แรมสิบห้าค่ำนี้มีปาฏิหาริย์ บทที่ 17 : ความจริงที่ซ่อนอยู่ (1)

แรมสิบห้าค่ำนี้มีปาฏิหาริย์ บทที่ 17 : ความจริงที่ซ่อนอยู่ (1)

โดย : ณรัญชน์

Loading

แรมสิบห้าค่ำนี้มีปาฏิหาริย์ นวนิยายเรื่องล่าสุดจาก ณรัญชน์ ที่อ่านเอาคัดสรรมานำเสนอ กับเรื่องราวของกระจกโบราณที่สามารถทำนายอนาคตมนุษย์ทุกคนได้อย่างแม่นยำ ‘วิศรุต’ จึงใช้มันมาลิขิตชะตาชีวิตตัวเอง แม้นั่นจะหมายถึงการทำลายล้างคนรอบข้างอย่างโหดเหี้ยม ไม่เว้นแม้แต่ผู้หญิงที่เขารัก นวนิยายออนไลน์จาก www.anowl.co

กว่าการสอบปากคำนายเกษมและนายยอดจะเสร็จสิ้นลง เข็มนาฬิกาก็ล่วงเลยเข้าสู่วันใหม่ นายมงคลกลับบ้านไปนอนเอาแรงจนถึงสิบโมงเช้า พอตื่นขึ้นก็สั่งให้ปฐมโทรศัพท์ตามหลานชายซึ่งออกไปทำงานตามปกติ กลับมาพบที่บ้านทันที

ฝนที่ตั้งเค้ามาตั้งแต่เช้ามืดทำให้ท้องฟ้าขมุกขมัว บรรยากาศไม่สดใสอย่างทุกวัน กระนั้นกันต์ก็จอดรถที่หน้าตึกด้วยอารมณ์ปลอดโปร่ง เกือบจะผิวปากเสียด้วยซ้ำเมื่อเดินเข้าไปในห้องรับแขก เขาเดาว่าที่นายมงคลเรียกตนเองมาก็เพื่อจะเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ และเตือนให้หลานชายระวังคนร้อยเล่ห์อย่างธิปก

ด้วยความที่เชื่อมั่นในแผนการของตัวเอง เขาจึงไม่ได้เตรียมใจเลยเมื่อพบว่านอกจากนายมงคลกับปฐมแล้ว ในห้องรับแขกยังมีนารากับธิปกนั่งอยู่ด้วย ใบหน้ารูปหัวใจของหญิงสาวเป็นสีจัดขึ้นเมื่อเห็นเขา สิ่งที่กระทบใจคนมองคือความจงเกลียดจงชังที่เริงโรจน์อยู่ในแววตาดำขลับทั้งคู่ ทำให้นึกฉงนขึ้นมาทันใด

นายมงคลรอจนหลานชายนั่งลงเรียบร้อยก็ยิงคำถามที่ไม่ต่างจากโยนระเบิดลงตรงหน้ากันต์

“วิศรุต ฉันขอถามแกตรงๆ เรื่องที่ตำรวจเข้ามาจับอนุชิตเพื่อนฉันที่บ้านนี้เมื่อสิบเอ็ดปีก่อน แกเป็นคนแจ้งความใช่ไหม”

กันต์มั่นใจว่าต่อให้มีสายฟ้าฟาดเปรี้ยงลงมาเขาก็คงตกใจน้อยนี้ เหตุการณ์ผิดจากความคาดหมายจากหน้ามือเป็นหลังมือจนตั้งตัวไม่ติด กระนั้นชายหนุ่มก็ยังเก่งพอจะทำหน้าตื่น ถามเหมือนไม่รู้เรื่อง

“อะไรกันครับคุณปู่ ผมไม่เข้าใจ”

นายมงคลชี้หน้าหลานชาย “ไม่ต้องเสแสร้ง ไอ้ตำรวจที่แกจ้างให้ใส่ร้ายตวงพรมันสารภาพออกมาหมดแล้ว ส่วนพวกอันธพาลที่แกส่งไปรุมซ้อมมันก็ยืนยันว่าแกเป็นคนจ้างมันมา ฉันถามจริงๆ แกทำไปเพื่ออะไร โกรธเกลียดอะไรตวงพรนักหรือ”

เกิดอะไรขึ้น! ทำไมเหตุการณ์ไม่เป็นไปตามที่เขากำหนด!

เรื่องราวกลับตาลปัตรจนกันต์จับต้นชนปลายไม่ถูก ได้แต่ปฏิเสธออกไปตามสัญชาตญาณ

“ผมไม่เข้าใจจริงๆ ว่าคุณปู่พูดเรื่องอะไร นี่คงจะมีใครมาพูดจาใส่ร้ายผมให้คุณปู่ฟังใช่ไหมครับ”

เขาชำเลืองมองไปทางธิปกเหมือนจะบอกใบ้ว่ากำลังพูดถึงคนคนนี้ นายมงคลจะตอบ แต่โทสะที่แล่นไปทั้งร่างทำให้เกิดใจสั่นขึ้นมาจนต้องหยุดพักสูดหายใจลึกๆ นาราจึงพูดขึ้นเสียเอง

“แม่ฉันทำอะไรให้คุณโกรธแค้นมากนักหรือ คุณวิศรุต ถ้าสาเหตุเป็นเพราะคุณไม่อยากหมั้นกับฉันเมื่อโตขึ้นละก็ ทำไมไม่บอกคุณมงคลไปตามตรง คุณปิดปากเงียบทำเหมือนยอมตามใจผู้ใหญ่ เวลาฉันมาที่บ้านก็ต้อนรับอย่างดี แต่ในใจกลับวางแผนทำลายแม่ฉันอยู่ตลอดเวลา” น้ำเสียงหญิงสาวเจ็บแค้นระคนขมขื่น “เพราะคำกระซิบบ้าๆ ประโยคเดียวที่คุณสั่งให้ตำรวจนั่นพูดกับแม่ฉัน คุณพ่อถึงโกรธแม่ของฉันมาก ทอดทิ้งไม่มาหาจนแม่ฉันตรอมใจตาย ทั้งหมดก็เพราะแผนการของคุณ”

กันต์เจ็บปลาบเข้าไปถึงหัวใจส่วนลึก เมื่อสิบเอ็ดปีก่อนเขาไม่คิดอะไรมากไปกว่าต้องการกำจัดว่าที่คู่หมั้นออกไป เพื่อให้ตัวเองมีอิสระพอจะแต่งงานกับรพีพรรณ ผู้หญิงที่เขาเข้าใจว่ามีเลือดกรุ๊ปเอเนกาทีฟ แต่บัดนี้เขาพูดได้เต็มปากว่าทั้งเสียดายและเสียใจเป็นที่สุด ที่เคยทำผิดใหญ่หลวงไว้กับนารา

แต่เหตุการณ์ล่วงเลยมาถึงยามนี้แล้ว ชายหนุ่มก็ได้แต่ตอบอย่างที่ควรจะตอบ

“คุณนารา ผมเสียใจด้วยเรื่องแม่ของคุณ แต่ว่าทุกอย่างมันไม่ได้มาจากผม ผมไม่รู้ว่าทำไมนายเกษมถึงกระซิบบอกน้าตวงพรไปอย่างนั้น ตอนนั้นผมเองก็ยังเด็กอยู่ จะมีปัญญาอะไรไปบงการเขาได้ ทุกอย่างเป็นการใส่ร้ายของคนอื่นจริงๆ”

สีหน้ากันต์หม่นหมอง ขอบตาแดงเรื่ออย่างคนสะเทือนใจ

“ผมขอยืนยันกับคุณปู่และคุณนาราว่าทุกอย่างเป็นแผนการที่มีคนวางไว้เพื่อใส่ร้ายผม ผมขอร้องให้ทุกคนเชื่อใจผมได้ไหมครับ” เขาหันไปวิงวอนนายมงคลด้วยท่าทางเศร้าสลด “คุณปู่ครับ เราเป็นปู่หลานกัน มีสายเลือดเดียวกัน ทำไมคุณปู่ถึงเชื่อคนนอกมากกว่าหลานชายแท้ๆ ล่ะครับ”

นายมงคลนั่งนิ่ง มองหลานชายราวกับกำลังครุ่นคิด กันต์เริ่มใจชื้น เดาจากอาการนั้นว่าเป็นผู้เป็นปู่คงเริ่มคล้อยตามบ้างแล้ว…ถึงอย่างไรเขาก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของบพิตร ลูกชายที่วายชนม์ไปของนายมงคลนี่นะ

แต่สิ่งที่ออกจากปากชายชราทำลายความหวังของกันต์จนพังพินาศ

“แกยังจำได้หรือว่าฉันเป็นปู่ของแก รู้ไหมว่าตอนถูกจับเข้าห้องขังฉันรู้สึกยังไง ไม่นึกเลยว่าหลานของฉันเองที่ทำให้ฉันต้องเป็นไอ้ขี้คุก” เขาชี้หน้า “แกจ้างคนมาทำร้ายฉันถึงในบ้าน ลากฉันไปเข้าตะราง นี่หรือที่บอกว่าฉันกับแกเป็นปู่หลานกัน ฉันซึ้งน้ำใจแกจริงๆ วิศรุต”

นารามองชายหนุ่มผู้มีใบหน้าหมองคล้ำ แววตากระวนกระวายด้วยความรังเกียจ วิศรุตประเมินเธอต่ำไปมากที่คิดว่านาราจะหลงเชื่อคำโกหกของนายเกษม ตรงกันข้าม เมื่อคืนนี้หลังจากนายเกษมกับนายยอดซัดทอดว่าธิปกเป็นคนจ้างพวกตนมาใส่ร้ายวิศรุต นาราก็รู้สึกว่าเธอกำลังถูกปั่นหัวอยู่ด้วยฝีมือใครบางคน

ธิปกไม่ใช่คนที่จะใช้อุบายทำร้ายใครอย่างที่นายเกษมพูด…คนจิตใจดีงามอย่างเขาไม่มีทางทำเรื่องพวกนี้

ยิ่งไปกว่านั้น การที่นายยอดมีแหวนประจำตัวของธิปก และจำเพาะจะต้องทำตกลงมาตรงหน้าเธอเสียด้วย กลับชวนให้นึกสงสัยว่านักเลงรายนี้เตรียมหลักฐานมาพร้อมจนเกินไป ราวกับจงใจมาใส่ร้ายชายหนุ่มก็ไม่ปาน

นาราเริ่มใคร่ครวญทุกอย่างเงียบๆ

คืนนี้เธอตั้งใจหลอกล่อวิศรุตให้ติดกับไม่ใช่หรือ แต่ทำไมเรื่องราวถึงกลับตาลปัตรราวกับถูกซ้อนแผนไปเสียเล่า…เธอเริ่มคิดถึงความเคลือบแคลงหลายๆ อย่างที่ชี้ไปในทางเดียวกันว่าวิศรุตสามารถหยั่งรู้อนาคตได้…คิดถึงตำนานกระจกไขฟู่ที่อาเจ๊กเส่งเคยเล่าให้ฟัง…

เป็นไปได้ไหมว่าวิศรุตจะครอบครองไขฟู่จริงๆ ถ้าอย่างนั้นก็ไม่แปลกที่เขาจะรู้ทันแผนของเธอ จากนั้นก็ถือโอกาสเปลี่ยนแปลงมัน เพื่อให้ธิปกเป็นคนเลวในสายตานายมงคล

นาราจึงสงบใจเฝ้าดูเหตุการณ์โดยไม่กระโตกกระตาก จนกระทั่งทุกอย่างเหมือนจะคลี่คลายลงแล้ว นายมงคลกำลังจะกลับบ้านเธอก็ตามไปเรียกไว้ ขอร้องให้เขายอมให้เธอทดสอบนายเกษมอีกครั้งหนึ่ง

ในฐานะที่เธอเป็นลูกสาวของตวงพร นายมงคลถือว่าเขาติดค้างนาราที่เคยประณามตวงพรผิดๆ จึงยอมตกลงอย่างไม่สู้จะเต็มใจนัก

นาราให้ปฐมไปหารูปบุคคลที่เธอต้องการมาสามรูป จากนั้นก็ยื่นให้นายเกษม

‘นายบอกว่าคุณแม่ใหญ่ของฉันเป็นคนจ้างให้ใส่ร้ายแม่ตวงพรใช่ไหม ถ้าอย่างนั้นนายต้องเคยพบคุณแม่ใหญ่ บอกมาว่าในสามรูปนี้ รูปไหนคือคนที่จ้างนาย’

นายเกษมอิดออด ‘เรื่องมันก็ตั้งสิบกว่าปีมาแล้ว ผมจำไม่ได้หรอก’

นาราแค่นยิ้ม ‘เรื่องที่สั่งให้นายใส่ร้ายแม่ของฉันเป็นความลับสุดยอด คุณแม่ใหญ่ต้องมาสั่งด้วยตัวเองแน่ และตามธรรมดาเวลาคนเราจ้างใครทำงานสกปรกแบบนี้ ก็น่าจะให้ค่าจ้างแค่ครึ่งเดียวก่อน พอทำงานเสร็จถึงจะมารับเงินอีกครึ่งที่เหลือ แสดงว่านายต้องพบคุณแม่ใหญ่สองครั้ง ที่สำคัญคุณแม่ใหญ่ของฉันเป็นคนสวยมาก ใครๆ ก็ชม แถมยังแต่งตัวเก่ง ถ้าเคยเจอจริงๆ นายไม่มีทางลืมแน่’

นายเกษมตีหน้ายุ่ง ก้มลงมองรูปถ่ายสามใบในมือตนเอง กระดาษอัดรูปค่อนข้างเหลืองบอกถึงอายุเก่าแก่ของภาพ ผู้หญิงในรูปแต่ละใบแต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่นิยมกันเมื่อสิบกว่าปีก่อน อันเป็นเวลาที่นายเกษมได้พบแม่เลี้ยงของนารา

นายมงคลกับคนสนิทมองอาการไม่เต็มใจของอดีตตำรวจ เริ่มรู้สึกตรงกันว่าเห็นทีสิ่งที่นายเกษมพูดมาก่อนหน้านี้น่าจะเชื่อถือไม่ได้เสียแล้ว

‘นี่รูปเมื่อสิบเอ็ดปีก่อนทั้งนั้น ไม่น่าจะจำยาก บอกมาว่าคนไหนคือคุณวรรณา’

ธิปกเอ่ยเสียงเข้ม นายเกษมหลบสายตาดุดันของเขา ชี้ไปที่รูปใบหนึ่งทางขวามือ ผู้หญิงในรูปนั้นสวยที่สุดในบรรดาสาวๆ ทั้งสาม แต่งกายก็หรูหราดูสะดุดตากว่าเพื่อน นายเกษมย้ำหนักแน่น

‘นี่ละคุณวรรณา ฉันจำได้แล้ว’

ธิปกหันไปสบตากับนารา รอยยิ้มของเขาแฝงแววโล่งอกอย่างเห็นได้ชัด ขณะที่นายมงคลตวาดลั่น

‘ไอ้เลว นี่แกหลอกฉันเรอะ’

นายเกษมไม่เคยพบวรรณามาก่อน จึงเลือกรูปโดยอิงจากคำบรรยายของนาราเพียงอย่างเดียว ผู้หญิงในรูปที่เขาชี้เป็นพี่สาวของนายปฐมนั่นเอง ส่วนวรรณาไม่ใช่คนสวยนัก เพียงแต่มีผิวพรรณสะอาดหมดจดอย่างผู้ดีโดยมาก นายเกษมจึงมองข้ามรูปของเธอไปโดยไม่เอาใจใส่

เสียงกึกก้องบอกโทสะอันแรงกล้าของชายชราทำเอานายเกษมขนลุก ปฐมรีบปราดเข้ามาประคองเจ้านายของเขาไว้ ปากก็ตะโกนเรียกลูกน้องหกเจ็ดคนให้มาทำหน้าที่สอบปากคำนายเกษมโดยด่วน

ใช้เวลาลงไม้ลงมือกันไม่นาน ความจริงที่ว่าวิศรุตต่างหากที่เป็นนายจ้างตัวจริงก็พรั่งพรูออกจากปากนายเกษม ต่อจากนั้นก็ถึงคราวของนายยอด เพียงแค่นายมงคลปรายตามองมา หัวหน้านักเลงที่กลัวลนลานอยู่แล้วก็ยอมคายความจริงออกมาจนหมดเปลือก

เสียงแก้ตัวของวิศรุตดึงความคิดของนารากลับมาสู่สถานการณ์ตรงหน้าอีกครั้ง สีหน้าชายหนุ่มหม่นหมอง แม้จะพูดเรียบๆ แต่น้ำเสียงก็เศร้าสร้อยระคนน้อยใจ

“ผมขอยืนยันกับคุณปู่และคุณนาราว่าผมไม่รู้เรื่อง นายเกษมมันพูดออกมาตามที่มีคนบงการ และคนคนนั้นก็ต้องเกลียดผมมากด้วย ผมไม่เคยมีศัตรูที่ไหนยกเว้นธิปกคนเดียว” คราวนี้กันต์ระบุชื่อคู่อริอย่างเต็มปากเต็มคำ

“ผมเดาว่าเรื่องนี้ต้องมีธิปกมาเกี่ยวข้องด้วยใช่ไหมครับ คุณปู่ก็รู้ว่าเขาเคยทำอะไรไว้ คนอกตัญญูอย่างเขาถ้าคิดจะใส่ร้ายผมก็ทำได้โดยไม่ละอายใจอยู่แล้ว คุณนาราเองก็คงถูกเขาหลอกด้วยเหมือนกัน”

ธิปกกับนาราแค่นยิ้ม กันต์เอะใจที่ทั้งปฐมและนายมงคลนั่งเงียบกริบ มองเขาด้วยแววตาสมเพช สุดท้ายนายมงคลก็พูดออกมา เป็นประโยคที่ไม่ต่างจากคมมีดที่ตัดฉับลงบนสายใยแห่งความหวังของกันต์ให้ขาดสะบั้นลงตรงนั้นเอง

“ถ้าหากแกไม่รู้เรื่องอย่างที่พูดมา แล้วแกรู้ได้ยังไงว่าไอ้ตำรวจคนนั้นมันชื่อเกษม แกพูดชื่อมันตั้งสองครั้งแล้ววิศรุต ทั้งๆ ที่ยังไม่มีใครบอกเลยสักคำ”

ย่านบางลำพูคลาคล่ำไปด้วยผู้คนที่ออกมาเดินเลือกซื้อข้าวของเหมือนเช่นทุกวัน ท่ามกลางบรรยากาศวุ่นวายพลุกพล่าน ไม่มีใครสังเกตเห็นรถแท็กซี่ที่จอดนิ่งอยู่ริมทางมาหลายชั่วโมงแล้ว หญิงวัยกลางคนที่นั่งกระสับกระส่ายอยู่ในรถแต่งกายด้วยเสื้อผ้ามีราคา บ่งบอกฐานะว่าเป็นผู้มีอันจะกิน

สายตาของเธอกวาดมองไปที่ฝั่งตรงข้ามตลอดเวลา นานนับชั่วโมงจนกระทั่งชายหนุ่มรูปร่างสันทัด ผิวขาวเหลืองในเสื้อคอกลมแขนสั้นและกางเกงขายาวเดินมาตามถนน ผู้หญิงคนนั้นก็รีบเปิดประตูรถลงไป ร้องเรียกเสียงพร่า

“วิศรุต”

ชายหนุ่มยังคงเดินทอดน่องต่อไปเรื่อยๆ เหมือนไม่ได้ยิน อรสาลนลานวิ่งตามไปจนทัน คว้าแขนเขาไว้พลางละล่ำละลักอย่างตื่นเต้น

“วิศรุต นี่แม่เอง หยุดคุยกับแม่ก่อน”

ชายคนนั้นหยุดฝีเท้า เหลียวมามองอรสาด้วยความแปลกใจ เขายิ้มอย่างสุภาพ

“คุณน้าทักคนผิดแล้ว ผมชื่อสรวงครับไม่ได้ชื่อวิศรุต”

อรสาไม่ยอมปล่อยมือที่รั้งแขนอีกฝ่ายไว้แน่น มืออีกข้างสั่นระริกขณะยกขึ้นลูบแก้มเขาอย่างแสนรัก ดวงตาฉ่ำไปด้วยหยาดน้ำตา

“นี่ละวิศรุต หน้าตาแบบนี้แม่ไม่มีทางจำผิด วิศรุตยังไม่ตาย ลูกกลับมาหาแม่แล้ว”



Don`t copy text!