ หลังจากจงกลนีเดินทางไปเป็นครูที่ปีนัง ไพศาลก็ย้ายไปทำงานที่จังหวัดสงขลา กระนั้นเขาก็ขยันส่งจดหมายมาเล่าความเป็นไปต่างๆ ที่ได้พบในชีวิตประจำวันให้เพื่อนสาวรับรู้อยู่เสมอ

ในจดหมายฉบับหลังๆ ไพศาลเล่าว่าเขาได้รับการว่าจ้างให้ไปสอนพิเศษเด็กชายวิศรุต กิตติไกรสีห์ ที่บ้านทุกวันหยุดสุดสัปดาห์ ไพศาลยังบรรยายรายละเอียดเกี่ยวกับลูกศิษย์คนโปรดไว้จนจงกลนีรู้สึกเหมือนพลอยรู้จักเด็กชายไปด้วย อาทิเช่น วิศรุตเป็นคนถนัดซ้าย เขาชอบว่ายน้ำมากทั้งๆ ที่สุขภาพไม่แข็งแรงนัก ไพศาลเห็นว่ากีฬาชนิดนี้จะเป็นประโยชน์กับลูกศิษย์จึงยอมสอนให้ นอกจากนี้วิศรุตยังมีพรสวรรค์ในการวาดรูปสีน้ำมัน และเกลียดอาหารที่ใส่กะปิทุกประเภท

ทว่ารายละเอียดทั้งหมดนี้ไม่มีข้อใดตรงกับวิศรุต กิตติไกรสีห์ ที่มาปรากฏตัวอยู่ต่อหน้าเธอเลยสักเรื่องเดียว!

นพมาศฟังจนจบแล้วก็ยังไม่เห็นว่ามีความผิดปกติตรงไหน เธอไม่คิดว่าเป็นเรื่องแปลกที่คนคนหนึ่งจะเติบโตขึ้นมาผิดแผกไปจากในวัยเด็ก

“คุณวิศรุตย้ายจากสงขลามาอยู่พระนครนานแล้ว ฉันว่าก็เป็นธรรมดานะที่ความเคยชินหลายๆ อย่างจะเปลี่ยนไป”

“รวมถึงเปลี่ยนจากคนถนัดซ้ายมาถนัดมือขวาน่ะหรือคะ” นาราแย้ง “อีกอย่างหนึ่ง คุณวิศรุตว่ายน้ำไม่เป็นหรอกค่ะ เรื่องนี้ฉันรับรองได้”

สิ้นเสียงของหญิงสาววงสนทนาก็เงียบสนิท ทุกคนไม่เว้นแม้แต่นพมาศเริ่มคิดตรงกันถึงความไม่ชอบมาพากลในตัวหนุ่มรูปงามคนนี้

“อย่าบอกนะว่าเธอคิดว่าคุณวิศรุตคนนี้เป็นตัวปลอม”

นิ่งอยู่อึดใจหนึ่งนพมาศก็พูดด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ เพราะจนปัญญาจะนึกหาเหตุผลว่าเกิดเหตุพิสดารอะไรขึ้นมา “เหมือนในละครน่ะหรือที่มีคนนอกแอบอ้างเป็นลูกเศรษฐีแล้วแฝงตัวเข้ามาอยู่ในบ้าน ถ้าเป็นจริงคงสนุกพิลึกละ”

จงกลนีหัวเราะ พูดกลบเกลื่อนตามเพื่อนไปบ้าง “นั่นสิ ฉันคงคิดมากไปเองนั่นละ คุณวิศรุตอาจจะเปลี่ยนไปเพราะย้ายมาอยู่ในพระนครตั้งหลายปีอย่างที่เธอว่าก็ได้”

เธอยกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบ แล้วเล่าต่อด้วยท่าทีสบายๆ

“ฉันมีรูปถ่ายตอนเด็กๆ ของคุณวิศรุตที่ไพศาลถ่ายไว้ด้วยนะ แต่ไม่ได้หยิบมาดูหลายปีจนจำหน้าตาไม่ได้แล้ว เป็นรูปถ่ายของครอบครัวคุณวิศรุต ถ่ายร่วมกับรูปเหมือนสีน้ำมันของเด็กในบ้านที่คุณวิศรุตวาด เห็นว่าเด็กคนนั้นชื่อกันต์ ทางบ้านคุณวิศรุตรับอุปการะไว้ นี่ฉันก็ส่งแอร์เมล์ไปที่ปีนัง ให้เพื่อนที่หอพักช่วยส่งกล่องที่เก็บจดหมายของไพศาลมาให้แล้ว น่าจะมาถึงภายในอาทิตย์นี้ละ ถ้าได้แล้วฉันจะเอามาอวดคุณวิศรุต เขาคงขำแย่ที่ผู้ใหญ่เลอะเทอะอย่างฉันคิดอะไรเรื่อยเปื่อยไม่เข้าท่า”

สายลมรวยรื่นโชยมาพัดกิ่งไม้ในบริเวณนั้นให้แกว่งไกวราวกับเริงระบำ วูบหนึ่งลมพัดใบเขียวสดของต้นจำปูนสูงราวเมตรเศษที่อยู่ใต้ต้นตะแบกข้างสนามให้แหวกออกเป็นช่อง เผยให้เห็นเงารางๆ ของใครคนหนึ่งที่ยืนอยู่ใต้ตะแบกต้นนั้น อาศัยความหนาทึบของใบจำปูนช่วยกำบังให้พ้นจากสายตาของผู้หญิงทั้งสามที่นั่งรับลมอยู่บนเก้าอี้เหล็กดัด

กันต์ขบกรามกรอด บอกตัวเองว่าเขาจะยอมให้จงกลนีได้รับพัสดุจากปีนังไม่ได้เป็นอันขาด

ทำไมเขาจะจำไม่ได้ว่า ‘รูปเหมือนสีน้ำมันของเด็กในบ้าน’ ที่วิศรุตวาดนั้นเหมือนตัวจริงของเขาเพียงใด

จะว่าเป็นพรสวรรค์ก็คงไม่ผิดนักที่ทำให้วิศรุตมีฝีมือทางศิลปะ โดยเฉพาะการวาดรูปคนได้เหมือนตัวจริงราวกับรูปถ่าย หลังจากวาดเสร็จไพศาลก็เรียกบพิตรกับอรสามาดู แล้วทั้งครอบครัวก็ถ่ายรูปร่วมกันไว้เป็นที่ระลึก โดยมีไพศาลรับอาสาเป็นตากล้องให้ กันต์ซึ่งเป็นนายแบบก็ได้รับเกียรติให้อยู่ในรูปถ่ายนั้นด้วย

จงกลนีเคยเห็นรูปนี้แต่ก็นานหลายปีมาแล้ว เธอถึงจำหน้าตาของเด็กชายกันต์ที่เป็นนายแบบให้วิศรุตไม่ได้ แต่ถ้าได้ดูรูปถ่ายอีกครั้ง รวมกับคำบรรยายที่ไพศาลเขียนกำกับมาในจดหมาย ความลับที่เขาไม่ใช่วิศรุตตัวจริงคงไม่แคล้วต้องเปิดเผยออกมาเป็นแน่

กันต์มีเวลาเพียงไม่กี่วันก่อนที่จงกลนีจะได้รับพัสดุ แต่ก็นานพอที่เขาจะนำใบยี่โถมาตากแห้ง สับละเอียดให้เป็นใบเล็กๆ ขนาดเท่าใบชา แล้วแอบนำไปใส่ในโถบรรจุใบชาของจงกลนี

น้องสาวของหม่อมภรณีติดนิสัยต้องดื่มน้ำชายามบ่าย อันเป็นรสนิยมที่เธอเคยชินยามอยู่ปีนัง แต่บ่ายวันนี้หลังจากดื่มชาเข้าไปจงกลนีก็มีอาการปวดท้องผสมคลื่นไส้อาเจียนอย่างหนัก ร้อนถึงกันต์ที่มาเยี่ยมหม่อมภรณีพอดี ต้องรีบพาไปส่งโรงพยาบาล จากนั้นก็กลับมารายงานหม่อมว่า

“คุณจงกลนีคงเผลอทานอะไรเป็นพิษเข้าไปน่ะครับ หมอล้างท้องให้แล้วแต่ต้องนอนพักรอดูอาการที่โรงพยาบาลอีกสองสามวัน ระหว่างนี้คุณท่านอยู่บ้านคนเดียวน่าจะเหงา ผมว่าให้รพีมานอนค้างเป็นเพื่อนดีกว่านะครับ”

ไม่มีใครเห็นเป็นเรื่องแปลกที่รพีพรรณจะมาอยู่เป็นเพื่อนหม่อมภรณี และไม่แปลกอีกเช่นกันที่กันต์จะมาเยี่ยมคนรักของเขาทุกวัน ระหว่างนั้นกันต์ก็แอบสั่งแม่สาวใช้คนหนึ่งให้คอยรับพัสดุของจงกลนีแล้วนำมาให้เขา กำชับหนักแน่นว่าห้ามให้ใครเห็นเป็นอันขาด พอแม่เสงี่ยมนำพัสดุมาให้ กันต์ก็ตบรางวัลด้วยเงินปึกหนึ่ง มีจำนวนมากพอจะทำให้สาวใช้ตาลุกวาว

“ฉันถูกชะตากับแม่เสงี่ยมเสียจริง” กันต์ยิ้มอย่างเอ็นดูฝ่ายตรงข้าม “ที่บริษัทฉันขาดแม่บ้านอยู่พอดี แม่เสงี่ยมไปกราบลาหม่อมท่านแล้วไปทำงานกับฉันได้ไหม รับรองว่าจะจ่ายค่าจ้างให้อย่างงามแถมมีที่พักให้ด้วย เจ้านายก็ไม่เจ้าระเบียบ สบายกว่าที่นี่อีกนะ”

ด้วยเหตุนี้พอจงกลนีออกจากโรงพยาบาลกลับมาถึงบ้าน จึงไม่มีใครรู้เรื่องพัสดุจากปีนังเลย เธอรออยู่หนึ่งสัปดาห์ก็เขียนจดหมายสอบถามกลับไปทางปีนัง เพื่อนที่นั่นยืนยันว่าส่งของมาตามที่เธอสั่งแล้ว หากยังไม่ได้รับปัญหาก็น่าจะมาจากการทำงานของไปรษณีย์มากกว่า

ท้ายที่สุด ทั้งๆ ที่เสียดายใจแทบขาดแต่จงกลนีก็ทำอะไรไม่ได้ นอกจากทำใจว่าจดหมายของไพศาลรวมถึงรูปถ่ายคงจะหายไประหว่างการขนส่งนั่นเอง

 



Don`t copy text!