แรมสิบห้าค่ำนี้มีปาฎิหาริย์ บทที่ 12 : คนโปรดของหม่อมภรณี (2)

แรมสิบห้าค่ำนี้มีปาฎิหาริย์ บทที่ 12 : คนโปรดของหม่อมภรณี (2)

โดย : ณรัญชน์

Loading

แรมสิบห้าค่ำนี้มีปาฎิหาริย์ นวนิยายเรื่องล่าสุดจาก ณรัญชน์ ที่อ่านเอาคัดสรรมานำเสนอ กับเรื่องราวของกระจกโบราณที่สามารถทำนายอนาคตมนุษย์ทุกคนได้อย่างแม่นยำ ‘วิศรุต’ จึงใช้มันมาลิขิตชะตาชีวิตตัวเอง แม้นั่นจะหมายถึงการทำลายล้างคนรอบข้างอย่างโหดเหี้ยม ไม่เว้นแม้แต่ผู้หญิงที่เขารัก นวนิยายออนไลน์จาก www.anowl.co

อรสาเพิ่งทำของว่างเสร็จ เธอแบ่งส่วนหนึ่งไว้ให้นายมงคล อีกส่วนจัดใส่จานยกไปให้กันต์ถึงห้องของเขา เคาะประตูอยู่ครู่หนึ่งก็ไม่มีเสียงตอบรับ แต่กลับมีกลิ่นควันไฟลอดออกมาจากช่องว่างใต้ประตู อรสาใจหายรีบผลักประตูเข้าไป กวาดตามองไปรอบห้องก่อนจะเห็นถังสแตนเลสใบหนึ่งตั้งอยู่ใต้หน้าต่าง เปลวไฟกองเล็กๆ กำลังลุกโชติช่วงอยู่ภายในนั้น

ทีแรกอรสาคิดจะหาน้ำมาดับไฟ แต่พอเข้าไปมองใกล้ๆ ก็เห็นว่ากันต์เพียงแต่เผาจดหมายปึกหนึ่งกับรูปถ่ายอีกใบเท่านั้นเอง เปลวไฟสีส้มสดเต้นเร่ากลืนกินปึกจดหมายที่อยู่ข้างล่างไปมากแล้ว แต่รูปถ่ายที่อยู่ด้านบนสุดเพิ่งจะถูกไฟลามเลียไปเพียงบริเวณขอบ ส่วนที่เป็นภาพยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์ดังเดิม

ภาพของคนหลายคนที่อยู่ในรูปถ่ายสะดุดสายตาอรสาทันที

เธอเบิกตากว้าง รีบคว้ารูปขึ้นมาจากกองไฟโดยไม่พะวงว่าจะถูกไฟลวก พอหยิบขึ้นมาเพ่งดูก้อนสะอื้นก็แล่นมาจุกคอหอยโดยไม่รู้ตัว

กลุ่มคนในรูปหมู่นั้นกำลังยืนล้อมภาพเหมือนวาดด้วยสีน้ำมันภาพหนึ่งไว้ เด็กชายคนวาดถือพู่กันอยู่ในมือ สีหน้าภาคภูมิรับกับรอยยิ้มกว้างเห็นฟันขาวเป็นเงา ข้างกันคือเด็กชายผู้เป็นแบบให้วาดรูป มีครอบครัวของคนวาดยืนอยู่อีกด้านหนึ่ง สีหน้าของแต่ละคนอิ่มเอิบบอกความภูมิใจในตัวลูกชาย

เมื่อพลิกไปด้านหลังรูปถ่ายก็เห็นลายมือของไพศาลเขียนด้วยปากกาลูกลื่นไว้อย่างชัดเจน

‘วิศรุต กันต์ คุณบพิตร คุณอรสา’

อรสามองรูปสามีกับลูกชายซึ่งล่วงลับไปแล้ว พร้อมกันนั้นหยาดน้ำใสๆ ก็ร่วงพรูลงอาบแก้ม กระนั้นทั้งๆ ที่อารมณ์ภายในกำลังปั่นป่วน โสตประสาทของเธอก็ยังทำงานดีพอที่จะได้ยินเสียงฝีเท้าที่ดังมาจากด้านหลัง

“คุณแม่ ทำอะไรอยู่ครับ” กันต์นั่นเอง เขาเรียกอรสาว่าคุณแม่จนติดปากนับตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาสวมรอยเป็นวิศรุต และจะเรียกเธอว่า ‘คุณ’ เมื่ออยู่กันตามลำพัง

อรสารีบเก็บรูปไว้ในอกเสื้อ ซับน้ำตาและปรับสีหน้าให้เป็นปกติก่อนจะหันไปเผชิญหน้ากับ ‘ลูกชาย’ เธอเสเดินไปหยิบถาดใส่ของว่างที่วางทิ้งไว้ข้างประตู นำไปวางบนโต๊ะทำงานของเจ้าของห้อง

“แม่ทำหมูสร่ง เลยแบ่งมาให้วิศรุตกินรองท้อง พอดีเห็นไฟไหม้อยู่เลยรีบเข้าไปดู วิศรุตเผาอะไรหรือ”

สิ่งที่กันต์เผาก็คือจดหมายที่อยู่ในกล่องพัสดุของจงกลนีนั่นเอง พอเปิดกล่องดูก็พบจดหมายที่ไพศาลเขียนเล่าเรื่องราวในชีวิตประจำวัน รวมถึงเรื่องที่มาสอนพิเศษให้วิศรุต อีกทั้งยังบรรยายลักษณะของเด็กชายวิศรุตและเด็กชายกันต์ไว้อย่างละเอียด

ในซองจดหมายฉบับหนึ่งมีรูปถ่ายครอบครัวบพิตรที่ไพศาลถ่ายเองกับมือสอดรวมอยู่ด้วย ของทั้งหมดนี้จะให้ใครเห็นไม่ได้ กันต์จึงนำมาเผาทิ้งเสียเพื่อตัดไฟแต่ต้นลม

“ผมเผาพวกจดหมายธุรกิจเก่าๆ น่ะครับ” เขาบอกพลางชำเลืองมองเข้าไปในกองไฟ กระดาษเก่าๆ ที่เป็นเชื้อเพลิงชั้นดีไหม้ไปหมดแล้ว เหลือแต่ขี้เถ้าสีดำกองอยู่ก้นถังสแตนเลส ชายหนุ่มจึงเข้าใจว่ารูปถ่ายก็ถูกเผาไปแล้วเช่นกัน

อรสาอยากดึงความสนใจของกันต์ให้พ้นจากกองจดหมาย เลยเสมองไปบนโต๊ะซึ่งมีข้าวของเพียงไม่กี่ชิ้น นอกจากหนังสือที่กันต์อ่านค้างไว้แล้ว ใต้แสงโคมไฟเธอเห็นขวดเล็กๆ ลักษณะคล้ายขวดยานัตถุ์วางอยู่ ลายใบไผ่ บนฝาขวดวาดด้วยฝีมือหยาบๆ นั้นไม่ได้เข้ากับรสนิยมที่ชอบแต่ของเลอเลิศของเจ้าของห้องเลยแม้แต่น้อย ทำให้นึกสงสัยขึ้นมา

อรสาหยิบขวดขึ้นมาเปิดฝาออกดู อากงของเธอเป็นแพทย์แผนจีน เจ้าตัวจึงมีความรู้เรื่องสมุนไพรพอตัว พอได้กลิ่นที่ลอยมากระทบจมูกอรสาก็รู้สึกได้ถึงความไม่ชอบมาพากล

“นี่ยากระตุ้นหัวใจไม่ใช่หรือ” เธอนิ่วหน้า ฉับพลันก็นึกถึงเหตุการณ์หนึ่งขึ้นมาได้ พลอยทำให้น้ำเสียงเครียดจัด “วิศรุตเอายานี่ให้ใครกิน บอกฉันมาตามตรง เธอจะทำร้ายใครในบ้านนี้เหมือนที่ทำกับคุณธงชัยใช่ไหม”

กันต์เดินมาเลื่อนเก้าอี้แล้วทรุดตัวลงนั่งอย่างไม่อินังขังขอบกับท่าทางตื่นตระหนกของอีกฝ่าย

“ก็แค่ยาบำรุง คุณจะตกใจไปทำไม”

“อย่าทำอะไรใครอีกนะ ที่เธอทำกับคุณธงชัยฉันว่ามันก็มากพอแล้ว” อรสาย้ำ

อาการอัมพาตของธงชัยเคยทำท่าว่าจะดีขึ้นอยู่ระยะหนึ่ง แต่แล้วก็ทรุดไปลงอีกหลังจากดื่มนมผงกลิ่นหอมหวานที่กันต์นำมาให้ย่าแหวน และกำชับให้หมั่นชงให้ธงชัยดื่มทุกวัน

แม้แต่หมอก็บอกไม่ได้ว่าเพราะเหตุใดชายหนุ่มซึ่งเริ่มจะขยับแขนได้บ้างแล้ว กลับเอาแต่นอนนิ่งไม่กระดิกกระเดี้ยดังเดิม มีแต่อรสาที่นึกเฉลียวใจขึ้นมาแต่ก็ไม่กล้ากระโตกกระตากเพราะพอพูดถึง กันต์ก็จ้องหน้าเธอแน่วนิ่ง น้ำเสียงจริงจังระคนเหี้ยมเกรียมอยู่ในที

‘ถ้าคุณธงชัยหายเป็นปกติก็จะมาแบ่งมรดกไปครึ่งหนึ่ง ผมยอมไม่ได้ คุณเองก็เฉยไว้เถอะ ทุกอย่างที่ผมทำคุณก็ได้ประโยชน์ด้วยนะ ผมสบายคุณก็สบาย ผมรวยคุณก็รวย แต่ถ้าหากผมเป็นอะไรขึ้นมา คิดหรือว่าคุณจะยังอยู่ในบ้านนี้ได้ ที่คุณปู่ต้อนรับคุณก็เพราะผม นายวิศรุตคนนี้ อย่าลืมเสียล่ะ’

ในนาทีนั้นอรสาเพิ่งตระหนักเป็นครั้งแรกว่ากันต์เติบใหญ่ปีกกล้าขาแข็งเกินกว่าที่เธอจะห้ามปรามได้เสียแล้ว แต่เธอนี่สิ กลับจำต้องเก็บปากเก็บคำเพื่อสวัสดิภาพของตนเอง กระนั้นหิริโอตตัปปะในใจก็โบยตีเจ้าตัวอยู่ไม่เว้นวัน

ยิ่งนายมงคลมีเมตตาต่อลูกสะใภ้มากเท่าไรอรสาก็ยิ่งกระวนกระวายไม่เป็นสุข เธอสัญญากับตัวเองว่าธงชัยจะเป็นคนสุดท้ายในบ้านนี้ที่ต้องมารับเคราะห์ อรสาจะไม่ยอมให้ใครต้องเดือดร้อนเพราะความเห็นแก่ตัวของเธออีกแล้ว

กันต์รู้ว่าอรสามองเขาออกทะลุปรุโปร่ง ตัวเขาเองก็ไม่หนักใจเกี่ยวกับเธอเลยแม้แต่น้อย แต่เมื่อยังไม่ถึงเวลาแตกหักชายหนุ่มก็เลือกที่จะประนีประนอมไปก่อน

“ยานี่ถ้ากินเข้าไปก็ช่วยให้หัวใจแข็งแรง ไม่มีปัญหาอะไรหรอกครับ” เขาว่า

“อย่ามาเล่นลิ้นกับฉัน อากงฉันเป็นแพทย์แผนจีน ฉันรู้ดีว่ายาตำรับนี้แรงมาก หมอเขาให้กินเฉพาะเวลาอาการกำเริบเท่านั้น คนปกติถ้ากินต่อเนื่องไปนานๆ หัวใจจะอ่อนแอ ถ้าทำงานหนักหรือมีเรื่องเครียดก็อาจหัวใจวายกะทันหัน เธอจะเอาไปให้ใครกินบอกฉันมา”

กันต์จิ้มของว่างเข้าปาก ไม่ตอบคำถามที่เขาเห็นว่าไม่จำเป็น แต่อรสารู้ว่านั่นคือการปฏิเสธอยู่เงียบๆ

ก่อนหน้านี้เธอก็เคยวิงวอนขอให้กันต์คิดถึงมนุษยธรรม แต่เรื่องละเอียดอ่อนประเภทนี้ไม่อาจโยกคลอนจิตใจแข็งกระด้างของชายหนุ่มได้ อรสารู้ว่าถ้าเธอไม่ทำอะไรสักอย่างให้เด็ดขาดลงไปละก็ ไม่ช้าก็เร็วจะต้องมีคนในบ้านที่ต้องรับเคราะห์เช่นเดียวกับธงชัยเป็นแน่

“ฉันพูดจริงๆ นะกันต์ คนในบ้านนี้ทุกคนดีกับเธอและฉันมาก ถ้าเธอยังคิดจะทำร้ายใครอีกฉันก็จะไม่อยู่เฉยแล้ว” อรสาโพล่งออกมา

กันต์วางช้อนเล็กในมือลง ช้อนสายตาขึ้นมองคนพูด “หมายความว่ายังไง”

อรสาสูดหายใจยาว พยายามบังคับเสียงไม่ให้สั่น เธอไม่อยากยื่นคำขาดกับเขาเลยหากว่าไม่จำเป็นจริงๆ

“ถ้าใครเป็นอะไรไปอีกละก็ ฉันจะบอกคุณมงคลว่าตัวจริงของเธอเป็นใครกันแน่ ฉันเป็นคนพาเธอเข้ามาในบ้านหลังนี้ ฉันก็จะรับผิดชอบพาเธอไปจากที่นี่เหมือนกัน”

ดวงตาของกันต์วาวโรจน์ขึ้นทันทีไม่ต่างจากกองไฟที่ถูกราดด้วยน้ำมัน แต่เพียงพริบตาเดียวก็อ่อนแสงลง เขาลุกขึ้นจับมืออรสาไว้ รับรู้ว่ามือบางทั้งสองข้างเย็นเฉียบราวกับน้ำแข็งเลยทีเดียว

“โธ่! คุณก็จริงจังไปได้ บอกแล้วไงครับว่าผมไม่คิดจะทำร้ายใคร คนบ้านนี้เป็นครอบครัวของผม ผมจะทำได้ยังไงล่ะครับ” เขาหัวเราะ หยิบขวดยานัตถุ์ใส่มืออรสา “ยานี่หมอที่ร้านขายยาให้มา ผมก็เก็บไว้อย่างนั้นเอง ถ้าคุณไม่ชอบจะเอาไปเททิ้งด้วยตัวเองเลยก็ได้ คุณจะได้สบายใจ”

อรสามองชายหนุ่มที่เธอรู้จักมานานกว่าสิบปี เห็นเขายิ้มยิงฟันขาวแบบเด็กๆ ยกสองมือของเธอขึ้นแนบแก้ม

“สำหรับผมคุณก็เหมือนกับแม่แท้ๆ เราเป็นแม่ลูกกันมานานแล้วนะครับ แม่จะไม่เชื่อใจลูกชายคนนี้เลยหรือ”

แววตาของกันต์บอกความจริงใจในทุกคำพูด ใช่แต่เพียงรอยยิ้มที่ชวนเอ็นดู แม้แต่น้ำเสียงก็นุ่มนวลระคนออดอ้อนอย่างงอนง้อเต็มที่ อรสาไม่ใช่คนใจแข็งเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ลังเลอยู่ครู่หนึ่งท่าทางของเธอก็อ่อนลง

เธอได้ข่มขู่เขาอย่างรุนแรงไปแล้ว ต่อไปกันต์คงไม่กล้าทำร้ายใครอีกเพราะรู้ว่าเธอจะต้องคอยจับตาดูอยู่ ถ้าอย่างนั้นจะแข็งกร้าวใส่กันไปไย สู้รักษาบรรยากาศสงบปรองดองภายในบ้านไว้ไม่ดีกว่าหรือ

“เอาละ ฉันอาจจะคิดมากเกินไป ถ้าอย่างนั้นเธอก็ทานของว่างเถอะ ฉันจะไปดูแลคุณพ่อ” อรสาบอก ยิ้มน้อยๆ ให้กันต์ก่อนจะก้าวออกจากห้อง

กันต์มองบานประตูที่ปิดตามหลังอรสา สีหน้าอ่อนโยนค่อยๆ กระด้างขึ้นอย่างน่ากลัว!

 

ธิปกสาวเท้าจนเกือบจะเป็นวิ่งไปตามทางเดินของโรงพยาบาล ความรู้สึกผิดที่กรีดร้องอยู่ภายในใจทำหน้าที่เป็นเข็มแหลมทิ่มแทงมโนธรรมของเขามาตลอดทาง นาราที่ตามมาด้วยก็รู้สึกแย่ไม่แพ้กัน

ลูกน้องที่ถูกสั่งให้คอยสังเกตการณ์ร้านของชัชวาลนั่งรออยู่แล้ว อีกฝ่ายรีบลุกจากเก้าอี้ตรงมารายงานทันที

“น้าพยอมเป็นลมไปครับแต่โชคดีคุณชัชวาลรับไว้ทัน นี่ก็กำลังนอนให้น้ำเกลืออยู่ เท่าที่ผมได้ยินรู้สึกว่าจะไม่เป็นอะไรมาก แต่น้าพยอมแกมีโรคประจำตัวของคนแก่พวกเบาหวานความดันอยู่แล้ว พอเครียดมากๆเข้าเลยเป็นลมไป”

เล่าสถานการณ์คร่าวๆ จนจบลูกน้องผู้เคร่งครัดก็ขอตัวไปสืบข่าวต่อ นารามองหน้าขรึมเต็มไปด้วยความกังวลของคนข้างๆ แล้วอดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือมาลูบไหล่ของเขา ถ่ายทอดกำลังใจและคำปลอบโยนลงไปในกิริยาอ่อนโยนนั้น

ทำงานด้วยกันนานวันเข้านาราก็สัมผัสได้ถึงความดีงามในเนื้อแท้ของธิปก เธอรู้ว่าตลอดระยะเวลาเดือนกว่ามานี้ หรือจะพูดให้ถูกก็คือนับตั้งแต่เขาไปยื่นข้อเสนอให้ชัชวาลไปสารภาพความจริงกับนายมงคลนั่นละ หลังจากนั้นธิปกก็ไม่สบายใจมาตลอดที่ปล่อยให้นาราใช้อุบายบีบบังคับจนชัชวาลลำบากเลือดตาแทบกระเด็นอย่างที่เป็นอยู่

เขาเคยพูดเรื่องนี้กับเธอแต่นาราปลอบว่า ‘อดทนรออีกหน่อยเถอะคุณ ฉันว่ายังไงนายชัชวาลก็ไม่ยอมปล่อยให้ร้านเจ๊งหรอก สุดท้ายเขาต้องยอมรับเงินของคุณแลกกับความอยู่รอด’

ธิปกถอนหายใจ เพราะความเห็นแก่ตัว มุ่งแต่จะล้างมลทินให้ตัวเอง เขาถึงปล่อยให้เหตุการณ์ดำเนินไปโดยไม่ได้คำนึงเลยว่านางพยอมซึ่งไม่รู้อีโหน่อีเหน่จะต้องพลอยทุกข์ทรมานไปด้วย…

นาราเดาความคิดของอีกฝ่ายออกอย่างแจ่มแจ้ง แต่เข้าใจก็ส่วนเข้าใจ ไม่ได้หมายความว่าเธอจะเห็นด้วยกับเขา

“ที่น้าพยอมเข้าโรงพยาบาลนี่จะโทษคุณไม่ได้หรอก ถ้าจะพูดกันจริงๆ ก็ต้องโทษนายชัชวาลเอง เขารับเงินคุณวิศรุตมาใส่ร้ายคุณก่อน ตอนนี้คุณแค่วางแผนทวงความบริสุทธิ์ของตัวเองกลับคืนมาเท่านั้น”

ธิปกบอกอย่างอัดอั้นตันใจ “แต่ถ้าน้าพยอมอาการหนักกว่านี้ล่ะ ครั้งนี้โชคดีที่พาส่งโรงพยาบาลทัน แต่ถ้าปัญหายังไม่คลี่คลาย น้าพยอมก็ต้องแบกรับความเครียดต่อไปอีก ผมว่า…”

นาราส่ายหน้า ยอมรับว่าหนักใจเรื่องนางพยอมแต่ถ้าจะพูดกันอย่างตรงไปตรงมา แม่ของชัชวาลยังไม่นับว่าอยู่ในสถานะล่อแหลมที่จะเป็นอันตรายเลยด้วยซ้ำ นาราเคารพการตัดสินใจของธิปก แต่เธอก็ถือเป็นหน้าที่ในฐานะลูกจ้างดีเด่น ที่จะต้องแจกแจงสถานการณ์ตามความเป็นจริงให้ชายหนุ่มเห็น

“ถ้าคุณคิดจะยกธงขาวในตอนนี้ละก็ ฉันอยากให้คุณใจเย็นรอดูสถานการณ์ไปก่อน เรากดดันมานานขนาดนี้นายชัชวาลน่าจะใกล้ยอมแพ้เต็มทนแล้วละ และฉันว่าอาการน้าพยอมก็ไม่ได้หนักหนาอะไร เป็นโรคทั่วๆ ไปของคนแก่เท่านั้นเอง ตอนนี้ก็มีหมอคอยดูแลอยู่ ออกจากโรงพยาบาลมียากิน ลูกชายก็คอยระวังแม่เขา ฉันว่าแกคงไม่เป็นอะไรไปอีกหรอก”

ธิปกทำท่าจะแย้งแต่นารารีบยกมือห้าม “ไม่ต้องมองฉันอย่างนั้นเลย ไม่ใช่ว่าฉันดีใจที่น้าพยอมป่วย ฉันก็เป็นห่วงแกเหมือนกับคุณ แต่ฉันไม่อยากให้คุณตัดสินใจหุนหันพลันแล่น อย่าลืมว่าสิ่งที่เราทำอยู่เป็นทางเดียวที่จะบีบให้นายชัชวาลยอมไปสารภาพความจริงกับคุณมงคล หรือคุณมีวิธีอื่นที่ดีกว่านี้ล่ะ”

ธิปกนิ่งอึ้ง จำนนเพราะคิดหาคำโต้แย้งไม่ได้ หญิงสาวจึงพูดต่อ

“ย่าแหวนของคุณก็รอให้คุณพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเองอยู่เหมือนกันนะ ถ้าคุณมัวแต่ทำตัวเป็นพ่อพระอยู่อย่างนี้ จะไปสู้คนเลวเจ้าแผนการไหวหรือ”

เหตุผลของนาราครอบคลุมประเด็นสำคัญครบถ้วน และทุกอย่างที่ว่ามาก็เป็นความจริงทั้งหมด เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าหญิงสาวคนนี้มีความคิดอ่านรอบคอบเป็นผู้ใหญ่กว่าอายุ สมกับที่นายปกรณ์ชื่นชม

แต่ธิปกไม่อาจคำนึงถึงแต่ประโยชน์ของตนเอง จนมองข้ามชีวิตคนอื่น…

“คุณส่งคนไปรับสินค้าที่สั่งชัชวาลไว้มาซะเถอะ แล้วจ่ายเงินที่ค้างอยู่ให้หมดด้วย” เขาตัดสินใจบอก “จะว่าผมเป็นคนใจอ่อน อ่อนแอ หรืออะไรก็ได้ทั้งนั้น แต่นี่มันชีวิตคนทั้งคน ถ้าน้าพยอมทนรับความเครียดไม่ไหวแล้วเป็นอะไรไป ผมคงให้อภัยตัวเองไม่ได้”

เขายกมือลูบหน้าเพลียๆ ลุกขึ้นยืนอย่างคนที่ตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว

“อีกอย่างหนึ่ง ถึงอย่างไรผมก็ยังเชื่อว่าความดีต้องเป็นฝ่ายชนะ มันอาจจะใช้เวลานานสักหน่อย แต่สักวันหนึ่งคุณมงคลและทุกคนจะต้องรู้ว่าความจริงคืออะไร แต่ก่อนที่จะถึงวันนั้นผมอยากจะทำแต่สิ่งที่ถูกต้อง อย่างน้อยเราทั้งสองคนจะได้ไม่ต้องมาเสียใจภายหลังถ้าหากเกิดเหตุผิดพลาดขึ้นมา”

 

อาการของนางพยอมไม่ได้ร้ายแรงมากนัก หลังจากค้างที่โรงพยาบาลคืนหนึ่งหมอก็อนุญาตให้กลับบ้านได้

ชัชวาลคอยดูแลแม่ของเขาจนวางใจได้ว่านางไม่เป็นอะไรแล้ว รุ่งขึ้นเขาก็ไปขอยืมเงินเพื่อนที่เปิดร้านขายยาอยู่ใกล้โรงพยาบาลศิริราช แต่ก็คว้าน้ำเหลว ชายหนุ่มแทบไม่รู้ตัวเลยว่าขึ้นรถกลับมาถึงบ้านได้อย่างไร เขาได้แต่นั่งคอตกหน้าเครียดมาตลอดทาง ในใจปั่นป่วนอลเวงด้วยอารมณ์สองแบบที่กำลังสัประยุทธ์กันอย่างดุเดือด

ด้านหนึ่ง หัวใจที่เหน็ดเหนื่อยอ่อนล้าบอกตัวเองให้ยอมแพ้ ยอมไปพบนายมงคลตามที่ธิปกต้องการ เพียงเท่านี้ความทรมานแสนสาหัสที่รุมเร้ามาตลอดหลายเดือน ทำเอาเขาแทบจะเป็นบ้าเสียให้ได้ก็จะจบสิ้นลง แต่อีกด้าน จิตใจซึ่งยังมีทิฐิมานะเต็มเปี่ยมกลับเหนี่ยวรั้งตัวเองไว้ เพราะไม่อยากได้ชื่อว่าพ่ายแพ้ให้คนที่เขาเคยหักหลังมาก่อน

คิดวนเวียนไปมาเท่าไรก็หาข้อสรุปไม่ได้เสียที จนถึงบ้านเขาก็ต้องแปลกใจเมื่อเห็นรถสิบล้อสองคันจอดอยู่หน้าร้าน มีผู้คนเดินกันขวักไขว่ นายเจือลูกจ้างคนเดียวที่เหลืออยู่กำลังควบคุมคนงานให้แบกถุงปูนและอุปกรณ์ก่อสร้างไปใส่ในรถ

ทันทีที่เห็นหน้าลูกพี่ของเขา นายเจือก็ยิ้มร่า รีบรายงานเสียงดังฟังชัด

“พี่ชัช ลูกค้าที่สั่งของล็อตใหญ่ไว้กลับมารับสินค้าแล้ว เอาเงินมาจ่ายแล้วด้วย แหม!หายหัวไปซะนานจนเรานึกว่าถูกโกง หลงสาปแช่งมันอยู่หลายวัน”

หัวใจของชัชวาลเหมือนจะร่วงลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม เขาตะคอกเสียงกร้าว มือไม้สั่นด้วยความโกรธสุดขีด

“พวกนี้มันเป็นใครก็ไม่รู้ มันมาหลอกจะเอาสินค้าน่ะสิ เอ็งก็โง่นักยอมให้ของมันไปทำไม”

เขาแทบจะสะดุดขาตัวเองเพราะความร้อนรนขณะถลันเข้าไปในร้าน กำลังจะตะโกนสั่งให้คนงานหยุดขนของอยู่ทีเดียว เมื่อนางพยอมซึ่งได้ยินคำพูดของลูกชายกระวีกระวาดออกมาต้อนรับ ท่าทางหม่นหมองอมทุกข์ที่ชัชวาลเห็นจนชินตาในระยะหลังปลาสนาการไปเป็นปลิดทิ้ง

“ไม่หลอกหรอกลูกเพราะเขาเอาเงินสดมาจ่ายด้วย แม่นับแล้วครบตามที่ตกลงกันไว้ เขายังขอโทษด้วยนะที่มารับของช้า พอดีว่าเขาติดธุระอะไรสักอย่างนี่ละ แม่ก็ไม่อยากจะซักไซ้ให้ผิดใจกันอีก”

เอาเงินมาจ่ายอย่างนั้นหรือ! จะเป็นไปได้อย่างไร ในเมื่อตัวการที่อยู่เบื้องหลังยังไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการ!

ชัชวาลนิ่งอึ้ง ทอดสายตาเหม่อลอยมองคนงานลำเลียงสินค้าออกไปจากร้านด้วยความสับสน ครู่เดียวชายหนุ่มก็ขบกรามแน่น อารมณ์หลายหลากทะลักทลายขึ้นมาราวกับลาวาเดือด

ทั้งโกรธขึ้ง…อัดอั้นตันใจ…อับอาย…รู้สึกผิด…เคียดแค้น…ผสมปนเปกันจนไม่อาจจะแยกแยะได้ในเวลานั้น

 



Don`t copy text!