แรมสิบห้าค่ำนี้มีปาฏิหาริย์ บทที่ 16 : ฝันร้ายในอดีต (1)

แรมสิบห้าค่ำนี้มีปาฏิหาริย์ บทที่ 16 : ฝันร้ายในอดีต (1)

โดย : ณรัญชน์

Loading

แรมสิบห้าค่ำนี้มีปาฏิหาริย์ นวนิยายเรื่องล่าสุดจาก ณรัญชน์ ที่อ่านเอาคัดสรรมานำเสนอ กับเรื่องราวของกระจกโบราณที่สามารถทำนายอนาคตมนุษย์ทุกคนได้อย่างแม่นยำ ‘วิศรุต’ จึงใช้มันมาลิขิตชะตาชีวิตตัวเอง แม้นั่นจะหมายถึงการทำลายล้างคนรอบข้างอย่างโหดเหี้ยม ไม่เว้นแม้แต่ผู้หญิงที่เขารัก นวนิยายออนไลน์จาก www.anowl.co

นายเกษมเป็นคนอัธยาศัยดี ถึงจะอายุมากแล้วก็เข้ากับลูกน้องที่อายุน้อยกว่าได้โดยไม่มีปัญหา เครื่องมือกระชับมิตรก็หนีไม่พ้นเหล้าขาวของโปรด เกือบทุกเย็นพอแดดร่มลมตกเขาจะตั้งวงดื่มกับนายเข้ม พนักงานรักษาความปลอดภัยรุ่นลูกที่แคร่ใต้ต้นหูกวาง ด้านหลังห้างเรืองอำพัน ถ้าใครมีเรื่องคับอกคับใจก็จะมาพูดจาปรับทุกข์กันในเวลานี้เอง

วันนี้นายเข้มไปได้เหล้าฝรั่งมาขวดหนึ่ง บอกว่ามีคนนำมาฝากธิปกแต่ชายหนุ่มไม่ดื่มจึงยกให้ลูกน้องเอาไปแบ่งกัน นายเกษมไปหากับแกล้มง่ายๆ มาสองจานแล้วชวนกันตั้งวง จนกรึ่มได้ที่นายเข้มก็เปรยว่า

“น้าองุ่นพี่เลี้ยงของคุณนาราแกมาคุยกับฉันว่าเดือนหน้าก็จะลาออกแล้ว เห็นว่าไม่ชอบงานที่มีคนพลุกพล่าน อยากกลับไปเป็นแม่บ้านเหมือนเดิม”

“ดี ไปแล้วไปลับอย่ากลับมาอีกเลย เจ้าประคู้ณ!” นายเกษมยกมือไหว้ท่วมหัว

“อ้าว! ไหงไล่กันอย่างนั้นล่ะลุง หรือว่าน้าองุ่นเคยทำอะไรให้ลุงเจ็บช้ำน้ำใจ บอกฉันได้นะ ฉันจะได้ไปบอกคุณธิปก”

นายเกษมส่ายหน้า ความกลัดกลุ้มที่สุมอยู่ในอกเป็นเหตุให้อยากระบายกับใครสักคนอยู่แล้ว เมื่อผสมกับฤทธิ์แอลกอฮอล์ที่แล่นพล่านอยู่ในเส้นเลือดเขาก็หมดความยับยั้งใจ

“ไม่ใช่ว่าแกทำอะไรข้าหรอก แต่ว่าเห็นหน้าแล้วใจมันไม่สงบ กลัวนังองุ่นมันจะจำได้” เขาซดเหล้าอึกใหญ่ “แต่จะให้ทำยังไงวะ ตอนนั้นค่าจ้างที่เขาเสนอมาไม่ไช่น้อยๆ ยิ่งช่วงสงครามข้าวยากหมากแพงถ้ามีคนเอาเงินมาให้ เป็นใครก็ต้องเอาทั้งนั้น”

“ใครเสนอค่าจ้างล่ะลุง แล้วเขาให้ทำอะไร”

“ก็ให้ทำให้คุณมงคลคิดว่าคุณตวงพรเจ้านายของนังองุ่นมันชี้ช่องบอกตำรวจ ว่าคุณมงคลเอาคนร้ายมาซ่อนไว้ในบ้านน่ะสิ” ผู้อาวุโสกว่าโพล่งออกมา “คนร้ายนั่นเป็นเพื่อนของคุณมงคล มันฆ่าคนตายแล้วหนีมา”

“แล้วคุณตวงพรนั่นได้บอกจริงหรือเปล่าล่ะลุง”

นายเกษมแค่นหัวเราะ น้ำเสียงเริ่มอ้อแอ้เพราะความเมา “ไม่ได้บอกโว้ย เธอไม่รู้อะไรเลยด้วยซ้ำ ตอนแรกน่ะไอ้หนูคนจ้างนั่นมันสั่งให้ข้าไปข่มขู่คุณตวงพรให้กลัว จะได้พูดอะไรออกมาบ้าง แต่เธอดั๊นน…ไม่ยอมปริปากสักคำ มันก็เลยวางแผนใหม่ พอถึงวันที่ข้าเข้าไปจับคนร้ายในบ้านคุณมงคล ข้าก็แกล้งเข้าไปกระซิบขอบคุณคุณตวงพร ทำท่าทำทางให้มีพิรุธ คุณมงคลจะได้คิดว่าคุณตวงพรเป็นคนบอกตำรวจ”

“อ้าว! อย่างนี้ก็ใส่ร้ายกันชัดๆ” นายเข้มร้อง หยิบขวดวิสกี้ขึ้นมารินใส่แก้วที่พร่องไปของรุ่นพี่จนเต็ม “ว่าแต่ไอ้หนูที่จ้างลุงมันเป็นใครหรือ แล้วทำไมจำเพาะต้องใส่ร้ายคุณตวงพรด้วย”

นายเกษมส่ายหน้า “มันจะใส่ร้ายกันทำไมข้าไม่รู้หรอก รู้แต่ว่าคนจ้างมันเป็นเด็กหนุ่มๆ อายุสักสิบหกสิบเจ็ดเท่านั้นละมัง แต่มันรวย ให้ค่าจ้างข้าตั้งพันบาท ตอนอยู่ในบ้านคุณมงคลข้าได้ยินคนรับใช้เรียกมันว่าคุณวิศรุต รู้สึกว่าจะเป็นหลานชายของคุณมงคลหรือยังไงนี่ละ” เขาโคลงศีรษะ “เศรษฐีมงคล กิตติไกรสีห์ เจ้าของห้างไดมอนด์ที่มีข่าวลงหนังสือพิมพ์บ่อยๆ ไง ตระกูลนี้เขารวย”

“โอ้โห! เศรษฐีคนนั้นเอง” นายเข้มทำตาโต จิบเหล้าเงียบๆ ครู่หนึ่งก็เปรยอย่างใช้ความคิด “ตามที่ลุงว่าเจ้าของบ้านนั้นให้ที่ซ่อนคนร้าย แต่หลานชายกลับไปเรียกตำรวจมาจับ ถ้าอย่างนั้นนายวิศรุตจะต้องไม่กล้าให้ปู่รู้ว่าตัวเองเป็นคนบอกตำรวจแน่ๆ” เขาเลียริมฝีปาก “นายวิศรุตเป็นหลานเศรษฐีนี่นา ลุงกำความลับไว้ทั้งทีทำไมไม่ไปขอเงินมาสักก้อนล่ะ ฉันว่าต่อไปลุงจะสบายเลยนะไม่ต้องมาทำงานงกๆ แล้ว”

มือหยาบกร้านที่กำลังหยิบกับแกล้มชะงัก นายเกษมลูบคางพลางไตร่ตรองคำพูดของลูกน้อง ไม่สังเกตว่านายเข้มกำลังลอบยิ้ม

“ลุงก็อายุมากแล้ว จะทำงานเป็นยามไปได้อีกสักกี่ปีกัน ลูกหลานก็ไม่มีถ้าแก่ตัวไปใครจะดูแล นี่ฉันพูดเพื่อประโยชน์ของลุงคนเดียวเลยนะ ไม่ใช่ว่าฉันจะได้อะไรด้วย อย่างดีก็ให้ลุงเลี้ยงข้าวเลี้ยงเหล้าสักมื้อเท่านั้นเอง”

สายลมกระโชกแรงพัดกิ่งหูกวางเหนือศีรษะของทั้งคู่ให้แกว่งไกว ทิ้งใบแก่ร่วงพรูลงมาเป็นสาย ลำแสงสุดท้ายของดวงตะวันสาดกระทบดวงตาแดงก่ำเพราะฤทธิ์เหล้าของนายเกษม เห็นความโลภที่ทอประกายวาววับอยู่ภายในนั้น

“เอ็งพูดเข้าที นังองุ่นมันเจอข้าหลายครั้งแล้ว ถ้ามันเกิดจำได้ขึ้นมาข้าคงอยู่ที่นี่อีกไม่ได้ คุณนาราเป็นคนรักของเจ้านายเสียด้วย อย่างน้อยถ้ามีเงินก้อนใหญ่ๆ ติดตัวไว้ข้าก็พอจะอุ่นใจได้”

แม้จะดื่มจนเมา แต่นายเกษมไม่ได้ถูกฤทธิ์แอลกอฮอล์ครอบงำเสียจนลืมเลือนภารกิจ วันรุ่งขึ้นเขาก็ลงมือสืบเรื่องของ ‘คุณวิศรุต’ โดยไม่รอช้า ใช้เวลาไม่กี่วันก็รู้ไปถึงบ้านช่องและที่ทำงานของกันต์ ก่อนจะไปดักรอพบชายหนุ่มที่ลานจอดรถของห้างไดมอนด์

หลานชายนายมงคลจำอดีตตำรวจที่เคยทำงานสกปรกให้ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร นายเกษมจัดแจงเท้าความเรื่องราวแต่หนหลังอย่างละเอียด เน้นไปที่ความโมโหโกรธาของนายมงคลขณะถูกคุมตัวอย่างอุกอาจ ก่อนจะจบประโยคด้วยอาการคล้ายคนปลงตก

“ผมแก่แล้ว สุขภาพก็ไม่ดีต้องหาหมออยู่ทุกเดือน ถ้าจะตายก็อยากตายอย่างไม่มีอะไรค้างคาใจ เลยว่าจะไปสารภาพความจริงให้คุณมงคลรู้เสียที ปิดมาตั้งเป็นสิบปีแล้ว แม่ตวงพรนั่นจะได้พ้นมลทินด้วย”

กันต์มองชายวัยกลางคนอย่างชิงชัง ทำไมเขาจะไม่รู้ว่านายเกษมต้องการอะไร ถ้าจะสารภาพกับนายมงคลอย่างปากว่าจริงๆ มีหรือเจ้าตัวจะมาดักพบเขาในที่ลับหูลับตาคนอย่างนี้

ชายหนุ่มข่มใจพูดเรียบๆ “อย่าเพิ่งไปพบคุณปู่ของฉันเลย ท่านไม่ค่อยว่าง เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน วันมะรืนตอนสองทุ่มนายมารอฉันที่ลานจอดรถนี่ ฉันจะสมทบค่ายาค่าหมอให้ นายจะได้สบายขึ้น”

พูดอย่างนี้ก็แปลหลานชายนายมงคลจะยอมจ่ายค่าปิดปากโดยไม่เกี่ยงงอน และคงจะเป็นเงินก้อนใหญ่พอดูเสียด้วย คิดแล้วนายเกษมก็แทบเก็บความยินดีไม่อยู่ เขารีบรับคำก่อนจะอำลาจากมา

ความเคลื่อนไหวของพนักงานรักษาความปลอดภัยสูงวัยไม่ผิดไปจากที่นาราคาดไว้ เธอเดาออกตั้งแต่แรกว่าต้องมีคนบงการอยู่เบื้องหลังนายเกษม จึงสั่งให้นายเข้มมอมเหล้าจนอีกฝ่ายหลุดปากบอกความลับออกมา เพียงแต่หญิงสาวคิดไม่ถึงเลยว่าคนคนนั้นจะเป็นวิศรุต

เป็นครั้งแรกในรอบสองปีนับจากถูกอัปเปหิออกจากบ้านของนายมงคล ที่ธิปกได้กลับมาเยือนคฤหาสน์โอฬารหลังนี้อีกครั้ง นายมงคลต้อนรับนาราและธิปกในห้องรับแขก วางท่าขรึมมองทั้งคู่เหมือนมองบริวารที่มาขอพบเพื่อพูดคุยธุระบางอย่าง

นาราเข้าสู่จุดประสงค์ที่มาทันที “ท่านอาจจะจำดิฉันไม่ได้ ดิฉันชื่อนารา จรัสวงศ์ เป็นลูกสาวของแม่ตวงพร”

ชื่อนั้นจุดประกายเครียดขมึงขึ้นในดวงตาของผู้ฟัง แต่น้ำเสียงนายมงคลยังคงราบเรียบ

“ฉันจำได้ดี ทั้งเธอทั้งตวงพร มีเรื่องอะไรอย่างนั้นหรือ”

“ดิฉันจะมาเรียนท่านว่าท่านเข้าใจแม่ตวงพรผิด แม่ดิฉันไม่เคยเอาเรื่องที่มีคนร้ายแอบอยู่ในบ้านของท่านไปแจ้งตำรวจ แม่ดิฉันไม่ใช่คนปากโป้ง”

คิ้วของนายมงคลขมวดเข้ากัน พร้อมกับที่ความขุ่นเคืองผุดขึ้นมาเป็นริ้วๆ เขายังไม่ลืมความเจ็บแค้นเมื่อได้เห็นเพื่อนรักถูกใส่กุญแจมือก่อนพาขึ้นรถไปเรือนจำ และไม่ลืมความรู้สึกยามที่ตนเองต้องนั่งจ่อม หน้าเครียดไม่หลงเหลือสง่าราศีอยู่ในห้องขังของโรงพัก แม้จะเป็นเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมงก่อนที่ทนายของเขาจะมาประกันตัว แต่นายมงคลก็ถือเป็นเรื่องน่าอับอายและอัปมงคลอย่างที่สุด น้ำเสียงที่พูดกับนาราจึงค่อนข้างห้วน

“เรื่องเก่าแก่สิบกว่าปีแล้วจะมาพูดอะไรตอนนี้ ไม่มีประโยชน์”

“ดิฉันจำเป็นต้องพูดค่ะ เพราะมันเกี่ยวพันกับความบริสุทธิ์ของแม่ดิฉัน และตัวการในเรื่องนี้ก็ยังอยู่ในบ้านของท่าน” นาราไม่ยอมหยุด ถ้อยคำพรั่งพรูออกมาราวกับน้ำหลาก “คนที่ท่านจะต้องตำหนิไม่ใช่แม่ตวงพรแต่เป็นคุณวิศรุตหลานชายของท่านค่ะ”

ก่อนมาที่นี่ ธิปกเตือนนาราไว้ล่วงหน้าแล้วว่านายมงคลเป็นคนอารมณ์ร้อน ฉะนั้นเพื่อไม่ให้เจ้าของบ้านปึงปังออกมา นาราก็รีบเล่าไปถึงเหตุการณ์ที่แม่องุ่นได้พบและจำนายเกษมได้ ต่อเนื่องไปจนกระทั่งนายเกษมไปพบวิศรุตและเรียกร้องเงินเป็นค่าปิดปาก

“เอาไรมาพูด วิศรุตจะไปใส่ร้ายตวงพรเพื่ออะไร” นายมงคลอุทาน ท่าทางบอกให้รู้ว่าไม่เชื่อเลยแม้แต่คำเดียว

นาราไม่แปลกใจกับปฏิกิริยาของชายชรา ไม่มีเหตุผลที่เขาจะไม่เข้าข้างวิศรุต ต่อให้พานายเกษมมาที่นี่ นายมงคลก็คงคิดว่านาราจ้างนายเกษมมาปรักปรำหลานชายของเขาอยู่นั่นเอง โชคดีที่เธอมีแผนเตรียมรับมือไว้แล้ว

นายเข้มที่ทำหน้าที่เป็นสายสืบได้ดีสมกับค่าจ้าง ช่วยให้นารารู้ว่านายเกษมนัดจะไปรับเงินจากวิศรุตเมื่อไร เมื่อประมวลจากพฤติกรรมที่ผ่านมาของชายหนุ่มผู้นี้ นารามั่นใจว่าหลานชายนายมงคลไม่มีทางยอมให้กระจิบกระจอกอย่างนายเกษมข่มขู่ วิศรุตน่าจะให้ลูกน้องไปรอทำร้ายอดีตตำรวจเพื่อสั่งสอนให้เข็ดหลาบจนไม่กล้ามารบกวนเขาอีกมากกว่า

“ถ้าท่านให้คนของท่านไปดักรออยู่ที่นั่น จับตัวลูกน้องของคุณวิศรุตมาถาม ต้องได้ความจริงแน่ค่ะ” เธอบอก

ทีแรกนายมงคลปฏิเสธ แต่ธิปกรู้นิสัยอดีตผู้อุปการะของเขาดีพอจะจับจุดได้ว่าควรจะหว่านล้อมชายชราอย่างไร สุดท้ายเมื่อถูกท้าให้พิสูจน์ความจริง นายมงคลก็ยอมให้นายปฐม คนสนิทของเขา พาคนงานหลายคนไปดักรอนายเกษมพร้อมกับธิปก

เข็มนาฬิกาบอกเวลาใกล้สองทุ่มเมื่อนายเกษมมาถึงลานจอดรถ เขามัวแต่ฝันหวานถึงเงินก้อนใหญ่จนไม่ได้สังเกตสิ่งผิดปกติรอบตัว กว่าจะเฉลียวใจก็เมื่อมีชายฉกรรจ์สามคนเดินอาดๆ มาล้อมเขาไว้ตรงกลาง นายเกษมใจหายวาบ ถลันแหวกวงล้อมออกไปหมายจะเอาตัวรอด แต่มีหรือที่กำแพงมนุษย์ทั้งสามจะยอมให้เป้าหมายหลุดรอดไปได้ จู่ๆ หนึ่งในนั้นก็ร้องขึ้นมาว่านายเกษมทำร้ายเขา จากนั้นทั้งหมดก็รุมประเคนทั้งมือทั้งเท้าลงบนร่างชายสูงวัยจนน่วมไปทั้งตัว

“จำไว้ จะเล่นกับใครหัดดูตาม้าตาเรือเสียบ้าง คุณวิศรุตไม่ใช่คนที่แกจะมาข่มขู่” นักเลงคนหนึ่งคำราม

อดีตตำรวจล้มกลิ้งลงไปกองกับพื้น มีเท้าสามข้างรุมกระทืบอย่างไม่ปรานีปราศรัย เขาได้แต่ร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวด หน้าตาเนื้อตัวแตกยับเยิน ผ่านไปครู่หนึ่งก็มีเสียงคนตะโกนมาแว่วแต่ไกล

“เฮ้ย! หยุด!ทำอะไรกันวะนั่น”

พร้อมกับเสียงห้าม ผู้ชายร่างใหญ่เกือบสิบคนก็วิ่งกรูเข้ามา อันธพาลที่กำลังรุมสกรัมนายเกษมแตกฮือ เผ่นหนีไปคนละทิศละทาง แต่ฝ่ายที่มีจำนวนมากกว่าไล่ตามไปติดๆ ไม่นานก็รวบตัวกลับมาได้ทั้งหมด

อีกฟากหนึ่งของลานจอดรถ นาราและธิปกยืนมองเหตุการณ์อยู่เงียบๆ ชายหนุ่มพึมพำเสียงแผ่ว “เกษมถูกซ้อมจนเจ็บขนาดนี้แล้ว คุณพอใจหรือยัง”

น้ำตาเอ่อคลอเต็มดวงตาของนาราเมื่อคิดไปถึงความอยุติธรรมที่ตวงพรได้รับ เธอแข็งใจกลืนก้อนสะอื้นลงไป

“คุณจะว่าฉันใจร้ายก็ได้นะที่ดูดายไม่ช่วยคนแก่ ฉันยอมเป็นคนเลวแต่ไม่ยอมปล่อยให้คนที่ใส่ความแม่ฉันจนตายลอยนวลไปง่ายๆ โดยไม่ได้รับผลกรรมหรอก จากที่เห็นอย่างมากนายเกษมก็หยอดน้ำข้าวต้มไม่กี่อาทิตย์ ไม่ถึงเสี้ยวของความเจ็บปวดที่แม่ฉันต้องเจอด้วยซ้ำ”

ธิปกบีบไหล่บางเบาๆ นาราเห็นความเข้าใจทอแสงอยู่ในดวงตาของเขา

“เราจับตัวลูกน้องคุณวิศรุตได้แล้ว คราวนี้คุณมงคลไม่มีเหตุผลที่จะไม่เชื่อคุณแล้วละ”

เขาบอกเรียบๆ รู้ว่าเวลานี้นาราไม่ต้องการคำปลอบโยน สิ่งเดียวที่จะกอบกู้ความรู้สึกของเธอได้คือการพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตวงพรเท่านั้น

นายเกษมและอันธพาลทั้งสามคนถูกพาตัวไปที่โกดังเก็บสินค้าของห้างไดมอนด์ นารากับธิปกนั่งสังเกตการณ์เงียบๆ ปล่อยให้ปฐมรับหน้าที่เป็นคนซักถาม ส่วนนายเกษมนั้นเจ็บหนักลุกไม่ไหว ถึงกับต้องนอนเหยียดยาวกับพื้นเลยทีเดียว

พอขู่ว่าจะจับส่งตำรวจอันธพาลทั้งกลุ่มก็ละล่ำละลักสารภาพว่าวิศรุตนั่นเองที่จ้างพวกเขามาสั่งสอนนายเกษม ไม่ให้กำแหงกล้ามาเรียกร้องเงินทองอีก ฝ่ายที่ถูกทำร้ายจนสะบักสะบอมยันตัวขึ้น แผดเสียงลั่นด้วยความแค้นใจ

“ไอ้วิศรุตมันกลัวผมจะไปแฉความระยำของมันให้คุณมงคลรู้ละสิ ว่ามันนั่นละเป็นคนจ้างผมมาจับคนร้ายในบ้านคุณมงคลเมื่อสิบปีก่อน”

แน่นอนว่าปฐมต้องถ่ายทอดสิ่งได้รู้มาไปยังเจ้านายของเขา พอฟังจบนายมงคลก็นิ่งอึ้ง ความรู้สึกที่แล่นวนเวียนไปทั่วร่างมีทั้งความเสียใจ เจ็บปวด และเกรี้ยวโกรธ

วิศรุตจ้างคนไปทำร้ายนายเกษมจริงๆ หรือนี่…ก็หมายความว่าเขาคือคนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องร้ายกาจที่เกิดขึ้นในบ้านนี้เมื่อสิบกว่าปีก่อน และเป็นคนใส่ร้ายตวงพรอย่างเลือดเย็น

แต่ความเข้าใจทั้งหมดก็ยังไม่สั่นสะเทือนความรู้สึกของผู้เป็นปู่ได้เท่ากับข้อเท็จจริงเรื่องต่อมาที่ได้ตระหนัก…

ตามกฎหมายแล้วเจ้าของบ้านที่ให้ที่หลบซ่อนแก่คนร้ายจะต้องมีโทษไปด้วย…หากว่าวิศรุตเก่งกาจถึงขนาดติดสินบนสันติบาลให้มาจับคนในบ้าน และยังจัดฉากใส่ร้ายตวงพรได้อย่างแนบเนียน มีหรือจะไม่ล่วงรู้กฎหมายข้อนี้ แต่หลานชายของเขาก็ยังทำได้ลงคอโดยไม่รู้สึกรู้สาแม้แต่น้อย…

ทำราวกับนายมงคลไม่ใช่ปู่ และตัววิศรุตเองก็ไม่ใช่หลานชายแท้ๆ ที่มีสายเลือดผูกพันกันอย่างนั้นละ!

ผู้ชรามือไม้สั่นด้วยความโกรธสุดขีด เขาคว้าโทรศัพท์หมุนหมายเลขของห้างไดมอนด์ สั่งเสียงเข้มให้วิศรุตมาพบที่บ้านทันที!



Don`t copy text!