แรมสิบห้าค่ำนี้มีปาฎิหาริย์ บทที่ 14 : นารา…นางงามฆาตกร (1)

แรมสิบห้าค่ำนี้มีปาฎิหาริย์ บทที่ 14 : นารา…นางงามฆาตกร (1)

โดย : ณรัญชน์

Loading

แรมสิบห้าค่ำนี้มีปาฎิหาริย์ นวนิยายเรื่องล่าสุดจาก ณรัญชน์ ที่อ่านเอาคัดสรรมานำเสนอ กับเรื่องราวของกระจกโบราณที่สามารถทำนายอนาคตมนุษย์ทุกคนได้อย่างแม่นยำ ‘วิศรุต’ จึงใช้มันมาลิขิตชะตาชีวิตตัวเอง แม้นั่นจะหมายถึงการทำลายล้างคนรอบข้างอย่างโหดเหี้ยม ไม่เว้นแม้แต่ผู้หญิงที่เขารัก นวนิยายออนไลน์จาก www.anowl.co

คดีสะเทือนขวัญในเวลานั้น ไม่มีเรื่องใดจะสร้างความตื่นตระหนกเป็นวงกว้างได้เท่ากับการตายของนางพยาบาลรุ่งรัตน์และนายจำนง ทั้งคู่ถูกพบในสภาพนอนหงายหมดลมหายใจอยู่ด้วยกันข้างโต๊ะอาหารในบ้านตนเอง บนโต๊ะมีขนมเค้กที่ยังรับประทานไม่หมดวางอยู่

พอตำรวจนำเค้กไปตรวจสอบก็พบโพแทสเซียมไซยาไนด์อยู่ในขนม ส่วนในครัวที่บ้านสองผัวเมีย เจ้าหน้าที่พบขวดสีทึบบรรจุโพแทสเซียมไซยาไนด์ซ่อนอยู่ในมุมลับตาบนชั้นวางของ

เพื่อนบ้านในละแวกนั้นให้การว่าสองผัวเมียทะเลาะกันแทบไม่เว้นแต่ละวัน ได้ยินเสียงเอ็ดตะโรโหวกเหวกดังไปทั้งซอย สืบเนื่องมาจากนายจำนงแอบไปมีความสัมพันธ์กับผู้หญิงคนหนึ่ง รุ่งรัตน์ขู่ว่าจะไปฟ้องเจ้านายของนายจำนงแต่ก็ไม่ลงมือทำจริงจังสักที จึงต้องทนอกไหม้ไส้ขมตลอดมาจนกระทั่งมาเป็นศพในวันนี้

เจ้าหน้าที่ใช้เวลาประมวลเหตุการณ์เพียงไม่กี่วันก็สรุปคดีได้ว่ารุ่งรัตน์วางยาพิษสามีและฆ่าตัวตาย เนื่องจากหึงหวงที่สามีหลงเมียน้อยหัวปักหัวปำ

ในตอนแรกข่าวของรุ่งรัตน์ได้รับความสนใจจากประชาชนพอประมาณเพราะเป็นคดีพิศวาสฆาตกรรม ทำนองเดียวกับคดีนางพยาบาลนวลฉวี เพชรรุ้งที่เกิดไปเมื่อไม่กี่ปีก่อน แต่แล้วหลังจากเสร็จงานศพนายจำนง ก็เกิดเหตุที่ทำให้เรื่องราวอื้อฉาวกลายเป็นข่าวครึกโครมยิ่งไปกว่าเดิม เมื่อมารดานายจำนงเข้าไปเก็บของในห้องนอนของลูกชาย แล้วไปพบรูปถ่ายครึ่งตัวของรองนางงามเพชรยอดพธูขวัญใจประชาชนในลิ้นชักใบหนึ่งเข้า ด้านหลังรูปมีข้อความเขียนด้วยลายมือตัวบรรจงว่า

ให้พี่จำนงยอดรักไว้ดูเวลาคิดถึง รักพี่คนเดียวตลอดไป

                                                          นารา จรัสวงศ์

พอรู้ว่าอะไรเป็นอะไร นางจำเนียรก็แผดเสียงโวยวายดังสนั่นได้ยินไปแทบจะทุกตรอกซอกซอย เพื่อนบ้านต่างกรูออกมาด้วยความตกใจ จากนั้นคำร่ำลือก็กระจายไปทั่ว พูดกันปากต่อปากจนรู้ไปถึงนักข่าวหนังสือพิมพ์

รูปที่พบในห้องนายจำนงถูกตีพิมพ์กลายเป็นข่าวหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์ทุกฉบับ นักข่าวยังไปหาลายมือของนารามาเทียบกับตัวหนังสือที่เขียนไว้หลังรูปด้วย พบว่าคล้ายกันมาก ผู้คนที่ได้อ่านข่าวจึงสรุปเป็นเสียงเดียวกันว่านารานี่เองคือมือที่สามที่นำไปสู่จุดจบอันน่าสลดใจของสองผัวเมีย

พอมีนักข่าวมาขอสัมภาษณ์นารา หญิงสาวก็ปฏิเสธทันทีว่าไม่เคยรู้จักนายจำนงและไม่มีความสัมพันธ์ชู้สาวกับเขา แต่คำพูดข้างเดียวของเธอไม่เป็นผล ประชาชนยังคงเชื่อหลักฐานชิ้นเอกซึ่งก็คือรูปถ่ายพร้อมข้อความที่เหมือนกับลายมือของเธออยู่นั่นเอง

…………………………………………………………………………………………..

นาราก้าวลงจากรถยนต์ที่ธิปกขับไปรับมาจากบ้าน รอจนเขาล็อกประตูรถเรียบร้อยทั้งคู่ก็เดินตรงไปที่ห้างเรืองอำพัน ทันทีที่หญิงสาวปรากฏตัว คนเกือบสิบคนที่ยืนอออยู่หน้าห้างก็ปราดเข้ามาหา ผู้หญิงวัยกลางคนรูปร่างผอมเกร็ง ท่าทางเป็นผู้นำกลุ่มยกมือชี้หน้าเธอ

“มาแล้วหรืออีตัวดี กูจำเนียร เป็นแม่ของไอ้จำนงผู้ชายที่มึงไปล่อลวงยังไงล่ะ” นางกระชากเสียง หน้าตาถมึงทึงราวกับนางยักษ์ “ถ้าไม่เพราะมึง ลูกกูกับลูกสะใภ้ก็ไม่ต้องฆ่ากันตาย อีสารเลว”

นาราหน้าเผือด มือไม้เย็นเฉียบไปหมด ถึงจะเคยผ่านการปะทะคารมมาหลายครั้งแต่อย่างน้อยคุณแม่ใหญ่กับรพีพรรณก็เป็นผู้ดี เธอไม่เคยเผชิญการด่าทออย่างคนชั้นล่างแบบนี้มาก่อน

ธิปกเอื้อมมากุมมือหญิงสาวไว้ สัมผัสอบอุ่นนั้นบอกให้นารารู้ว่าไม่ได้อยู่เพียงลำพัง

“ฉันไม่ได้ทำอย่างที่หนังสือพิมพ์ลงข่าว และไม่เคยรู้จักคุณจำนงเลย” หญิงสาวแข็งใจตอบ

นางจำเนียรชูรูปที่พบในห้องนอนลูกชายให้นาราดู “แล้วนี่รูปใคร อย่าปฏิเสธว่าไม่ใช่มึง ถุย! สวยเสียเปล่าแอบเป็นชู้กับผัวคนอื่น”

นาราบอกตัวเองให้ใจเย็น ไม่ใส่ใจคำผรุสวาทนั้น “ลายมือหลังรูปนี้คล้ายลายมือของฉันแต่ไม่เหมือนเสียทีเดียว ฉันขอยืนยันว่าไม่ใช่ลายมือฉันจริงๆ ถ้าไม่เชื่อฉันจะเอาสมุดที่เคยเขียนไว้มาเทียบกันให้ดูก็ได้”

หญิงสาวพยายามชี้แจงแม้จะรู้ว่าคนกลุ่มนี้กำลังหน้ามืดด้วยโทสะเกินกว่าจะรับฟังเหตุผลใดๆ แล้วก็จริงดังคาด นางจำเนียรสะบัดหน้า แหวกลับมาเสียงแหลม

“กูไม่ดู จะแก้ตัวยังไงก็ฟังไม่ขึ้นหรอกโว้ย ถ้าไม่ได้เป็นชู้กันไอ้นงลูกกูจะเก็บรูปมึงไว้ทำไม ผู้หญิงอื่นมีเป็นร้อยเป็นพัน ทำไมมันต้องจำเพาะเก็บรูปของมึงคนเดียว แล้วยังมีตัวหนังสือข้างหลังอีก ไอ้นงมันไม่บ้าเขียนขึ้นมาเองหรอก” นางถ่มน้ำลายปรี๊ดอย่างดูถูก “หน็อยแน่! สงสัยอยู่เชียวว่าทำไมมันถึงหลงเมียน้อยหัวปักหัวปำ ที่แท้ก็เป็นนางงามนี่เอง”

ขาดคำนางจำเนียรกับพรรคพวกก็ถลันเข้ามาอย่างเอาเรื่อง ธิปกพยายามกันนาราไว้แต่ชาวบ้านคนหนึ่งกระชากตัวเขาให้ออกห่างจากหญิงสาว นางจำเนียรได้ทีก็ฟาดฝ่ามือลงมาบนแก้มเนียนฉาดใหญ่

ธิปกรีบตะโกนเรียกพนักงานในห้างให้ออกมาช่วยกัน พร้อมกันนั้นก็เหวี่ยงชาวบ้านที่กำลังยื้อแขนเขาไปทางหนึ่ง โผไปคว้าตัวนารามาซุกไว้ในอ้อมกอด งอตัวหันแผ่นหลังให้ผู้คนที่กระเหี้ยนกระหือรือจะประชาทัณฑ์ ทั้งกำปั้นศอกเข่าที่หมายจะทุบตีหญิงสาวจึงระดมลงบนหลังของเขาแทน

โชคดีที่พนักงานของห้างกรูออกมาเร็วทันใจ จึงช่วยกันดึงตัวทั้งคู่ออกจากกลุ่มคนที่กำลังคลั่งได้สำเร็จ ธิปกตะโกนบอกพวกนางจำเนียร

“ถ้ายังไม่ยอมกลับไปดีๆ ผมจะเรียกตำรวจและจะเอาเรื่องที่ทำร้ายร่างกายผมด้วย อยากติดคุกกันหมดทุกคนก็ตามใจ”

ท่าทางเอาจริงของเขาได้ผลพอใช้ หลังจากฮึดฮัดอีกครู่หนึ่งนางจำเนียรก็พาพรรคพวกล่าถอยกลับไป ธิปกสั่งให้พนักงานปิดประตูห้างทันทีก่อนจะประคองนาราเข้าไปในห้องทำงาน หญิงสาวทรุดลงนั่งบนเก้าอี้นวม ตัวสั่นน้อยๆ เพราะยังเสียขวัญไม่หาย

ธิปกมองด้วยสายตาเป็นกังวล “ถ้าอยากร้องไห้ก็ร้องออกมาเถอะนะคุณ เผื่อจะสบายใจขึ้นบ้าง”

นาราส่ายหน้า กระนั้นดวงตาดำมันก็มีน้ำรื้นขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ แก้มที่ถูกทำร้ายร้อนผ่าว หญิงสาวยกมือลูบ รับรู้ถึงความบวมของมันได้ทันทีจึงพยายามเบนหน้าไปอีกทาง เพื่อซ่อนจากสายตาของฝ่ายตรงข้าม แต่ธิปกรู้ทัน เขาจับคางเรียวให้หันมา พิจารณารอยบวมด้วยสีหน้าเครียดจัด

“พวกนั้นเป็นบ้าไปแล้วถึงทำรุนแรงขนาดนี้ ไม่ฟังเหตุผลกันบ้างเลย” ธิปกขบกรามแน่น โทสะพุ่งขึ้นมาเป็นริ้วๆ เหมือนถูกทำร้ายเสียเอง

เขาเห็นหญิงสาวนั่งก้มหน้าไม่พูดจาก็พอจะเดาออกถึงความอัดอั้นระคนขมขื่นของเธอ นาราเจ็บช้ำจากความอยุติธรรมที่ได้รับมากกว่าเจ็บปวดทางกายเสียอีก ชายหนุ่มถอนใจยาว รั้งร่างเล็กๆ เข้ามาแนบอก ลูบผมนุ่มเบาๆ อย่างปลอบประโลม

ตอนแรกนาราพยายามขืนตัวไว้แต่เพราะสัมผัสนั้นให้ความอบอุ่นและสบายใจอย่างประหลาด บวกกับความสนิทสนมที่มากขึ้นในระยะหลัง หญิงสาวจึงยอมปล่อยตัวซบหน้าลงบนบ่าของเขา นั่งพิงอย่างนั้นอยู่ครู่หนึ่งนาราก็นึกขึ้นได้ รีบยืดตัวขึ้นกวาดตามองไปทั่วร่างธิปก

“แล้วคุณล่ะเจ็บมากหรือเปล่า ถูกพวกนั้นทุบเอาตั้งหลายทีไม่ใช่หรือ”

ธิปกยิ้มรับน้ำเสียงห่วงใยของเธอ ดึงนารามากอดไว้อีกครั้งโดยที่หญิงสาวไม่ได้ปฏิเสธ

“ผมไม่เป็นไรมากหรอกไม่ต้องเป็นห่วง แต่ตอนนี้ที่บ้านของคุณไม่น่าจะปลอดภัยแล้วละ เผื่อว่าพวกนั้นไปดักรอ คุณกับพี่เลี้ยงอยู่กันผู้หญิงสองคนจะไปสู้ยังไงไหว ผมว่าคุณไปอยู่ที่บ้านคุณปกรณ์ชั่วคราวก่อนดีกว่า เดี๋ยวผมจะโทรศัพท์ไปขออนุญาตท่าน ให้คุณไปวันนี้เลย”

พอรู้เรื่องที่เกิดขึ้นนายปกรณ์ก็อนุญาตให้นารามาพักด้วยทันที ทั้งยังรอบคอบพอจะจัดห้องให้เธออยู่ทางปีกซ้ายของบ้านซึ่งอยู่ไกลจากห้องของกุลธิดา วันต่อมาหลังจากรับประทานอาหารเช้าแล้ว นายปกรณ์ก็เรียกธิปกไปคุยกันในห้องทำงาน ชายชราตั้งข้อสังเกตว่าคนที่ใส่ร้ายนาราน่าจะเป็นคนที่จงเกลียดจงชังหญิงสาวเอามากๆ

“คนที่เกลียดนารามากขนาดนี้ฉันเห็นมีอยู่คนเดียว ก็คงจะเป็นแม่เลี้ยงของเขานั่นละ”

ธิปกฉุนเฉียวขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ “ทำกันขนาดนี้ผมว่ามันเกินไป นาราไม่เคยทำผิดคิดร้ายกับแม่เลี้ยง ไม่ยุติธรรมเลยที่ต้องถูกรังแกครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่เลิกราเสียที ครั้งนี้ผมจะไม่ยอมให้เขาทำสำเร็จเด็ดขาด”

ดวงตานายปกรณ์มีแววยิ้มน้อยๆ ขณะทอดมองชายหนุ่มที่เขาเอ็นดูเหมือนลูก พูดด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ

“ฉันก็เชื่อว่าเธอจะไม่ยอมให้นาราถูกทำร้าย นาราเป็นคนเข้มแข็ง แต่แกร่งแค่ไหนเจอเรื่องหนักขนาดนี้ก็คงแย่ไปเหมือนกัน ถ้ายังไงฉันฝากเธอคอยดูแลด้วย ถือว่าครั้งนี้เป็นบททดสอบชิ้นหนึ่งว่าเธอสองคนจะช่วยกันฟันฝ่าอุปสรรคไปได้ไหม”

เพราะกำลังเคร่งเครียดธิปกจึงไม่ได้เอะใจว่าประโยคสุดท้ายของผู้สูงวัยมีนัยประหลาดชอบกล เขาคิดวิธีแก้ปัญหาไว้ได้วิธีหนึ่งแล้ว ตั้งใจว่าจะทำให้ลุล่วงในวันนี้เลย จึงบอกลานายปกรณ์แล้วออกมาตามหานารา พบหญิงสาวนั่งรับลมอยู่ในสวน ข้างกันมีกุลธิดายืนเชิดหน้ากอดอกด้วยท่าทางของคนที่ถือไพ่เหนือกว่า เสียงแจ้วๆ ของกุลธิดาลอยมาเข้าหูธิปกตั้งแต่ก่อนที่เขาจะไปถึงด้วยซ้ำ

“ฉันไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเธอจะตาต่ำขนาดนี้ นายจำนงนั่นมันน่าพิศวาสตรงไหนยะ จนก็จน อายุก็สามสิบกว่าเข้าไปแล้วแถมยังมีเมียอีกด้วย เทียบกับพี่ธิปกไม่ได้สักอย่างเดียว” กุลธิดากวาดสายตามองคนฟังตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยกิริยาดูถูก “แต่เอาเถอะ เมื่อรักจะใฝ่ต่ำมันก็เรื่องของเธอ ฉันไม่ขอพูดถึง แต่เรื่องเธอกับพี่ธิปกเธอควรจัดการให้เด็ดขาด ถ้าเธอยังมาพัวพันกับพี่ธิปกอยู่อย่างนี้ มีแต่จะดึงเขาให้ตกต่ำไปด้วย”

“แล้วคุณอยากให้ฉันทำยังไงล่ะคะ” นาราถาม เมื่อก่อนเธอไม่เคยสนใจว่าใครจะคิดอย่างไรกับตนเอง แต่เรื่องคราวนี้หนักหน่วงฝากรอยแผลฉกาจฉกรรจ์ยิ่งกว่าครั้งใดที่เคยประสบมา เสียงของหญิงสาวจึงแฝงความอ่อนล้าอยู่ในที

“ก็ลาออกจากห้างเรืองอำพันแล้วก็ไปตามทางของเธอเสียสิ” กุลธิดารีบบอก “อย่าลืมว่าเธอนอกใจพี่ธิปกไปคบกับนายจำนง พี่ธิปกอาจจะเป็นสุภาพบุรุษจนไม่กล้าพูด แต่ฉันว่าเขาก็คงรังเกียจอยากให้เธอหายไปจากชีวิตเขาอยู่แล้วละ ถ้าไม่มีเงินไม่เป็นไรฉันจะให้เธอเอง แล้วเธอก็เก็บของออกจากบ้านนี้ไป ดีไหมล่ะ”

ดวงตาของนาราฉายแววครุ่นคิด เป็นความจริงที่ว่าข่าวร้ายของเธอกำลังกระทบไปถึงภาพพจน์ของห้าง ทุกวันนี้ผู้คนที่เดินผ่านห้างเรืองอำพันเอาแต่สะกิดกันให้ดูรูปถ่ายขนาดเต็มตัวของนาราที่ตั้งอยู่ที่ประตูทางเข้า ซุบซิบแล้วก็เดินผ่านไป น้อยคนจะยอมเข้ามาเลือกซื้อสินค้าอย่างเมื่อก่อน

ทั้งธิปกและนายปกรณ์ไม่มีวันเอ่ยปากไล่เธอออก…เรื่องนี้นารารู้ดี แต่ถ้าเธอยังเห็นแก่ตัวดึงดันที่จะเป็นพนักงานของห้างต่อไปอีก แน่นอนว่ากิจการของนายปกรณ์จะต้องพลอยย่ำแย่ไปด้วย

นาราจะปล่อยให้คนอื่นต้องมาเดือดร้อนเพราะตัวเองได้อย่างไรกัน

“ฉันก็กำลังไตร่ตรองเรื่องนี้อยู่ ถ้าตัดสินใจได้แล้วจะบอกคุณธิปกเอง คุณไม่ต้องกังวลหรอกค่ะ”

“นี่เธอยังคิดจะไปทำให้พี่ธิปกลำบากใจอีกหรือ เขาเป็นคนใจอ่อน ถ้าเธอไปพูดเขาก็ต้องไม่ยอมให้เธอลาออกน่ะสิ” พอไม่ได้ดั่งใจกุลธิดาก็แหวเสียงเขียว “จะออกก็ต้องไปเองเงียบๆ อย่าคิดนะว่าฉันรู้ไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมของเธอ”

ฟังถึงแค่นี้ธิปกหมดความอดทน เขาก้าวยาวๆ เข้าไปฉุดนาราให้ยืนขึ้น ก่อนจะหันไปบอกกุลธิดาว่า

“นาราเป็นพนักงานของผม ถ้าจะขาดงานก็ต้องให้ผมอนุญาตก่อน ไม่อย่างนั้นก็ยังไปไหนไม่ได้”

กุลธิดาเถียงคอเป็นเอ็น “แต่คุณนาราทำให้ห้างเสียหายจะปล่อยให้ทำงานต่อไปได้หรือคะ ธิดาพูดเพราะเป็นห่วงนะ ขนาดคุณนาราเองก็ยังเห็นด้วยกับธิดาเลย”

ให้มันได้อย่างนี้สิน่า! ฉันยังไม่ทันตกลงคุณกุลธิดาก็สรุปเอาเองดื้อๆเสียแล้ว!

ทั้งๆ ที่กำลังเครียดนารายังเกือบหัวเราะออกมา แต่ธิปกไม่สนุกไปด้วย เขาขมวดคิ้วหันไปบอกคนข้างตัวเสียงเข้ม

“คุณไม่ต้องไปไหนทั้งนั้น ผมมีวิธีแก้ปัญหาแล้ว”

จบคำเขาก็จูงมือเล็กพาเดินลิ่วตรงไปยังรถยนต์ที่จอดอยู่ ระหว่างที่ธิปกเปิดประตูรถให้นารา กุลธิดาที่กระวีกระวาดตามมาด้วยก็พรวดพราดเข้าไปนั่งที่เบาะหลัง ยึดเบาะไว้มั่น

“พวกคุณจะไปไหน ให้ธิดาไปด้วยนะคะ”

นาราไม่เคยเห็นคนสุขุมอย่างธิปกทำตัวใจร้อนมาก่อน แต่คราวนี้ความร้อนใจของเขาแสดงออกด้วยการขับรถฉวัดเฉวียนจนผู้โดยสารรู้สึกได้ พอไปถึงห้างเรืองอำพันธิปกก็โทรศัพท์ไปถึงบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ชื่อดังหลายฉบับ บอกว่านาราจะแถลงข่าวเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้น

เพียงครึ่งชั่วโมงหลังจากนั้นห้องทำงานของเขาก็แออัดไปด้วยนักข่าวที่รีบบึ่งมาทันที ธิปกดึงตัวนารามานั่งคู่กันบนเก้าอี้ยาว รอให้นักข่าวทั้งหมดหยิบสมุดกับปากกาขึ้นมาเตรียมพร้อม แล้วเริ่มต้นแถลงด้วยเสียงหนักแน่น

“ที่ผมเชิญพวกคุณมาก็เพื่อจะพูดเรื่องของนายจำนงกับคุณนารา ขอยืนยันว่าคุณนาราไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรกับนายจำนงทั้งสิ้น ผมเป็นพยานได้ว่าคุณนาราถูกใส่ร้าย เพราะผมนี่ละเป็นคนรักของเธอ”

กลุ่มนักข่าวเบิกตากว้างทำหน้าเหมือนไม่เชื่อหู รีบก้มลงจดทุกถ้อยคำของธิปกลงบนสมุดบันทึก กุลธิดาที่นั่งคุมเชิงอยู่อีกมุมหนึ่งอ้าปากค้างหน้าตาตื่น อยากจะกรี๊ดแต่ก็ร้องไม่ออก ขณะที่นาราอยู่ในอาการงุนงงจนตั้งตัวไม่ติด

ธิปกดึงมือเธอไปกุมไว้ ประกายพราวระยับในดวงตาบอกให้รู้ว่ากำลังกลั้นหัวเราะสุดความสามารถ

“ไม่ใช่ว่าผมจะยกตัวเองว่าวิเศษกว่าคนอื่น หรือว่าดูถูกคุณจำนงนะครับ ถึงอย่างไรเขาก็เสียชีวิตไปแล้ว แต่พวกคุณลองเปรียบเทียบเอาเองก็แล้วกันว่าระหว่างผมกับคุณจำนง ถ้าคุณเป็นผู้หญิงคุณจะเลือกใครเป็นคนรัก” เขาส่งยิ้มหวานซึ้งให้คนที่นั่งตัวแข็งอยู่ข้างๆ ก่อนจะหันไปพูดต่อ

“อีกอย่างหนึ่ง คุณนาราเองก็ไม่ใช่ผู้หญิงพื้นๆ มีตำแหน่งเป็นถึงรองนางงาม มีชื่อเสียง มีอนาคตรออยู่ ผมขอถามประชาชนหน่อยเถอะ คุณคิดจริงๆ หรือว่าผู้หญิงที่ทั้งสวยทั้งฉลาด ทำงานก็เก่ง ซ้ำยังมีคนรักเป็นผู้จัดการห้าง จะไปแอบชอบพอกับผู้ชายธรรมดาๆ ที่แต่งงานแล้วได้”

‘ยอกันเข้าไปนะพ่อคุณ’

นารานึกกระดาก แต่พอหายจากอาการตะลึงงัน สมองที่แล่นฉิวราวกับรถด่วนก็คิดได้ว่าควรจะทำอย่างไรต่อไป หญิงสาวยกมือไหว้กลุ่มนักข่าว ตีสีหน้าเศร้าสร้อยน่าเวทนา แม้แต่น้ำเสียงก็ยังสั่นเครือคล้ายกำลังกลั้นสะอื้น

เสียดายที่ธิปกไม่ยอมบอกแผนการกันล่วงหน้า ไม่อย่างนั้นเธอจะเตรียมยาหม่องมาใช้เรียกน้ำตาเพิ่มคะแนนสงสารเสียหน่อย…

“ฉันขอยืนยันนะคะว่าไม่เคยรู้จักคุณจำนงเลย ฉันไม่ใช่ผู้หญิงหลายใจที่จะทรยศคนรักไปคบหากับคนที่มีครอบครัวอยู่แล้ว ฉันมีศักดิ์ศรีและศีลธรรมมากพอค่ะ โชคดีที่คุณธิปกเชื่อใจฉัน ไม่อย่างนั้นเราคงแตกหักกันตามความต้องการของผู้ไม่หวังดีไปแล้ว”

ธิปกบีบมือเรียวเบาๆ อย่างต้องการถ่ายทอดกำลังใจ ทั้งสองหันมาส่งสายตาหวานซึ้งให้กัน ยิ้มน้อยๆนิ่งอยู่ในท่านั้นครู่หนึ่งเพื่อเปิดช่องให้ช่างภาพรัวชัตเตอร์ได้โดยสะดวก

ต่อจากนั้นธิปกก็เลื่อนสมุดเล่มบางไปยังกลุ่มสื่อมวลชน นาราจำได้ว่ามันคือสมุดจดคำบรรยายในห้องเรียนที่เธอเคยให้ลูกสาวพนักงานของห้างคนหนึ่งไว้ เนื่องจากอีกฝ่ายเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยเดียวกับนารานั่นเอง

“คุณนักข่าวโปรดเอาลายมือในสมุดนี้ไปเทียบกับลายมือหลังรูปถ่ายที่พบในบ้านนายจำนงอีกครั้งนะครับ ผมไม่เชื่อว่าตัวหนังสือในรูปนั่นจะเหมือนลายมือนาราทุกกระเบียดนิ้วจนไม่มีพิรุธอะไรเลย ผมขอยืนยันอีกครั้งว่าข้อความหลังรูปนั่นไม่ใช่ลายมือคุณนารา คนรักของผมแน่นอน”



Don`t copy text!