แรมสิบห้าค่ำนี้มีปาฏิหาริย์ บทที่ 18 : แกฆ่าลูกชายฉัน (2)

แรมสิบห้าค่ำนี้มีปาฏิหาริย์ บทที่ 18 : แกฆ่าลูกชายฉัน (2)

โดย : ณรัญชน์

Loading

แรมสิบห้าค่ำนี้มีปาฏิหาริย์ นวนิยายเรื่องล่าสุดจาก ณรัญชน์ ที่อ่านเอาคัดสรรมานำเสนอ กับเรื่องราวของกระจกโบราณที่สามารถทำนายอนาคตมนุษย์ทุกคนได้อย่างแม่นยำ ‘วิศรุต’ จึงใช้มันมาลิขิตชะตาชีวิตตัวเอง แม้นั่นจะหมายถึงการทำลายล้างคนรอบข้างอย่างโหดเหี้ยม ไม่เว้นแม้แต่ผู้หญิงที่เขารัก นวนิยายออนไลน์จาก www.anowl.co

ห้องทำงานของธิปกยังคงโปร่งสบายเหมือนทุกครั้งที่นาราเหยียบย่างเข้ามา แต่วันนี้พอได้ฟังชายหนุ่มเล่าเรื่องที่เกิดขึ้น นารากลับรู้สึกเหมือนมีความกดดันบางอย่างลอยอวลอยู่ในอากาศ ชวนให้อึดอัดแกมหดหู่อย่างบอกไม่ถูก

ธิปกถอนใจยาว มองคนตรงหน้าเหมือนรอให้พูดอะไรออกมาบ้าง แต่นาราก็นั่งเหม่อ สายตาเลื่อนลอยคล้ายจมอยู่ในภวังค์ จนกระทั่งธิปกเอื้อมมาแตะที่หลังมือเบาๆ หญิงสาวถึงรู้สึกตัว

นาราเลื่อมมือออกจากการเกาะกุมของเขา

“หมายความว่าฉันคงต้องแสดงความยินดีกับคุณแล้วสิ ถึงอย่างไรเรื่องก็เลยเถิดมาจนเป็นอย่างนี้แล้ว คุณกุลธิดาก็คงรักคุณมากจริงๆ ถึงยอมทำถึงขนาดนี้”

ไม่ต้องให้พูดทั้งสองก็เดาได้ว่าที่จู่ๆ ธิปกผล็อยหลับไปไม่ใช่เรื่องบังเอิญ นาราถึงกับส่ายหน้าเมื่อคิดว่ากุลธิดาต้องลงทุนใช้เล่ห์เหลี่ยมมากมายเพียงเพื่อผูกมัดผู้ชายคนหนึ่ง หารู้ไม่ว่าธิปกเกลียดการใช้กลอุบายยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด แล้วจะให้เขายินดีกับการแต่งงานแบบมัดมือชกนี้ได้อย่างไร

“ผมไม่คิดว่าคุณกุลธิดาทำไปเพราะความรัก เธอแค่อยากเอาชนะมากกว่า” ธิปกตอบ “ผมจะพยายามยืดเวลาแต่งงานออกไปให้นานที่สุด ระหว่างนั้นก็จะหาทางเกลี้ยกล่อมคุณกุลธิดาให้เข้าใจเหตุผลว่าเราไม่มีทางอยู่กันไปตลอดรอดฝั่ง เธอไม่ได้รักผม ผมเองก็ไม่ได้รักเธอ”

อันที่จริงถ้าจะทำอย่างคนรุ่นพ่อแม่ที่แต่งงานกันเพราะความเหมาะสม คุณสมบัติของกุลธิดาไม่มีอะไรเสียหาย ผู้ชายอื่นอาจถือเป็นโชคครั้งใหญ่เสียด้วยซ้ำที่ได้แต่งงานกับลูกสาวเศรษฐีอย่างเธอ แต่ไม่ใช่ธิปก เขาไม่อยากฝืนใจแต่งงานทั้งๆ ที่รู้ว่านิสัยเข้ากันไม่ได้ ทั้งยังปราศจากความรักเป็นเครื่องยึดเหนี่ยว

“คุณช่วยแก้ปัญหาให้ผมได้ไหม ถ้าทำสำเร็จคราวนี้ผมยอมยกหนี้ที่เหลือทั้งหมดให้คุณเลย”

นารามองหน้าเซียวๆ ของคนพูดแล้วอยากหัวเราะและร้องไห้ออกมาพร้อมๆ กัน เธอรู้ว่าการปฏิเสธกุลธิดาทำได้ไม่ง่ายนัก ถ้าจะให้พูดตามตรงคือน่าจะไม่สำเร็จเลยเสียมากกว่า ลงว่าผู้ใหญ่ฝ่ายหญิงโดดเข้ามาร่วมเล่นเกมคลุมถุงชนด้วยอย่างนี้ละก็

ทั้งๆ ที่อยู่ในอารมณ์เศร้า แต่สติก็ยังเตือนนาราว่าเธอไม่ควรใกล้ชิดกับธิปกอีก ไม่ว่ากุลธิดาจะผูกมัดเขาด้วยวิธีไหน แต่เวลานี้ก็ต้องถือว่าธิปกเป็นผู้ชายที่กำลังจะแต่งงาน นับว่ามีเจ้าของอยู่ครึ่งตัวแล้ว

แทนการตอบคำถามของเขา นาราถอดแหวนมรกตที่ธิปกซื้อให้ออกจากนิ้ว วางลงบนโต๊ะตรงหน้า แสงไฟจากเพดานส่องกระทบเหลี่ยมมรกตทอประกายล้ำลึก บอกถึงราคาของอัญมณี พอชายหนุ่มมองมาเป็นเชิงถามนาราก็บอกเรียบๆ

“ฉันคงเล่นละครเป็นคนรักของคุณต่อไม่ได้แล้วละ คุณรับปากแต่งงานกับคุณกุลธิดาแล้ว ไม่ว่าวันข้างหน้าจะเป็นยังไงแต่ตอนนี้ต้องถือว่าเธอมีสิทธิ์ในตัวคุณ ฉันไม่ควรเข้าไปแทรกกลางอีก”

ธิปกนิ่งงัน…มองเธอเหมือนอยากจะพูดอะไรหลายๆ อย่างแต่สุดท้ายความในใจก็ถูกสกัดไว้แค่เพียงลำคอ เขาเก็บวัตถุมีค่าใส่กระเป๋าเสื้อโดยไม่ต่อล้อต่อเถียง

“ผมจะไม่ยอมแต่งงานกับคุณกุลธิดาเป็นอันขาด ผมไม่ยอมแต่งงานกับคนที่ผมไม่ได้รัก คุณรู้ไว้ด้วย”  ชายหนุ่มบอกเรียบๆ

ดวงตาสองคู่ประสานกัน…นิ่งนาน…ถ่ายทอดความรู้สึกสู่กันและกันโดยไม่ต้องใช้คำพูด นาราเป็นฝ่ายเบนหน้าไปก่อนเพื่อระงับจิตใจที่ปั่นป่วนให้สงบลง

พร้อมกันนั้นประตูห้องทำงานก็เปิดออก ผู้หญิงที่ธิปกไม่อยากพบที่สุดก้าวเข้ามา ตามด้วยรพีพรรณและกมลเนตร พอเห็นว่านารานั่งอยู่กับเจ้าบ่าวในอนาคต กุลธิดาก็ปรี่เข้ามาหา จัดแจงวางกระเป๋าถือลงบนโต๊ะระหว่างทั้งคู่พลางเบียดตัวเข้าหาธิปก รพีพรรณกับกมลเนตรเหลือบมองน้องสาวอย่างเย้ยหยัน

“ธิดาจะมารับพี่ธิปกไปดูหนังรอบเย็น แต่เดี๋ยวเราไปทานข้าวกันก่อนแล้วไปเดินซื้อของสักพักนะคะ” กุลธิดาอ้อน

“ผมไปไม่ได้หรอก ผมมีงานต้องทำ”

เด็กสาวทำปากยื่นเหมือนทุกครั้งที่ถูกขัดใจ “แต่ที่ธิดาเห็นพี่ธิปกไม่ได้ทำงานนี่คะ เอาแต่นั่งคุยกับ…” เธอปรายตามองนารา “คนอื่นอยู่ ธิดาเป็นว่าที่เจ้าสาวของพี่ พี่ธิปกควรจะให้เวลากับธิดาถึงจะถูก”

“ผมกำลังคุยเรื่องงานกับนารา คุณกุลธิดาไปกับเพื่อนๆ เถอะ”

กุลธิดาเขย่าแขนธิปกปากก็รบเร้าไม่ยอมหยุด ชายหนุ่มได้แต่ถอนหายใจอย่างอึดอัด นารารู้ว่าว่าเด็กสาวหมั่นไส้เธอจึงลุกขึ้นเตรียมจะเลี่ยงออกไปจากห้อง แต่กมลเนตรกับรพีพรรณปราดมาขวางหน้าไว้

“จะรีบหนีไปไหนล่ะนารา ไหนคุณธิปกบอกว่ากำลังคุยธุระกันอยู่ไม่ใช่หรือ” กมลเนตรพูดด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ

หลังจากถูกเปิดโปงว่าเป็นชู้รักของนายจำนง กมลเนตรก็เหมือนเคราะห์ซ้ำกรรมซัด นอกจากจะเป็นขี้ปากคนจนแทบจะต้องเอาปี๊บคลุมหัวแล้ว เธอยังถูกเจ้าของร้านตัดเสื้อที่ทำงานอยู่ไล่ออกจากงาน เนื่องจากลุกขึ้นมาทะเลาะกับลูกค้าที่มาจับกลุ่มนินทาถึงในร้าน ระหว่างที่กำลังเคว้งคว้างอยู่นี้กมลเนตรจึงเกาะรพีพรรณแจ ไม่ต่างจากในวัยเยาว์ที่อยู่ในฐานะกึ่งญาติกึ่งบริวารของรพีพรรณ

นาราไม่อยากทะเลาะกับใคร ยิ่งเห็นอาการยิ้มเยาะของพี่สาวก็รู้ว่าจงใจมาหาเรื่อง แต่อีกฝ่ายไม่ยอมปล่อยโอกาสรังควานน้องสาวให้หลุดมือไปง่ายๆ

“คุณธิปกเขาใกล้จะแต่งงานแล้ว ฉันอยากจะเตือนเธอไว้ในฐานะที่เป็นผู้ใหญ่กว่าว่าเธอไม่ควรจะทำตัวใกล้ชิดเขาอย่างเมื่อก่อนอีก คนเขาจะนินทาไปถึงคุณพ่อว่าที่บ้านเราไม่อบรมสั่งสอนเธอ” รพีพรรณว่า เชิดหน้ามองน้องสาวด้วยสายตาดูถูก

ธิปกเห็นพี่สาวทั้งสองคนกำลังรุมเล่นงานนาราก็ดึงมือกุลธิดาที่เกาะแขนเขาอยู่ออกอย่างละมุนละม่อม แล้วรีบเดินมาสมทบ

“นาราเป็นพนักงานของผม ที่มาคุยกับผมก็ทำอย่างเปิดเผย ไม่ได้ทำอะไรเสียหายพอจะให้ใครเอาไปนินทาได้หรอกครับ” เขาบอกเสียงขรึม

รพีพรรณเพียงแต่แค่นยิ้มอย่างไว้ตัวให้ชายหนุ่ม ผิดกับกมลเนตรที่เลือดฉีดขึ้นหน้าจนแดงก่ำ นึกเคืองเพราะคิดว่าถูกว่ากระทบ ทั้งๆ ที่ธิปกไม่ได้ตั้งใจพาดพิงไปถึงเรื่องส่วนตัวของเธอเลย

กมลเนตรขึ้นเสียงใส่ธิปกทันที “ถึงจะไม่มีอะไรก็เถอะค่ะแต่ใครจะรู้ว่าพวกคุณคุยอะไรกัน สู้นาราอยู่ห่างจากคุณไม่ดีกว่าหรือ จะได้ไม่มีใครมองผิดๆ”

กุลธิดาฉุนกึกตั้งแต่เห็นว่าที่เจ้าบ่าวผละจากเธอไปปกป้องผู้หญิงอื่นแล้ว เลยลุกจากเก้าอี้ตรงเข้ามาเกาะแขนธิปกไว้ ปากก็ช่วยเถียงเข้าข้างกมลเนตร เสียงเด็กสาวแหลมสูงพูดฉอดๆ รัวเร็วราวกับรถด่วน ทำเอาธิปกทั้งงงทั้งรำคาญ ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาต้องมาถูกผู้หญิงกลุ่มนี้รุมต่อว่าด้วย

ในเวลาเดียวกันรถรับจ้างก็พาอรสามาถึงห้างเรืองอำพัน เธอรีบเข้าไปถามหาธิปก จากนั้นอรสาไม่รอให้ลูกจ้างไปตามเจ้านาย แต่เดินลิ่วเข้าไปด้านในโดยไม่รอช้า แม้จะรู้สึกว่าหัวใจเต้นแรงผิดปกติ แน่นหน้าอกจนหายใจลำบาก แต่เพราะกำลังมีธุระร้อนเธอจึงไม่สนใจอาการตัวเอง

ห้องทำงานของธิปกอยู่ที่ชั้นห้า อรสาไม่คำนึงเรื่องมารยาทอีกต่อไปแล้ว พอขึ้นไปถึงเธอก็ตะโกนเสียงดังจนชายหนุ่ม นารา และสาวๆ ที่กำลังเล่นงานธิปกอยู่ในห้องพากันกรูออกมา

“ธิปก ฉันมีเรื่องสำคัญมากจะพูดกับเธอ”

ยังไม่ทันได้บอกเรื่องที่อัดอยู่ในใจมาตลอดทาง จู่ๆ ร่างผอมบางของอรสาก็ส่ายโงนเงน หน้าเผือดสีเหมือนจะเป็นลมลงไปตรงนั้น นาราต้องรีบเข้าไปประคองพาไปนั่งที่เก้าอี้รับแขก ส่วนพวกกุลธิดายังไม่ยอมกลับง่ายๆ จึงยืนมองอย่างอยากรู้อยากเห็นอยู่ห่างๆ

อรสาหยิบยาดมออกมาจากกระเป๋า สูดแรงๆหลายครั้ง หวังให้ช่วยคลายอาการหน้ามืด จากนั้นทั้งๆ ที่ยังไม่รู้สึกดีขึ้นเธอก็หยิบวัตถุทรงกลมล้อมด้วยกรอบสำริดออกมา

“นี่คือกระจกไขฟู่ เธอคงจำเรื่องที่อาเจ๊กเส่งที่ศาลเจ้าพูดได้ใช่ไหม วิศรุตมีมันมาตลอดเขาถึงได้รู้อะไรหลายๆ อย่างล่วงหน้าได้ ฉันเพิ่งขโมยออกมาจากห้องของเขาเมื่อครู่นี้เอง”

ธิปกและนารามองหน้ากัน ดวงตาวาววับด้วยความตื่นเต้น อรสาทำท่าจะพูดต่อแต่ฉับพลันอาการก็รุนแรงขึ้นมาอย่างกระทันหัน เธอยกมือกุมอก หน้าแดง อ้าปากหอบเสียงดัง

“คุณอรสาเป็นอะไรไปคะ” นาราอุทาน

ธิปกรีบเข้ามาพยุงเธอไว้ “ผมว่าไปหาหมอกันก่อนดีกว่า อย่าเพิ่งพูดเลยนะครับ”

แต่อรสาคว้าแขนเขาไว้แน่น ยัดกระเป๋าสตางค์ของตัวเองใส่มือธิปก บอกด้วยเสียงแหบพร่าขาดเป็นห้วงๆ

“โรงพยาบาลศิริราช…วิศรุต…สรวงอยู่ที่นั่น”

จบคำร่างผอมบางก็เอนพับลงในอ้อมแขนของชายหนุ่ม แขนขากระตุกเล็กน้อย ดวงตาสองข้างปิดสนิทเห็นขนตาหนาเป็นแพทาบอยู่บนผิวแก้มแดงก่ำ อรสาพยายามสูดลมหายใจเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะแน่นิ่งไป

มรณกรรมของอรสาถูกลงความเห็นว่าเกิดจากอาการหัวใจวายเนื่องจากความเหน็ดเหนื่อย มีพยานในเหตุการณ์หลายคนยืนยันตรงกันว่าอรสามาหาธิปกอย่างรีบร้อน หน้าตาตื่นตระหนก ตอนที่มาถึงก็หน้าซีดเผือดเหมือนจะเป็นลมอยู่ก่อนแล้ว จากนั้นเพียงคุยกันแค่ไม่กี่คำ เธอก็หมดลมหายใจไปเฉยๆ

นารากับธิปกไปร่วมงานสวดศพทุกคืน จนกระทั่งถึงวันเผาก็พบแม่นมแหวน ย่าของธิปกที่ปลีกตัวจากการดูแลธงชัยมาร่วมงานด้วย ทั้งคู่รอจนนมแหวนวางดอกไม้จันทน์ในเตาเผาเพื่ออำลาอรสาเป็นครั้งสุดท้ายแล้วจึงพาผู้ชรามานั่งในอุโบสถ ห่างจากแขกคนอื่นๆ เพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีใครได้ยินคำสนทนาที่อยากเก็บเป็นความลับ

ธิปกหยิบรูปใบหนึ่งออกมาจากกระเป๋า ส่งให้ย่าแหวน “ย่ารู้จักใครในรูปนี้บ้างไหมครับ”

รูปถ่ายเก่าๆ ใบนั้นถูกเก็บไว้ในกระเป๋าสตางค์ที่อรสายัดใส่มือธิปกก่อนจะสิ้นใจนั่นเอง ย่าแหวนแปลกใจอยู่บ้างที่เห็นรอยไหม้เกรียมรอบขอบรูป แต่พอมองลอดแว่นไปยังภาพคนหลายคนที่อยู่ในนั้น ผู้ชราก็อุทานออกมา

“นี่คุณอรสากับคุณบพิตรนี่”

รูปใบนั้นเป็นผลงานที่ไพศาลถ่ายไว้เมื่อสิบกว่าปีก่อน ในภาพจะเห็นอรสาและบพิตรยืนอยู่ติดกับรูปวาดสีน้ำมันของเด็กชายคนหนึ่ง ถัดไปทางซ้ายมือ เด็กชายซึ่งถือพู่กันไว้ในมือบอกให้รู้ว่าเป็นคนวาดกำลังยิ้มหน้าบานอยู่ข้างเด็กชายผู้เป็นนายแบบ ไพศาลระบุชื่อทุกคนไว้ด้านหลังว่า

‘วิศรุต กันต์ คุณบพิตร คุณอรสา’

“คุณบพิตรในรูปนี้คือคุณบพิตร ลูกชายคนเล็กของคุณมงคลใช่ไหมครับ” ธิปกถามย่าของเขา

“ใช่สิ ย่าเห็นคุณบพิตรโตมากับตาตัวเอง ไม่มีทางจำผิดหรอก”

ผู้ชรามัวแต่พิศดูรูปถ่าย จึงไม่ได้สังเกตเห็นการสบตากันอย่างเคร่งขรึมของนาราและธิปก

ท่าทางก่อนสิ้นใจของอรสาบอกให้รู้ว่าอะไรก็ตามที่อยู่ในกระเป๋าสตางค์ของเธอจะต้องสำคัญยิ่งยวด นาราจึงยอมเสียมารยาทเปิดดู แล้วก็พบรูปใบนี้ พอเห็นเธอก็คิดถึงคำบอกเล่าของจงกลนีขึ้นมาทันที

นาราจำได้ว่าจงกลนีเคยเล่าถึงไพศาลเพื่อนรักของเธอ ว่าไพศาลซึ่งเป็นครูสอนพิเศษของวิศรุต เคยถ่ายรูปครอบครัวของลูกศิษย์ไว้ใบหนึ่ง สืบเนื่องจากวิศรุตลูกศิษย์ของเขามีพรสวรรค์ในการวาดภาพสีน้ำมันอย่างหาตัวจับยาก ต่อมาวิศรุตได้วาดภาพเหมือนของเด็กชายที่ครอบครัวของเขารับอุปการะไว้ เด็กคนนั้นชื่อว่ากันต์ หลังจากวาดเสร็จ ไพศาลจึงเรียกคนในบ้านมารวมกันแล้วถ่ายรูปหมู่ไว้เป็นที่ระลึก

อะไรบางอย่างบอกนาราว่ารูปใบนี้น่าจะเป็นรูปที่ครูไพศาลถ่ายไว้นั่นเอง

ถ้าดูจากในรูปจะแยกแยะได้ไม่ยากว่าคนในภาพเป็นใครกันบ้าง แต่สิ่งที่น่าสนเท่ห์ก็คือเด็กชายกันต์ซึ่งหน้าตาเหมือนในรูปสีน้ำมันไม่มีผิด กลับมีเค้าหน้าแทบไม่ต่างจาก ‘คุณวิศรุต’ หลานชายของนายมงคลในปัจจุบันเลย เพียงแต่วิศรุตเป็นผู้ใหญ่จึงมีเค้าโครงใบหน้าคมสันกว่าเท่านั้น

ส่วนเด็กชายผู้เป็นคนวาดรูป กลับหน้าตาประพิมพ์ประพายเหมือนกับผู้ชายที่ยืนอยู่ข้างอรสาอย่างกับโขกออกมาจากแม่พิมพ์เดียวกัน ถ้าจะบอกว่าเป็นพ่อลูกกันก็ไม่เกินไปนัก

ธิปกและนาราประหลาดใจเกินกว่าจะปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไปเฉยๆ ทั้งคู่ไปคุยกับจงกลนีมาแล้ว น้องสาวของหม่อมภรณียืนยันว่าความทรงจำของนาราถูกต้องอย่างที่เข้าใจจริงๆ

ถ้ายึดตามเนื้อความที่ไพศาลเล่ามาและใบหน้าที่คล้ายคลึงของบุคคลในรูปถ่าย ก็มีความเป็นได้อย่างมากว่าเด็กชายกันต์ซึ่งเป็นผู้อาศัยในบ้านบพิตรเมื่อสิบกว่าปีก่อน ก็คือคุณวิศรุต กิตติไกรสีห์ในวันนี้ ส่วนเด็กชายวิศรุตตัวจริงกลับหายไปอย่างไม่น่าเชื่อ

เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่พอจะพลิกชีวิตใครบางคนให้ล้มคว่ำคะมำหงายได้เลยทีเดียว ก่อนจะทำสิ่งใดลงไปธิปกและนาราจึงต้องการคำยืนยันเพื่อไม่ให้มีข้อผิดพลาด ถึงได้มาหานมแหวน ขอให้ช่วยดูรูปอีกคน

เมื่อนมแหวนยืนยันหนักแน่นว่าผู้ชายในรูปคือคุณบพิตร ลูกชายคนเล็กของนายมงคล ธิปกก็มั่นใจได้ทันทีว่าเด็กผู้ชายที่ถือพู่กันอยู่นั้นจะต้องเป็นวิศรุตตัวจริง เพราะเขามีหน้าตาเหมือนกับบพิตรผู้เป็นพ่อจนไม่อาจคิดเป็นอื่น

พอได้หลักฐานครบถ้วน ธิปกก็ไปขอพบนายมงคล ถ่ายทอดเรื่องราวทั้งหมดอย่างละเอียดโดยมีรูปถ่ายที่ได้จากอรสาเป็นหลักฐาน เขาคาดคะเนไว้ว่านายมงคลคงไม่ยอมเชื่อง่ายๆ หรือไม่ก็อาจสะเทือนใจเกินกว่าจะยอมรับ ทว่าปฏิกิริยาของเศรษฐีใหญ่กลับเป็นการนั่งเฉย ทอดสายตามองรูปถ่ายใบนั้นอย่างครุ่นคิด

นับตั้งแต่ค้นพบความจริงว่าวิศรุตเป็นคนจัดฉากใส่ร้ายตวงพร ทั้งๆ ที่รู้อยู่แก่ใจว่าเรื่องนั้นจะต้องลุกลามมาเป็นภัยต่อตัวเขา ความรักที่นายมงคลมีต่อหลานชายก็เลือนหายไปกว่าครึ่ง ความคิดที่ว่าวิศรุตทำกับเขาได้ลงคอเหมือนไม่ใช่ปู่หลานกัน เป็นเสี้ยนชิ้นใหญ่ที่ฝังแน่นอยู่ในใจอย่างยากจะถ่ายถอน

บัดนี้พอได้เห็นรูปของบพิตรและเด็กชายที่ยิ้มร่าอยู่ในรูปถ่าย พิศดูเค้าหน้าที่เหมือนกันราวกับแกะ นายมงคลก็ปลงใจเชื่อโดยไม่มีข้อสงสัยว่าชายหนุ่มที่เขาโอบอุ้มเลี้ยงดูมาตลอดสิบกว่าปี ไม่ใช่หลานแท้ๆ ของตนเอง

ถ้าหากธิปกนำรูปนี้มาให้ดูในวันที่ยังมีความรักให้กันต์อย่างเต็มเปี่ยม ชายชราคงโทมนัสใจแทบขาด และอาจจะยอมอภัยให้อย่างไม่ยากเย็นเพราะเห็นแก่ความผูกพันที่ผ่านมา แต่ในเวลานี้ความรู้สึกของนายมงคลเต็มไปด้วยความโกรธและเจ็บแค้นมากกว่าอย่างอื่น

“ขอบใจที่แกมาบอกความจริงกับฉัน แทนที่จะปล่อยให้ฉันหน้ามืดตามัวหลงเลี้ยงไอ้เด็กไม่มีหัวนอนปลายเท้านั่นต่อไป”

เขาเอ่ยขึ้นเป็นประโยคแรกหลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง สมองที่แหลมคมทำให้เดาเหตุผลของอรสาได้ทันที

“สิบกว่าปีก่อนตอนที่อรสาบากหน้าจากสงขลามาหาฉัน เขากำลังอับจนหนทาง ผัวตาย บ้านถูกไฟไหม้ ส่วนลูก…ฉันเดาว่าก็คงจะตายเหมือนกัน คงเพราะอย่างนี้เขาถึงได้เอาเด็กที่อุปการะไว้มาหลอกว่าเป็นหลานชายฉัน”

นายมงคลขบกรามกรอด ไฟโทสะลุกโพลงขึ้นมาวูบหนึ่ง แต่แล้วพอคิดถึงความดีที่อรสาคอยปรนนิบัติดูแลเขามาหลายปี ชายชราก็ระบายลมหายใจยืดยาว ตัดสินใจยอมอภัยให้ลูกสะใภ้ผู้วายชนม์

“เอาเถอะ ไหนๆ อรสาก็ตายไปแล้วฉันไม่อยากพูดถึงอีก ส่วนไอ้ผู้ชายคนนั้นแกว่ามันชื่อกันต์ใช่ไหม ฉันจะไล่มันออกไปวันนี้ละ”

นายมงคลนิ่งไปอึดใจก่อนจะพูดต่อ “ที่จริงตั้งแต่ที่รู้ว่ามันวางแผนใส่ร้ายตวงพร ฉันก็ไม่ไว้ใจให้มันทำงานให้อีกแล้ว ฉันยอมรับว่ามันทำงานได้ดีเกินคาด แต่คนเจ้าเล่ห์อย่างมันไม่น่าจะใช้วิธีตรงไปตรงมา ยังไงมันก็ต้องหาทางลัดเลาะเอาเปรียบคนอื่นเขาจนได้”

ธิปกนึกถึงสินค้าที่เหมือนกับสินค้าของเขา แต่นำมาวางจำหน่ายตัดหน้าไปก่อนทุกครั้ง จนทำกำไรมากมายให้กับห้างไดมอนด์ที่กันต์ดูแลอยู่ มีหรือที่นายมงคลจะไม่รู้เรื่องนี้ และเมื่อรู้แล้วเขาก็คงคลางแคลงเหมือนที่ธิปกเคยนึกสงสัยว่ากันต์จะต้องวางหนอนบ่อนไส้ไว้ข้างตัวธิปก คอยสืบความลับและทำงานชั่วร้ายต่างๆ ให้

“ฉันสั่งให้คนไปสืบเรื่องเก่าๆ ที่มันทำแล้ว มีบางเรื่องที่มีพิรุธ อย่างเช่นเรื่องที่บอกว่าแกโกงบริษัท ฉันยอมรับว่าตอนนั้นฉันเชื่อหลักฐานที่มันหามาเพราะมันเป็นหลาน แล้วไหนจะไอ้นายชัชวาลเพื่อนของแกที่มายืนยันต่อหน้าฉันอีก ทุกอย่างมันสอดคล้องกันหมด ถึงฉันไม่อยากเชื่อก็ต้องเชื่อ”

ธิปกรู้ว่านายมงคลคงกระอักกระอ่วนและเสียหน้าไม่น้อยที่ต้องยอมรับว่าคนแก่ผู้ผ่านโลกมาโชกโชนอย่างเขา พลาดท่าเสียรู้ให้กับอุบายของเด็กรุ่นหลาน แต่สำหรับคนที่ถูกปรักปรำอย่างธิปก เมื่อได้ฟังก็ราวกับยกภูเขาออกจากอก

ชายหนุ่มไม่ได้สะใจเมื่อเห็นสีหน้าอึดอัดของฝ่ายตรงข้าม กลับนึกสงสารผู้มีพระคุณที่ต้องมาสะเทือนใจครั้งแล้วครั้งเล่า ทั้งๆ ที่ไม่ใช่ความผิดของเจ้าตัว

“ผมขอบพระคุณคุณท่านที่เข้าใจผม” ธิปกไหว้นายมงคลอย่างนอบน้อม “ผมขอยืนยันอีกครั้งว่าผมไม่เคยคิดคดทรยศท่านเลย และไม่มีวันจะทำด้วยไม่ว่าเมื่อไร ผมโตขึ้นมาได้เพราะข้าวแดงแกงร้อนที่ท่านเลี้ยงดู ผมไม่มีวันลืมพระคุณหรอกครับ”

แววตาของนายมงคลทอประกายอ่อนโยนขณะเอื้อมมือไปตบบ่าชายหนุ่ม ให้น้ำหนักของสัมผัสนั้นเป็นตัวแทนคำพูดที่เจ้าตัวไม่ได้เอ่ยออกมา สีหน้าที่เคร่งเครียดมาตลอดหลายวันแช่มชื่นขึ้น



Don`t copy text!