เหลี่ยมเล่ห์เรไร บทที่ 14 : ก่อนไวน์จะหมดขวด

เหลี่ยมเล่ห์เรไร บทที่ 14 : ก่อนไวน์จะหมดขวด

โดย : จันทร์จร

Loading

เหลี่ยมเล่ห์เรไร นวนิยายจากโครงการช่องวันอ่านเอาปี 4 โดย จันทร์จร…เมื่อความจริงถูกปกปิดไว้ด้วยอำนาจมืด และการหลบเลี่ยงความผิดของคนกลุ่มหนึ่ง เรไรจึงต้องออกมากระชากหน้ากากและเปิดโปงความฉ้อฉลนั้นด้วยตัวเอง เพื่อมอบความเป็นธรรมให้กับเหยื่อทุกคน ที่ยังรอให้ใครสักคนทำหน้าที่ลงโทษคนพวกนั้น นวนิยายสนุกๆ อีกหนึ่งเรื่องที่อ่านเอานำมาให้คุณได้อ่านที่ anowl.co

หลังจากปล่อยให้สองแม่ลูกได้มีเวลาอยู่ด้วยกันสักพัก เรไรก็ออกมาจากเซฟเฮาส์หลังนั้น และให้ทิพย์อยู่กับพวกเขาเพื่อคอยระวังอันตราย ส่วนเธอก็กลับมายังบ้านของทวิชที่เหลือเพียงเถ้าถ่าน มองดูความล่มสลายของชายผู้เคยเป็นคนที่ปกครองเธอมาตลอดสิบห้าปีด้วยสายตาที่ว่างเปล่า กับความมืดที่ล้อมรอบตัว

ทันใดนั้นก็มีรถแล่นเข้ามาจอดใกล้กัน ก่อนที่พฤกษ์จะก้าวออกมาจากรถ ใบหน้าของเขาแสดงอาการโล่งใจอย่างเห็นได้ชัดที่รู้ว่าแพะรับบาปของมูลนิธิ ได้ถูกช่วยเหลืออย่างปลอดภัยแล้ว เขามองไปยังเรไรและเศษซากของบ้านกลางความมืดที่อยู่เบื้องหลังของเธอ

“ผมไปหาคุณที่บ้านหลังนั้น แล้วคุณทิพย์บอกว่าคุณมาที่นี่” เขาพูดถึงบ้านที่เป็นสถานที่ปลอดภัยสำหรับสองแม่ลูก

“จู่ๆ ก็นึกถึงเรื่องเก่าๆ น่ะค่ะ ฉันเลยอยากจะมารำลึกความทรงจำสักหน่อย” เรไรหันไปตอบด้วยท่าทางสงบ แต่ดวงตาสะท้อนถึงไฟแห่งความมุ่งมั่น

“ผมเข้าใจครับ ส่วนเรื่องสองแม่ลูกเดี๋ยวเพื่อนของผมที่เป็นตำรวจจะพาพวกเขาไปอยู่ในที่ปลอดภัยในฐานะพยานคนสำคัญ ตอนนี้ข่าวกลายเป็นที่สนใจของสังคม ผมรับรองว่าจะไม่มีใครกล้าทำอันตรายทั้งสองคนแน่” เขาแสดงความมั่นใจ จะว่าไปในตอนนี้ก็มีตำรวจหลายคนเริ่มขยับตัวออกหน้าทำเรื่องนี้กันอย่างจริงจังแล้ว ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะกระแสข่าวที่โจมตีมูลนิธิจนไม่ค่อยมีใครกล้าออกรับแทนนั่นเอง

“ขอบคุณนะคะ”

“แล้วคุณจะกลับคอนโดเลยหรือเปล่า” พฤกษ์ถามถึงที่อยู่ใหม่ของเธอ ซึ่งเขาเองก็ไม่เคยไป ได้แต่รับรู้ผ่านคำพูดเท่านั้น และดูเหมือนเรไรจะตั้งใจเก็บงำเรื่องที่อยู่ตัวเองไว้เป็นความลับจากทุกคนด้วย

“ยังค่ะ เจอคุณก็ดีเหมือนกัน ตอนนี้ฉันพร้อมสำหรับขั้นตอนต่อไปแล้ว” เธอมองหน้าเขาด้วยดวงตาเป็นประกาย “ได้เวลาที่จะต้องกำจัดมาดามลอร่าแล้วค่ะ”

“มาดามลอร่าไม่ใช่คนที่ควรเป็นศัตรูด้วยนะ คุณก็น่าจะรู้” พฤกษ์ถามอย่างสงสัย คิ้วของเขาขมวดและเริ่มมองเธออย่างเป็นกังวล

“ค่ะฉันรู้…” เรไรหัวเราะเบาๆ ตัดกับบรรยากาศอันเงียบสงัด “มาดามลอร่าไม่ใช่คนที่ฉันควรเป็นศัตรูด้วยก็จริง แต่เธอก็ทำให้ฉันรู้ว่าใครกันที่สร้างตัวตนใหม่ให้มธุกร เบื้องหลังของมาดามลอร่าคือธุรกิจปลอมแปลงและสวมบัตรต่างด้าว หลอกล่อนักลงทุนจากแผ่นดินใหญ่ที่ต้องการมาทำธุรกิจผิดกฎหมายให้เข้ามาโดยง่าย สิ่งนี้เราไม่ควรเปิดเผยให้สังคมรับรู้เหรอคะ”

“ผมเข้าใจสิ่งที่คุณกำลังจะบอกนะคุณเรย์ แต่ที่ผมสงสัยก็คือ ที่คุณเข้าหามาดามลอร่าก็เพราะอยากจะเปิดโปงเรื่องพวกนี้น่ะเหรอ” ถึงจะรู้ว่าคนอย่างเธอทำทุกอย่างเพราะมีเหตุผล แต่เขากลับไม่ทันคิดว่าเธอจะเอาตัวไปเสี่ยงเช่นนี้

“บางครั้งถ้าอยากได้ลูกเสือ เราก็ต้องเข้าถ้ำเสือค่ะ ฉันยอมเป็นเบี้ยของมาดามลอร่า เพราะมันคือส่วนหนึ่งของแผนการที่จะเปิดโปงตัวตนของมธุกร มาดามลอร่าเป็นอีกหนึ่งคนที่ฟอกเงินผ่านมูลนิธิ ตอนนี้ฉันสืบได้หมดแล้วว่ามีบริษัทไหนที่เป็นนอมินีของเธอบ้าง โชคดีที่ทั้งเธอและมธุกรถึงจะมีผลประโยชน์ร่วมกัน แต่ทั้งสองก็ไม่ค่อยลงรอยกัน เลยทำให้ฉันสามารถแทรกตัวเข้าไปตรงกลางรอยร้าวได้ง่าย” แววตาของหญิงสาวเป็นประกายขณะที่เธอตอบเขา

“คุณเรย์ รู้ตัวไหมว่าคุณกำลังอยู่บนเส้นทางที่อันตราย การทำให้พวกเขาต่อสู้กันเองมันอาจทำให้…”

พฤกษ์กำลังจะพูดต่อ แต่ถูกหญิงสาวยกมือขึ้นหยุดเขาเสียก่อน

“ถ้าฉันไม่เอาตัวเข้าไป จะรู้ได้ยังไงว่ามีใครอยู่เบื้องหลังมธุกรอีกบ้าง ตอนนี้เหลือแค่ให้มาดามลอร่ายอมคายหลักฐานการสร้างตัวตนใหม่ของมธุกรเท่านั้น”

เกิดความเงียบขณะที่ทั้งสองจ้องมองตากันและกัน ความตึงเครียดระหว่างพวกเขาเพิ่มขึ้นตามสิ่งที่ต่างฝ่ายต่างคิด เวลานั้นเองที่เรไรก้าวเข้ามาใกล้ชายหนุ่มมากขึ้น ดวงตาเป็นประกายจับจ้องอยู่กับเขา เธอเอื้อมมือขึ้นและใช้นิ้วชี้ลากผ่านกลางคิ้วที่ขมวดของเขาอย่างแผ่วเบา

“นี่…ฉันมีบางอย่างจะให้ แต่ขอให้คุณเชื่อใจฉันนะ”

ก่อนที่พฤกษ์จะได้ตอบอะไร หญิงสาวก็เขย่งปลายเท้าและประทับจูบอย่างอ่อนโยนบนริมฝีปากของเขา มันสั้นเพียงเสี้ยววินาที แต่ก็พอที่จะทำให้หัวใจของชายหนุ่มเต้นแรง เมื่อกลับมาที่เดิม เธอก็ส่งยิ้มให้เขาเป็นสัญญาที่ว่าเธอจะทำเรื่องนี้สำเร็จให้จงได้

“ฉันจะไม่ปล่อยให้พวกมันชนะ หลังจากได้หลักฐานทั้งหมดแล้ว เราจะเปิดโปงคนพวกนี้”

พฤกษ์ทำได้เพียงพยักหน้า และชั่งน้ำหนักของความหมายคำพูดเธอ ทั้งสองต่างถอนหายใจ และเขาก็ได้เอามือสางผมก่อนจะหันกลับมามองเธออีกครั้ง รู้ตัวอีกทีเขาก็ดึงเธอเข้ามากอดไว้แล้ว

“ผมจะไม่ปล่อยให้คุณต้องสู้อยู่คนเดียวเรย์ คุณยังมีผม…”

ในความเงียบที่ตามมา เรไรเงยขึ้นมองใบหน้าของเขา มุมปากเธอยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเล็กๆ มันเป็นยิ้มที่แสดงถึงความรู้สึกอบอุ่นและขอบคุณ เป็นรอยยิ้มที่เธอไม่ได้ส่งให้ใครมานานมากแล้ว นี่คือครั้งแรกซึ่งรอมาเนิ่นนานเหลือเกินที่เธอนั้นรู้สึกมีความหวังกับชีวิตขึ้นมาอย่างเต็มหัวใจ

“ขอบคุณค่ะ…พฤกษ์” เธอกระซิบแล้วแนบศีรษะไปซบไว้ที่ซอกคอของชายหนุ่ม มืออันแข็งแรงของเขาประคองหลังศีรษะไว้เบาๆ หัวใจของทั้งสองเต้นเป็นจังหวะสม่ำเสมอ มันเป็นช่วงเวลาที่ทำให้พวกเขาใกล้ชิดกันมากขึ้น รวมถึงเป็นสัญญาณแห่งความหวังในการต่อสู้ร่วมกัน

 

เช้าวันต่อมา พฤกษ์ก็ตัดสินใจที่จะทำในสิ่งที่ต้องทำ เขาตื่นขึ้นมาแล้วตรงไปที่ห้องทำงาน นั่งลงตรงหน้าคอมพิวเตอร์ ซึ่งเป็นเพียงแสงสว่างเดียวจากหน้าจอในห้องเท่านั้น ชายหนุ่มหยุดคิดเพียงครู่หนึ่ง ตัดสินใจกดนิ้วลงบนแป้นพิมพ์ ในฐานะนักข่าวอิสระเขากำลังเปิดเผยเรื่องที่น่าตกใจ เกี่ยวกับธุรกิจของมาดามลอร่า และความเกี่ยวข้องระหว่างเธอกับมูลนิธิ แน่นอนเขารู้ดีว่ามันเสี่ยง แต่มันก็เป็นสิ่งที่จำเป็น เพื่อทำให้ทั้งสองฝ่ายต้องออกมาทำอะไรบางอย่างเกี่ยวกับเรื่องนี้

โชคดีที่ช่วงนี้มีข่าวการจับกุมชาวต่างชาติที่ปลอมแปลงหลักฐานทำบัตรต่างด้าวบ่อย และมันทำให้สิ่งที่เขาเขียนนั้นมีความน่าสนใจมากขึ้น

เมื่อพิมพ์ทุกอย่างเสร็จแล้ว เขาก็หยุดลงครู่หนึ่ง มองเคอร์เซอร์ที่วางอยู่เหนือปุ่ม ‘โพสต์’ บนแฟนเพจของเขา พฤกษ์หายใจลึกๆ ก่อนจะกดคลิก แล้วทำการปล่อยข้อมูลทุกอย่างสู่โลกออนไลน์ เนื้อความกล่าวถึงธุรกิจผิดกฎหมายของมาดามลอร่า การสร้างหลักฐานปลอมเพื่อทำบัตรต่างด้าว นักลงทุนต่างชาติที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับอาชญากรรมหลายรูปแบบ ความเชื่อมโยงระหว่างเธอกับตัวตนที่คลุมเครือของมธุกร โยงไปถึงมูลนิธิใหญ่ที่กลายเป็นการฉีกหน้ากากนักบุญออกมาอย่างไม่เกรงกลัว

ทันทีที่ข้อความของเขาได้เผยแพร่ออกไป เพจของเขาก็เต็มไปด้วยความคิดเห็น การแชร์ และข้อความมากมาย จากผู้คนที่มีทั้งเชื่อและไม่เชื่อ ความตกใจและโกรธเคืองผสมกันไป ตอนนี้มาดามลอร่าผู้เป็นที่นับถือ และมธุกรหญิงใจบุญผู้มีชื่อเสียง กำลังตกอยู่ภายใต้ไฟของความอยากรู้ จากคนในโลกโซเชียลที่พร้อมจะขุดคุ้ยหาคำตอบ และมันอาจใช้เวลาไม่นานสำหรับสื่อกระแสหลักที่จะเกาะติดข่าวดังกล่าวด้วย

ระหว่างที่พฤกษ์กำลังคาดหวังกับสิ่งที่ใกล้จะเกิดขึ้น ทันใดนั้นมือนุ่มที่อ่อนโยนก็วางลงบนไหล่ของเขา เมื่อหันหลังกลับไปก็ได้เห็นเรไร ซึ่งคงเพิ่งตื่นมาและเห็นความเคลื่อนไหวในโลกออนไลน์ เห็นได้ชัดจากใบหน้าที่แสดงความกังวลออกมา

“คุณรู้ใช่ไหมคะ ว่าพวกเราไม่มีทางหันหลังกลับได้อีกแล้ว”

“ผมรู้ แต่ยังไงผมปล่อยให้คุณทำคนเดียวไม่ได้หรอกเรย์ มันอาจถึงเวลาแล้วที่ผมต้องก้าวเข้าไปเล่นเกมนี้ด้วย” น้ำเสียงของเขาหนักแน่นมั่นคง จากที่ได้รับรู้เรื่องที่เธอต้องเผชิญมา มันต้องมีใครสักคนที่ช่วยเธอได้ และบังเอิญว่าตอนนี้เขาอยากเป็นใครคนนั้น

“ทั้งที่รู้ว่าฉันไม่อยากให้คุณไปเสี่ยงน่ะเหรอ” เรไรส่ายหน้าและกำหมัดแน่น เมื่อนึกถึงสิ่งที่คนอยากจะเปิดโปงมธุกรต้องเผชิญ ไม่ว่าจะเป็น สส.อิทธิพล หรือแม้แต่โมรีที่ไม่อาจทำอะไรได้เลย แน่นอนว่าคนเหล่านั้นเธอไม่ได้สนใจที่พวกเขาถูกบังคับให้หายไป ในทางกลับกันมันเป็นการดีต่อการสั่นคลอนฐานอำนาจของมธุกรโดยไม่ต้องลงมือเองเลยด้วยซ้ำ

ทว่ากับพฤกษ์…เขานั้นสำคัญกับเธอเกินกว่าที่จะเห็นเขาเป็นอันตรายได้

“ไม่ต้องกังวลหรอกเรย์ ต่อจากนี้ผมจะดูแลและคอยอยู่เคียงข้างคุณ” เขาเอื้อมมือไปแตะมือเธอ แล้วบีบไว้เบาๆ อย่างปลอบประโลม

ชายหนุ่มลุกขึ้นมาจากเก้าอี้ เขาหันไปหาเธอและเห็นความหวั่นไหวในดวงตาคู่นั้น พฤกษ์ดึงเธอเข้ามาใกล้จนหน้าผากชิดกัน แล้วใช้มือลูบแก้มนวลอย่างแผ่วเบา

“เชื่อผมนะเรย์” เขากระซิบด้วยสายตาที่ไม่ละไปจากหญิงสาว “เราจะผ่านเรื่องนี้ไปด้วยกัน”

ว่าแล้วเขาก็เชยคางของเธอขึ้น แล้วจุมพิตเรไรอย่างแผ่วเบา คำสัญญาก่อตัวขึ้นอย่างเงียบๆ ระหว่างพวกเขา ซึ่งหมายถึงการยืนหยัดที่จะต่อสู้ต่อความอยุติธรรม และอำนาจมืดที่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ทั้งสองก็จะไม่มีวันปล่อยมือจากกันโดยเด็ดขาด

 

ในด้านของมธุกร ผู้ที่คิดไว้เสมอว่าวันนี้จะต้องมาถึง แม้ว่าเธอจะภาวนามาตลอดว่าขออย่าให้เป็นเร็วๆ นี้ก็ตาม จากข่าวที่ถูกปล่อยออกมาเรื่องธุรกิจปลอมแปลงเอกสารทำบัตรของมาดามลอร่า รวมถึงการตั้งข้อสงสัยเรื่องการฟอกเงินโดยผ่านมูลนิธิการกุศลที่ไม่เอ่ยชื่อ ทำให้กระแสส่วนหนึ่งเริ่มสงสัยเกี่ยวกับตัวตนที่มาของมธุกร เศรษฐินีหม้ายที่ได้สัญชาติเพราะแต่งงานกับข้าราชการ

แต่เบื้องหลังต่อจากนั้นล่ะ เธอเข้ามาในประเทศได้อย่างไร และร่ำรวยมาจากไหน กลายเป็นเรื่องที่คนให้ความสนใจ และแม้แต่เสียงซุบซิบจากพนักงานในมูลนิธิก็เช่นกัน ดูได้จากพาดหัวข่าวที่สว่างวาบจากหน้าจอโทรศัพท์มือถือของแต่ละคน มันยิ่งทำให้มธุกรรู้สึกเหมือนเสียงเรียกจากอดีตกำลังจะมาหลอกหลอนเธอในปัจจุบัน

หญิงสูงวัยที่ยังตามหาความสำเร็จให้ตัวเองไม่หยุดหย่อน กำลังนั่งคนเดียวในห้องทำงานหรูหรา ตอนนี้แสงไฟยามค่ำคืนของเมืองทอดยาวรอบตัวเธอ ยิ่งทำให้ความเย็นยะเยือกของความโดดเดี่ยวเด่นชัดขึ้น เธอไม่ใช่ทับทิม เธอทิ้งตัวตนนั้นไปแล้วซึ่งแม้แต่ลูกชายคนเดียวอย่างภมรก็ด้วย ถึงเขาจะยังมองเธอเป็นแม่คนหนึ่งเหมือนเดิมก็เถอะ

ทว่าเวลานี้เธอกลับรู้สึกอ่อนแอ เพราะความลับที่เก็บไว้อย่างแน่นหนากำลังเสี่ยงที่จะถูกเปิดเผย

มธุกรรู้สึกสั่นสะท้านเมื่อนึกถึงเรื่องที่ผ่านมา อดีตที่เธอฝังไว้กับซากศพของหญิงผู้นั้นอย่างรัดกุม มันกำลังจะปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง ความน่ากลัวของมัน อาจทำลายชีวิตที่เธอสร้างภาพลักษณ์มากมายเป็นกรอบครอบตัวเองเอาไว้ หากพวกมันทำสำเร็จ สิ่งเหล่านั้นก็จะสลายไปในทันที ในตอนที่ความจริงของเธอในฐานะนางทับทิมถูกเปิดเผย

“ฉันจะไม่มีวันให้มันทำอย่างนั้นแน่” เธอหมายมั่นที่จะปกปิดทุกอย่างให้จงได้ ตัวตนที่แท้จริงคือความลับที่ลึกที่สุด ความกลัวที่จะถูกเปิดโปง กลัวการล้างแค้น ความกลัวที่จะสูญเสียชีวิตที่เธอสร้างขึ้น จากเอกสารที่มาดามลอร่าทำให้ทั้งหมด

ความจริงที่น่าสะพรึงกลัวอีกอย่างคือ การสงสัยต่อข่าวลือ เสียงกระซิบปากต่อปาก คำพูดที่ใครคนบางคนแค่ใช้มือพิมพ์ แต่กลับสร้างอำนาจในการเชื่อมโยงความเชื่อของคนอื่นไว้อย่างได้ผล แม้จะไม่เป็นจริงในทีแรกแต่มันก็อาจเป็นแหที่เหวี่ยงมาถูกเธอเข้าสักวัน และนั่นเป็นครั้งแรกที่มธุกรรู้สึกถึงความหวาดกลัวที่กัดกินจิตใจ

และในห้องทำงานอันหรูหราในยามค่ำคืนนี้ มาดามลอร่าก็กำลังเดินไปมา รองเท้าส้นสูงของเธอกระทบพื้นเป็นจังหวะร้อนใจ เพราะข่าวที่ถูกปล่อยกำลังดังไปทุกหนแห่ง เบื้องหลังของพวกเธอถูกขุดคุ้ย พาดหัวข่าวแต่ละสำนักตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับฉากหลังของนักธุรกิจหญิง และหญิงใจบุญแห่งมูลนิธิโลกในฝัน เธอประเมินเรไรต่ำไป และนี่คือสิ่งที่เธอได้รับจากความประมาทในครั้งนี้

ด้วยความเครียดจึงยิ่งสีหน้าของเธอเคร่งขรึม และเห็นร่อยรอยของวัยชัดขึ้น มาดามลอร่าหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดหมายเลขของมธุกร ซึ่งเจ้าตัวรู้ดีว่าไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว เสียงรอสายดังขึ้นสองครั้งก่อนที่ปลายสายจะรับ

“มธุกร…เราต้องหาทางระงับข่าวนี้” มาดามลอร่าพยายามทำเสียงให้สงบ ในระหว่างเริ่มการสนทนาที่เคร่งเครียด

“ทำไมฉันต้องช่วยคุณด้วยลอร่า คุณเองที่ไว้ใจนังงูเห่าน้อยตัวนั้น เพื่อมากำจัดฉัน” มธุกรส่งเสียงหัวเราะเย้ยหยัน

มาดามลอร่ารู้สึกเจ็บในใจ ด้วยความจริงมันจุกเกินกว่าที่เธออยากจะยอมรับ

“รู้ได้ยังไงว่าเป็นเรไร”

“เพราะฉันรู้จักนังนั่นดี มันตั้งใจที่จะทำลายพวกเราทั้งหมด และคุณเองก็ควรจะรู้เอาไว้ด้วยมาดาม” น้ำเสียงของมธุกรเย็นชาและแข็งกร้าว

“แต่ถ้าเธอไม่ช่วยฉัน สาบานได้เลยว่าหลักฐานการปลอมแปลงตัวตนทั้งหมด มันจะถูกเปิดเผยทันทีที่ฉันถูกจับ หรือจะร้ายกว่ามาก…หากงูน้อยตัวนั้นอยากได้มัน” มาดามลอร่าโต้กลับด้วยไพ่ใบสุดท้าย แน่นอนว่ามันทำให้มธุกรชะงักไปนานก่อนจะหัวเราะออกมาอีกครั้ง

“ช่วยตัวเองให้รอดก่อนเถอะลอร่า คนที่กำลังถูกลากไส้ตอนนี้น่ะ คือคุณไม่ใช่ฉัน ที่สำคัญ…คนที่อยากปิดปากคุณก็ไม่ใช่แค่คนตัวเล็กอย่างฉันด้วย แต่เป็นใครบางคนที่ใหญ่กว่าเรามาก…หวังว่าคุณจะเข้าใจ” มธุกรเยาะเย้ย

และเพียงคลิกเดียว สายก็ถูกตัดขาด ทิ้งมาดามลอร่าไว้กับห้องทำงานที่เงียบสงัด สถานการณ์เริ่มกดดันเธออย่างหนัก อำนาจและทรัพย์สินที่เธอสร้างมาหลายปี ตอนนี้กำลังใกล้จะพังทลายและต้อนเธอเข้ามุม ขณะเดียวกันความคิดที่จะหลบหนีกำลังก็แล่นเข้ามาเช่นกัน

ตอนนั้นเองที่โทรศัพท์ของเธอดังขึ้น ทำลายความเงียบที่ปกคลุมห้องทำงาน มาดามลอร่ารับสายโดยไม่สนว่าใครกันที่โทร.หา

“สวัสดีค่ะ มาดามลอร่า” เสียงเย็นๆ ของเรไรดังมาจากปลายสาย “หลักฐานที่คุณมีอยู่ ฉันต้องการมันค่ะ เอกสารที่คุณใช้สร้างตัวตนของมธุกร แลกกับทุกข่าวที่ฉันกำลังจะเปิดเผยเกี่ยวกับตัวคุณ”

“แกหักหลังฉัน นังเรไร! แกหลอกใช้ฉัน!” ความโกรธพลุ่งพล่านในตัวลอร่า จนเกือบจะไม่ได้ยินสิ่งที่เรไรพูด

“ฉันไม่ได้หักหลังคุณค่ะ มาดาม…ฉันก็แค่ใช้โอกาสที่คุณหยิบยื่นมาทำให้เกิดประโยชน์สูงสุดเท่านั้น” เรไรตอบกลับมาอย่างใจเย็น

มาดามลอร่าพูดไม่ออกอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็กดวางสายด้วยมือที่สั่นเทา โลกที่เคยยอมสยบให้กับเธอบัดนี้กำลังหันอาวุธมาใส่ และเธอก็กำลังโกรธที่ทำอะไรไม่ได้อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน หญิงสูงวัยได้แต่กรีดร้อง ด้วยเสียงดังก้องอยู่ในห้องทำงานภายในคฤหาสน์ของตัวเองอย่างแค้นใจ

 

นานมากพอที่จะทำให้ทุกอย่างหยุดภายใต้ความสงบ มาดามลอร่านั่งอยู่ในความเงียบสงัดในคฤหาสน์ของเธอ เจ้าของบ้านสะดุ้งเมื่อพ่อบ้านเข้ามาในห้อง ถือถาดที่มีขวดไวน์และแก้ว เป็นไวน์ชั้นดีสีแดงเข้มเข้ากับอารมณ์ที่ปกคลุมคฤหาสน์อยู่ตอนนี้

“เอามันมาทำไม” มาดามลอร่าถาม ด้วยน้ำเสียงเบาจนแทบจะเป็นเสียงกระซิบ

“มาดามดูเครียดมากนะครับ ผมคิดว่าไวน์สักแก้วน่าจะช่วยท่านได้” พ่อบ้านตอบเบาๆ

ขวดไวน์จุดประกายความทรงจำในใจของเธอ มันเป็นยี่ห้อเดียวกับที่มธุกรเคยมอบให้เป็นของขวัญเมื่อนานมาแล้ว ทีแรกก็ว่าจะไม่ดื่ม เพียงแต่เห็นฉลากที่ดูท่าจะเป็นของใหม่ เธอจึงสั่งให้พ่อบ้านเทใส่แก้วให้ มือของหญิงสูงวัยมั่นคงขณะที่โอบนิ้วรอบก้านแก้วคริสตัล

มาดามลอร่ามองไปที่ของเหลวสีแดงทับทิม ความคิดกำลังพุ่งพล่านเมื่อเห็นสีของไวน์ที่แกว่งไปมาตามจังหวะ ถ้านี่เป็นเครื่องดื่มแก้วสุดท้ายของเธอล่ะ จะเป็นอย่างไรหากปล่อยให้ตัวเองถูกกระแสแห่งโชคชะตาพัดพาไปในโลกที่ไม่ใช่ปัจจุบันนี้

ว่าแล้วเธอก็หัวเราะ พร้อมกับหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดหมายเลขที่โทร.เข้าเครื่องมาล่าสุด เมื่อเรไรรับสาย มาดามลอร่าก็เอ่ยออกมา

“ทุกอย่างขึ้นอยู่กับเวลาแล้ว…เรไร แกจะมาถึงเร็วแค่ไหน ก่อนที่ฉันจะดื่มไวน์หมดขวดรึเปล่านะ รีบมา…ก่อนที่ฉันจะเปลี่ยนใจ” มาดามลอร่าบอกด้วยน้ำเสียงมั่นคงแล้วจึงกดวางสาย

ลอร่าทอดกายลงบนโซฟาเบดอย่างอ่อนแรง ขณะที่กำลังยกแก้วไวน์ขึ้นส่องกับแสงสว่าง มองดูของเหลวสีแดงทับทิมระยิบระยับ รู้สึกได้ถึงน้ำหนักของธุรกิจสีเทาที่แบกเอาไว้ ราวกับกำลังเฝ้ามองเวลาของทรายที่กำลังจะหมดลง ซึ่งแต่ละเม็ดสะท้อนถึงเสียงนาฬิกาที่อาจนำทางไปสู่จุดจบที่ไม่อาจเลี่ยงได้

ห้องนั่งเล่นถูกปกคลุมด้วยความเงียบ มีเพียงเสียงหายใจของเธอที่สั่นออกมาเป็นครั้งคราวเท่านั้น บทสนทนาล่าสุดของเธอกับเรไรดังก้องอยู่ในหู เหมือนเป็นการโหมโรงที่เยือกเย็นที่สุดก่อนมหันตภัยใหญ่กำลังใกล้เข้ามา

มาดามลอร่าจิบไวน์ต่อโดยไม่รู้ตัวถึงแผนการร้าย ครู่หนึ่งที่ทุกอย่างดูเป็นปกตินั้น เธอยังรู้สึกถึงไวน์รสเข้มข้นแต่นุ่มนวล คล้ายเป็นการพักผ่อนชั่วคราวจากความวุ่นวายที่ปกคลุมชีวิต

แต่แล้วก็มีบางอย่างผิดปกติ…

ความแสบร้อนเริ่มคืบคลานมาที่คอ มันรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ผู้สูงวัยสำลักและเริ่มหายใจลำบาก แก้วคริสตัลหลุดจากมือและกระแทกลงบนพื้น เสียงแตกของมันดังทำลายความเงียบงันภายในห้อง มาดามลอร่ากุมมือรอบคอตัวเอง ดวงตาเบิกกว้างด้วยสำนึกถึงชะตากรรมอันน่าสะพรึงกลัวที่กำลังต้องเผชิญ

นัยน์ตาฝ้าฝางมองไปที่ขวดไวน์ ในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต สมองของเธอกำลังเชื่อมต่อความเป็นไปได้ต่างๆ ไวน์…ของขวัญ…และการทรยศหักหลัง ร่างของเธอสะดุดล้มลงกับพื้น พิษนั้นรวดเร็วและรุนแรง ในชั่วพริบตามาดามลอร่าซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นผู้เล่นที่ทรงพลังในเกม ก็ไม่เหลืออะไรบนโลกนี้อีกแล้ว

 



Don`t copy text!