เหลี่ยมเล่ห์เรไร บทที่ 15 : หายไปอีกหนึ่ง

เหลี่ยมเล่ห์เรไร บทที่ 15 : หายไปอีกหนึ่ง

โดย : จันทร์จร

Loading

เหลี่ยมเล่ห์เรไร นวนิยายจากโครงการช่องวันอ่านเอาปี 4 โดย จันทร์จร…เมื่อความจริงถูกปกปิดไว้ด้วยอำนาจมืด และการหลบเลี่ยงความผิดของคนกลุ่มหนึ่ง เรไรจึงต้องออกมากระชากหน้ากากและเปิดโปงความฉ้อฉลนั้นด้วยตัวเอง เพื่อมอบความเป็นธรรมให้กับเหยื่อทุกคน ที่ยังรอให้ใครสักคนทำหน้าที่ลงโทษคนพวกนั้น นวนิยายสนุกๆ อีกหนึ่งเรื่องที่อ่านเอานำมาให้คุณได้อ่านที่ anowl.co

เวลานั้นเองที่อีกด้านหนึ่งของประตู เรไรและพฤกษ์ต่างมองหน้ากันอย่างเคร่งเครียด ก่อนจะผลักประตูให้เปิดออก สายตาของพวกเขามองไปที่ร่างไร้วิญญาณของมาดามลอร่า โดยมีขวดไวน์เปล่าอยู่ข้างๆ ซึ่งมันเป็นจังหวะที่ไม่ดีเลย ที่พวกเขายังอยู่ตรงนี้ท่ามกลางความเงียบ และร้างไร้ผู้คนของคฤหาสน์หลังโต

ในความสับสน ตกใจ และไม่เชื่อในสิ่งที่เห็น พฤกษ์เริ่มค้นของในห้องของมาดามลอร่าอย่างสิ้นหวัง ความเป็นระเบียบเรียบร้อย ความหรูหรา แทนที่ด้วยความโกลาหลอย่างรวดเร็ว ในขณะที่ชายหนุ่มกำลังค้นเอกสารต่างๆ และทิ้งกระดาษเกลื่อนกระจายเพื่อตามหาหลักฐานอย่างบ้าคลั่ง

เรไรเฝ้ามองดูสิ่งที่ชายหนุ่มกำลังทำอย่างเงียบๆ ด้วยท่าทางสงบ ตรงกันข้ามกับความร้อนรนของพฤกษ์อย่างสิ้นเชิง

“พฤกษ์…” เธอเรียกเขา ด้วยระดับเสียงที่เบาบางและสงบนิ่ง “ไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว ป่านนี้…มธุกรคงได้หลักฐานทั้งหมดไปแล้ว”

เธอค่อยๆ หันไปสนใจขวดไวน์ที่ว่างเปล่า เป็นอีกรายแล้วที่ต้องสังเวยให้กับการกระทำผิดของตนเอง ความเดือดดาลเริ่มก่อตัวภายใต้รูปลักษณ์ภายนอกที่สงบนิ่ง ขณะที่กำลังคิดอยู่นั้น เศษปริศนาก็เริ่มปะติดปะต่ออยู่ในใจ ถึงภาพการตายของแม่ที่เริ่มค่อยๆ กระจ่างขึ้น

รายงานการชันสูตรโครงกระดูกนั่น ระบุว่าไม่มีบาดแผลจากกระสุนปืน มธุกรบอกว่าแม่กระโดดน้ำลงไปเองซึ่งไม่มีทางเป็นไปได้ นั่นเป็นสิ่งที่ค้างในใจมานานว่าเหตุใดแม่ถึงอยู่ในรถคันนั้น โดยที่เสื้อผ้าเป็นของนางทับทิม ดังนั้นทางเดียวที่จะเกิดขึ้นได้คือ แม่ต้องตายก่อนที่จะเข้าไปอยู่ในรถคันนั้น ตอนนี้ขวดไวน์ที่อยู่ตรงหน้า คือกุญแจไขปริศนาอันน่าสยดสยองที่เริ่มก่อตัวในจิตใจ

“มันใช้ยาพิษ…” เรไรพึมพำ คำพูดดังก้องอยู่ในห้อง ตามมาด้วยความเงียบอย่างหนัก กับการเปิดเผยอันแสนน่ากลัวของหญิงสาว

พฤกษ์หยุดค้นหาชั่วคราว ในมือยังมีกระดาษเอกสารที่ไม่มีความหมายอะไรแล้ว เขาค่อยๆ หันหน้าไปหาหญิงสาวด้วยแววตาสับสน

“ยาพิษ?” เขาสะท้อนคำพูดของเธอที่วนเวียนไปมาอยู่ในหัว

“ใช่ แม่ของฉันก็คงเจอแบบเดียวกัน” น้ำเสียงขมขื่นตอบ รู้สึกได้ถึงความเย็นยะเยือกที่คืบคลานเข้ามาในหัวใจ

“คุณเชื่อแบบนั้นเหรอ…” ดวงตาของพฤกษ์เบิกกว้างด้วยความตกใจ เขาแทบไม่เชื่อคำพูดที่ออกมาจากปากเรไร เพราะยังมีปริศนาอีกหลายอย่างที่อาจเกี่ยวข้องกับการตายของมาดามลอร่า แต่นี่…มันเกินความเข้าใจของเขาไปไกลมาก

“มันต้องเป็นแบบนั้นแน่” เรไรยืนยัน ตอนนี้เสียงของเธอสั่นจนแทบจะรู้สึกถึงความหวาดหวั่นในใจ “ทั้งสองคนไม่มีร่องรอยอื่นในศพเหมือนกัน มีคนตั้งใจทำให้แม่ฉันตาย…เหมือนกับมาดาม”

“…แต่คุณจะแน่ใจได้ยังไง” พฤกษ์ถามและส่ายศีรษะ ราวกับกำลังกำจัดตัวเองออกจากความจริงที่น่าสะพรึงกลัวที่เริ่มก่อตัวขึ้น

“มองไปรอบๆ ตัวคุณสิพฤกษ์” หญิงสาวชี้ไปที่รอบตัวของพวกเขา เอกสารที่ถูกรื้อทิ้ง และแก้วไวน์ที่ยังแตกกระจาย “นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นกับมาดามลอร่า และฉันมั่นใจว่าคนที่อยู่เบื้องหลังเป็นคนเดียวกับคนที่ฆ่าแม่”

ชายหนุ่มกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก ความโดยนัยจากคำพูดของเธอแทรกซึมเข้าไปในความคิด เมื่อสถานการณ์โดยรอบเริ่มสนับสนุนคำพูดเรไร เขารู้สึกเย็นไปถึงกระดูกสันหลัง ความโหดเหี้ยมของคนพวกนี้เกินกว่าที่จะจินตนาการเอาไว้ และเป็นการมองข้ามชีวิตของคนอย่างแท้จริง

“พฤกษ์…” เสียงของเรไรขัดความคิดของเขา “เราต้องลงมือเดี๋ยวนี้ ในเมื่อมาดามลอร่าถูกเปิดโปงแล้ว มันต้องมีอะไรสักอย่างที่จะสาวไปถึงการสร้างตัวตนของมธุกรได้ ยังไงก็คงต้องใช้สถานการณ์นี้ให้เป็นประโยชน์ ถึงฉันจะไม่เสียใจกับการตายของมาดาม แต่อย่างน้อยก็อยากใช้ให้คุ้มค่ากับชีวิตที่ถูกพรากไปเพราะมธุกร”

พฤกษ์หายใจเข้าลึกๆ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้ข้างหน้า เขารู้ว่ารสชาติของความจริงมักจะขมขื่น แต่ในตอนนี้มันคือเกมที่เขาเต็มใจจะเข้าไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเดิมพันที่เริ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ เขาจึงต้องทำให้มันกระจ่างโดยเร็ว

 

ขณะที่ตำรวจเริ่มมาถึงที่เกิดเหตุ ภายในห้องก็เต็มไปด้วยความวุ่นวายของเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐาน ทั้งการปัดฝุ่นหารอยนิ้วมือ ถ่ายรูป เก็บหลักฐานที่พอจะเป็นไปได้ทั้งหมด รวมถึงพยานในที่เกิดเหตุอย่างพฤกษ์และเรไรด้วย

“ปิดพื้นที่ ห้ามใครเข้าหรือออกโดยที่ผมไม่ได้สั่ง” นายตำรวจหนุ่มคนหนึ่งสั่งด้วยน้ำเสียงหนักแน่น และมองไปยังรายละเอียดรอบๆ ที่เกิดเหตุ

ในขณะเดียวกันนั้น พฤกษ์และเรไรก็ถูกกันออกมาในระยะที่ปลอดภัยจากการเก็บหลักฐาน โดยมีเทปสีเหลืองของตำรวจกั้นระหว่างทั้งคู่จากที่เกิดเหตุ ระหว่างที่ได้แต่เฝ้าดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เจ้าหน้าที่ตำรวจรายหนึ่งก็เข้ามาหา

“คุณสองคนเป็นคนสุดท้ายที่เห็นคุณลอร่ายังมีชีวิตอยู่ใช่ไหมครับ” เขาเริ่มถาม สายตาเปลี่ยนไปมาระหว่างเรไรกับพฤกษ์ เพื่อประเมินปฏิกิริยาของทั้งสอง “ทราบไหมครับว่าเกิดอะไรขึ้น”

“ผมกับเธอตั้งใจจะมาหามาดามอยู่แล้วครับ แต่พอเรามาถึงมาดามก็…” พฤกษ์อธิบายด้วยน้ำเสียงมั่นคง

“หมายถึงตอนพวกคุณมาถึง เธอก็ตายไปแล้วใช่ไหมครับ” นายตำรวจหนุ่มพูดจนจบ ดวงตาของเขาไม่เคยละจากใบหน้าของพฤกษ์

“ครับ มาดามเสียชีวิตก่อนที่พวกเราจะมา”

“คุณล่ะครับ ทำไมถึงอยากมาหาผู้ตายตอนนี้” เขาหันไปหาหญิงสาวที่อยู่ข้างกัน

“มาดามโทรเรียกฉันมาค่ะ บอกว่ามีบางอย่าง…แต่เราไม่ได้แตะต้องอะไรเลยค่ะ เราโทรแจ้งตำรวจทันทีที่พบร่างของมาดาม” เรไรพูดเสริม

นายตำรวจหนุ่มพยักหน้า แล้วจดบันทึกลงในกระดาษจดเล็กๆ ของเขา

“แล้วคุณไม่สังเกตเห็นสิ่งปกติตอนเข้ามาบ้างเหรอ อย่างร่องรอยการต่อสู้”

“ไม่มีครับ ในนี้เงียบมาก ผมไม่เห็นคนรับใช้สักคนออกไปหา ประตูบ้านไม่ได้ล็อก พวกเราก็เลยเข้ามากันเอง จนได้เจอกับภาพที่เห็นนี่แหละครับ” พฤกษ์ตอบตามตรง ซึ่งมันก็น่าสงสัยตั้งแต่เขากับเรไรมาถึงแล้ว คฤหาสน์หลังโตแต่กลับเงียบสนิท ไม่มีใครออกมาต้อนรับ มีเพียงแสงไฟที่เปิดนำทางพวกเขามาจนถึงห้องนี้

“แล้วคุณล่ะ” เขาหันหน้าไปหาเรไร “คุณเป็นคนสุดท้ายที่ได้พูดคุยกับผู้ตายใช่ไหม”

เรไรพยักหน้ารับอย่างใจเย็น

“ใช่ค่ะ ฉันคุยกับมาดามทางโทรศัพท์ เราไม่เจอหน้ากันมาหลายวันแล้ว และมาดามนัดฉันให้มาเจอที่นี่”

“พวกคุณคุยอะไรกันบ้างครับ”

“เรื่องส่วนตัวค่ะ มาดามอายุมากแล้ว เราคุยกันเรื่องทั่วไป ไม่มีอะไรที่เป็นลางว่ามาดามจะมาเจอเรื่องนี้เลย” หญิงสาวจำต้องโกหก ด้วยเธอไม่รู้ว่าตอนนี้ใครอยู่ฝ่ายไหนบ้าง

นายตำรวจหนุ่มเงียบไปครู่หนึ่ง เขามองใบหน้าของคนทั้งสองที่เจอร่างของมาดามลอร่า แล้วมองหาร่องรอยของการโกหก แต่ก็ไม่เจออะไร

“ผมคงต้องขอให้พวกคุณไปให้การเพิ่มเติมที่สถานี ไม่มีอะไรน่ากลัวหรอกครับ แค่เป็นการให้การในฐานะพยานเท่านั้น”

ขณะที่เจ้าหน้าที่เดินจากไป ทิ้งให้เรไรและพฤกษ์ประมวลในสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น หญิงสาวถอนหายใจด้วยความโล่งอก นี่เป็นเพียงจุดเริ่มของความวุ่นวายอีกยาวไกลในภายหน้า ทั้งเรื่องคดีและสิ่งที่พวกเขาต้องต่อสู้

เมื่อออกมาจากสถานีตำรวจ เรไรก็รู้ได้ทันทีว่าการต่อสู้ด้วยตัวเองกำลังจะมาถึง ความตายของมาดามลอร่าได้เปลี่ยนแผนไปมากกว่าที่คิด จากที่คิดว่าหากได้หลักฐานจากลอร่า เมื่อเอามาผนวกรวมกับหลักฐานการทำศัลยกรรมที่ได้มาตอนแรก เธอก็จะสามารถเปิดโปงตัวตนของมธุกรได้ทันที

กลายเป็นว่าตอนนี้เธอต้องหาหลักฐานให้มากขึ้น และต้องการเบาะแสมากกว่านี้เพื่อเปิดโปงอาชญากรอย่างมธุกร แต่ไม่ว่าจะยากมากขึ้นแค่ไหน เธอก็เต็มใจจะทำทุกวิถีทางเพื่อนำความเป็นธรรมมาให้แม่ และรับประกันว่าที่สุดแล้วความจริงจะชนะทุกอย่าง

การสืบสวนการตายของมาดามลอร่ายังคงดำเนินต่อไป โดยตำรวจก็ทำงานของตัวเองอย่างเต็มที่ เพื่อรวบรวมหลักฐาน สอบปากคำพยานและเชื่อมโยงประเด็นต่างๆ เข้าด้วยกัน เรไรเองก็เช่นกัน เธอต้องลงมือค้นหาความจริง ด้วยการหาหลักฐานอะไรก็ได้ที่จะนำไปสู่การเปิดโปงตัวตนการหลอกลวงของมธุกร

และด้วยจิตใจที่ยึดติดกับความตายของแม่ ทำให้คืนนั้นเรไรฝัน

เธอฝันถึงรถคันหนึ่งที่ไถลลงใต้ผิวน้ำด้วยความเงียบงัน ข้างในมีร่างอันไร้วิญญาณของแม่อยู่ ในความฝันเรไรพยายามเรียกแม่ผ่านกระจก ขณะที่รถจมลึกลงไปในห้วงลึกอันมืดมิด มือของแม่นั้นถือแก้วที่ยังมีเครื่องดื่มหลงเหลือ

ผ่านมวลใต้น้ำที่ถ่วงน้ำหนักลงเรื่อยๆ ไฟหน้ารถยังคงส่องแสง ทำให้เกิดแสงอันน่าขนลุกท่ามกลางความมืด รถยนต์กลายเป็นเรือผีที่บรรทุกผู้โดยสารคนเดียว ในการเดินทางครั้งสุดท้ายของเธอ แสงสว่างค่อยๆ หรี่ลง และถูกความมืดกลืนกินเช่นเดียวกับชีวิตของแม่ที่ดับวูบ ลงสู่ก้นบึ้งของความตายที่ไม่อาจบอกให้ใครรู้ได้…

เรไรสะดุ้งตื่นกลางความมืดยามค่ำคืนด้วยหัวใจที่เต้นแรง ผ้าปูที่นอนเปียกโชกไปด้วยเหงื่อ ความหวาดกลัวต่อฝันอันน่าสยดสยองของแม่ และร่างที่จมอยู่ในน้ำนั้นฝังอยู่ในความคิดของเธอ หญิงสาวลุกขึ้นนั่งหายใจหอบ พอตั้งสติได้ก็พยายามสลัดความกลัวออกไป

ขณะเดียวกัน ทิพย์ที่อยู่อีกห้องก็เปิดประตูเข้ามาด้วยความเป็นห่วง

“ได้ยินเสียงเรย์ดังมากเลย ไม่เป็นอะไรใช่ไหม” ทิพย์ลงมานั่งข้างๆ แล้ววางมือไว้บนบ่าของอีกฝ่ายเพื่อปลอบโยน

เรไรหายใจเข้าลึกๆ สองสามครั้ง ตั้งสติให้มั่นคง เธอสบตากับทิพย์ผ่านความมืดและฝืนยิ้มออกมาอย่างอ่อนแรง

“เรย์สบายดี…แค่ฝันร้ายน่ะ” เธอพูดพร้อมโบกมือปัดความกังวล “แล้วเป็นไงบ้าง ได้อะไรจากมาดามลอร่าเพิ่มอีกไหม”

“ไม่เจอเลย สงสัยคนของมธุกรคงเก็บเอาไปหมดแล้ว” เธอบอกกับเรไรด้วยน้ำเสียงสิ้นหวัง จากการลอบเข้าไปในบ้านของมาดามลอร่าอีกครั้ง ก็ไม่พบกับอะไรนอกจากความว่างเปล่า มีคนเก็บทุกอย่างออกไป จนบ้านทั้งหลังกลายเป็นบ้านที่ไม่มีอะไรเลย

“มันแน่นอนอยู่แล้ว พวกนั้นต้องเก็บทุกอย่างที่อาจสาวถึงตัวเอง ที่ตำรวจได้ไปก็ใช่ว่าจะทำอะไรได้ แผนนี้เราคว้าน้ำเหลว…” เธอพูดออกมาขณะที่กำหมัดแน่นด้วยความโกรธ จากแผนทั้งหมดที่วางมาอย่างรัดกุม แต่ท้ายสุดแล้วกลับไม่ได้อะไรเลย

ทิพย์มองเรไรอย่างคนที่เข้าใจความรู้สึกเป็นอย่างดี ก่อนที่จะพูดต่อ

“แต่มีเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจนะ มีข่าวจากตำรวจว่าไวน์ของมาดาม มันเจือด้วยไซยาไนด์”

เมื่อถึงตรงนี้ เรไรก็กัดกรามตัวเองแน่น

“ที่แม่ของเรย์ตาย…มันจะเหมือนกันหรือเปล่านะ”

ได้ยินสิ่งที่เรไรคิดออกมา ทิพย์ก็เริ่มเป็นห่วง

“เรย์…บางทีก็อย่าเพิ่งคิดอะไรให้มากเลยนะ”

ทว่าเหมือนคนที่อยู่บนเตียงจะไม่ได้ฟัง เมื่อเรไรลุกขึ้นมาแล้วเดินไปที่โกศของแม่ ซึ่งสมบัติชิ้นเดียวที่ติดตัวมาจากบ้านของทวิช สายตาเธอจ้องไปที่โกศอยู่ครู่หนึ่ง และเห็นภาพของตัวเองสะท้อนกลับมาจากความมันเงา

“แม่จะรู้ตัวก่อนไหม ว่าตัวเองต้องมาเจอกับเรื่องโหดร้ายแบบนี้” หญิงสาวเอ่ยออกมาเบาๆ เมื่อนึกถึงฝันร้ายที่เพิ่งผ่านพ้น

แน่นอนว่าเธอไม่ได้รับคำตอบ มีเพียงความเงียบงันเท่านั้นที่สะท้อนกลับมา ความว่างเปล่าของห้องทำให้รู้สึกเหงามากขึ้น แต่ในภาวะไร้ซึ่งเสียงก็ยังมีความเคืองขุ่นที่กำลังก่อตัว

“แม่มองทุกคนในแง่ดีเสมอ บางทีแม่อาจคิดว่าการไปเจอกับเขา มันจะช่วยเหลือครอบครัวเราได้ แต่แม่อาจลืมไปว่าถ้าพวกมันเป็นคนดี มันก็คงไม่มาหลอกเอาเงินของแม่ไป”

เธอยกมือไปแตะโกศพร้อมกับถอนหายใจ นั่นคือการพูดคุยง่ายๆ ระหว่างเธอกับแม่ที่ไม่สามารถโต้ตอบกลับมาได้แล้ว สิ่งเดียวที่จะเรียกร้องให้ความตายอันว่างเปล่าของแม่ได้ ก็คือ…เธอจะต่อสู้กับมธุกร ไม่ใช่แค่เพื่อตัวเองแต่เพื่อแม่ของเธอด้วย

และเธอจะต้องชนะไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม…

 

ข่าวการเสียชีวิตอย่างกะทันหันของมาดามลอร่าโด่งดังไปทั่วทุกหนแห่ง เสียงสะท้อนกลับมาจากสังคมเต็มไปด้วยความเห็นที่แตกออกไปต่างๆ นานา การไม่เชื่อว่าเธอจะจบชีวิตตัวเองเพราะถูกเปิดโปง ก็เป็นอีกประเด็นที่คนต่างพูดถึง แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือการเงียบหายไปของคดีปลอมแปลงเอกสาร และธุรกิจสีเทาอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องนับเป็นเรื่องลึกลับที่ไม่มีใครได้รู้อีกต่อไป

อย่างไรก็ตาม สิ่งหนึ่งที่ถูกโยงมาเกี่ยวแต่แรกนั้นไม่ได้หายไปด้วย เมื่อคดีของมาดามลอร่าเงียบหาย ผู้คนก็กลับมาให้ความสนใจกับมูลนิธิโลกในฝัน ที่ถูกเชื่อมโยงว่าเป็นแหล่งฟอกเงิน

ภมรที่เพิ่งได้รับตำแหน่งรองประธานมูลนิธิต่อจากเรไรเพียงไม่นาน กลายเป็นผู้ที่ยืนอยู่ระหว่างความข้องใจของผู้คนในครั้งนี้ แน่นอนว่าเขาเป็นที่พูดถึงอยู่แล้วจากการรอดพ้นทุกข้อกล่าวหา ในเส้นทางการเงินอันน่าสงสัยของภรรยาที่ตายไป แต่ตอนนี้เขาต้องมายืนอยู่หน้าผู้คนอีกครั้ง เพื่อปกป้องชื่อเสียงของมูลนิธิ

เมื่อไม่มีทางเลือกอื่น มูลนิธิจึงได้จัดการแถลงข่าวที่อาคารของมูลนิธิโลกในฝัน เพื่อแก้ข้อกล่าวหาในฐานะรองประธาน ภายในห้องเต็มไปด้วยนักข่าว ซึ่งแต่ละคนก็พร้อมที่จะโจมตีใส่ทุกคำพูดของเขา

ห้องแถลงข่าวอัดแน่นเต็มความจุขณะที่ภมรเดินขึ้นโพเดียม เขามองดูฝูงชนด้วยสีหน้าเคร่งขรึม บรรยากาศเต็มไปด้วยความกดดัน แสงแฟลชจากกล้องกะพริบไม่หยุด นักข่าวเตรียมสิ่งที่จะบันทึกทุกคำพูดของเขาไว้ไม่ให้มีการผิดพลาด

“สื่อมวลชนและท่านผู้มีเกียรติทุกท่านครับ กระผมในฐานะของรองประธานมูลนิธิโลกในฝัน ก่อนอื่นเราต้องขอแสดงความเสียใจต่อการจากไปอย่างกะทันหันของคุณลอร่า หนึ่งในสมาชิกของมูลนิธิ และพวกเราทุกคนจะระลึกถึงการจากไปของเธอ” ภมรเริ่มด้วยน้ำเสียงเป็นทางการ ท่ามกลางความตึงเครียดในห้อง

“เหตุผลที่เราจัดงานแถลงข่าวในวันนี้ ก็เพื่อไขข้อข้องใจกับข้อสันนิษฐานบางอย่างที่หลายคนสงสัย เกี่ยวกับข้อกล่าวหาว่าคุณลอร่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำที่ผิดกฎหมาย ซึ่งอาจเชื่อมโยงกับมูลนิธิของเรา” เขาหยุดและกวาดสายตามองทุกคน แล้วเริ่มกล่าวต่อ “ผมจะขออธิบายให้ชัดเจน ว่าข้อกล่าวหาเหล่านี้ไม่มีมูลความจริง มูลนิธิของเราไม่เคยเป็นแหล่งฟอกเงินให้ใคร เรายังคงยึดมั่นที่จะนำเงินบริจาคทุกบาททุกสตางค์ไปช่วยเหลือสังคมอย่างเต็มที่”

ระหว่างที่เขากล่าวถ้อยแถลง เสียงวิพากษ์วิจารณ์ก็อื้ออึงไปทั่วห้อง นักข่าวต่างพากันมองเขาอย่างไม่มั่นใจนัก ภมรหยุดไปชั่วขณะก่อนที่เขาจะเริ่มกล่าวเสริมว่า

“เรามุ่งมั่นที่จะดำเนินการอย่างโปร่งใส และให้ความร่วมมือกับทางการในการสืบสวนเรื่องนี้ ทางมูลนิธิจึงขอวิงวอนให้ทุกท่านงดเว้นการคาดเดา จนกว่าการสอบสวนจะเสร็จสิ้น ขอบคุณครับ”

ระหว่างการแถลงข่าวดำเนินไป ก็ปรากฏร่างที่สวมชุดสีดำเข้ามาในห้องอย่างมั่นใจ ทุกคนเงียบลงและจับจ้องมาที่เธอคนเดียว นั่นคือเรไร ซึ่งแน่นอนว่าการปรากฏตัวของเธอทำให้บรรยากาศในห้องเปลี่ยนไปอย่างทันทีทันใด สื่อมวลชนและผู้ร่วมงานต่างให้ความสนใจกับการมาของเธออย่างรวดเร็ว

เช่นเดียวกับภมรที่จ้องมองหญิงสาวอย่างไม่วางตา เขาเห็นความมั่นใจในแววตาของเธอ ขณะที่เรไรกำลังเดินเข้ามาใกล้มากขึ้น เธอยืนอยู่หน้าสื่อมวลชนและประจันหน้ากับเขา กล่าวด้วยเสียงที่ก้องไปทั่วทั้งห้องในตอนที่เธอตั้งคำถาม

“ฉันมีคำถามค่ะ ท่านรองประธานมูลนิธิ จากที่มีข่าวว่ามีสมาชิกระดับสูงในมูลนิธิ ได้ใช้บริการมาดามลอร่าในการปลอมแปลงตัวตนขึ้นมาใหม่นั้น เป็นเรื่องจริงหรือเปล่าคะ”

ทั้งห้องเงียบกริบเหมือนกับกำลังรอคำตอบของภมร ซึ่งเขาใช้เวลาครู่หนึ่งรวบรวมความคิดแล้วจึงค่อยพูดออกมา

“นั่นไม่เป็นความจริงอย่างแน่นอนครับ” เขาตอบด้วยท่าทางมั่นคง และพยายามปกปิดความไม่สบายใจที่เพิ่มขึ้น “ผมขอแนะนำให้คุณหยุดการใส่ร้ายป้ายสีที่ไม่มีมูลความจริงต่อมูลนิธิได้แล้วนะครับ คุณเรไร ไม่อย่างนั้นมูลนิธิอาจจำเป็นต้องดำเนินการทางกฎหมายกับคุณ”

สีหน้าของหญิงสาวนั้นแสดงความเย็นชา ดั่งไม่ได้ใส่ใจกับคำพูดของเขา ขณะที่เธอล้วงมือเข้าไปในกระเป๋า และหยิบซองเอกสารออกมาโดยไม่มีใครเข้ามาขัดขวาง

“บางที…นี่อาจช่วยให้คุณจำได้มากขึ้นนะคะ ท่านรองประธาน”

เธอค่อยๆ เปิดซองออกมา แล้วดึงภาพก่อนทำศัลยกรรมของผู้หญิงคนหนึ่ง กับภาพต่อๆ มา จนมาถึงภาพการทำศัลยกรรมที่เกือบเสร็จสมบูรณ์ แต่ก็ยังคงผ้าพันแผลไว้จึงดูไม่ออกว่าเป็นใคร ทว่าเพียงเท่านั้นก็พอจะทำให้คนทั้งห้องฮือฮาได้ เมื่อพฤกษ์ที่นั่งอยู่ท่ามกลางสื่อมวลชนได้ส่งรูปภาพพวกนั้นเข้าโทรศัพท์มือถือของทุกคน ผ่านเบอร์โทรที่ได้ลงทะเบียนไว้ก่อนเข้างาน

และสิ่งที่ทำให้คนอ้าปากค้างก็คือ ภาพก่อนการศัลยกรรมของหญิงผู้นั้น ดันไปละม้ายคล้ายกับนางทับทิมเจ้าของแชร์ลูกโซ่รายใหญ่ หรือแม่ผู้ล่วงลับของภมรนั่นเอง

“ภาพนี้เป็นภาพของหนึ่งในผู้ใช้บริการของมาดามลอร่า เธอเปลี่ยนตัวเองและปลอมแปลงเอกสารสร้างตัวตนใหม่ขึ้นมา เท่าที่ฉันรู้มูลนิธิได้ให้ที่ซ่อนตัวกับเธออยู่จนถึงปัจจุบัน มันไม่ทำให้คุณนึกถึงใครบางคนบ้างเหรอคะท่านรองประธาน อย่างเช่น…คุณทับทิมแม่ของคุณ”

ทั้งหมดอื้ออึงไปด้วยเสียงกระซิบกระซาบ ใบหน้าของภมรซีดลงขณะที่มองดูรูปถ่าย ความโกรธของเขาพลุ่งพล่าน และตอบกลับไปอย่างเดือดดาล

“กล้าดียังไงถึงเอารูปแม่ผมมาใส่ความอย่างนี้!”

“ยอมรับเหรอคะว่าเป็นรูปของแม่ตัวเอง ขนาดฉันยังแค่คลับคล้ายคลับคลาเอง งั้นฉันขอถามต่อเลยแล้วกัน…จากวันเวลาที่ระบุไว้ในรูป คุณช่วยบอกหน่อยได้ไหมคะว่าทำไมแม่ของคุณถึงอยากทำศัลยกรรม หลังจากที่ตายไปแล้ว” เรไรยิ้มและถามกลับอย่างไม่สะทกสะท้าน

ภมรกำหมัดแน่น จ้องมองไปที่รูปถ่ายใบหน้าของแม่เขาที่บิดเบี้ยวจากร่องรอยการผ่าตัด และรับรู้ถึงสายตาของทุกคนในห้องที่กำลังจับจ้อง รวมถึงรอคอยในสิ่งที่เขากำลังจะตอบ

แล้วจู่ๆ ก็มีร่างของใครคนหนึ่งยืนตระหง่านท่ามกลางสื่อมวลชน พร้อมกับตะโกนคำถามออกมา

“ท่านรองประธานมีอะไรจะชี้แจงข้อสงสัยนี้ไหมครับ ถ้ามูลนิธิไม่มีอะไรต้องปกปิดจริง ก็ไม่เห็นจะต้องกลัวที่จะตอบคำถามนี้เลยใช่ไหมครับ” พฤกษ์ถามย้ำเพื่อให้คำพูดของเรไรดูมีน้ำหนักมากขึ้น

“เราไม่มีอะไรต้องปกปิด…” ในที่สุดภมรก็พูดออกมา น้ำเสียงของเขาเบาลงกว่าเดิมและสั่นด้วยความรู้สึกที่ต่อสู้กันภายใน “การกระทำของมูลนิธิอยู่ในความสนใจของสาธารณะเสมอ ขอยืนยันว่าไม่มีใครในมูลนิธิทำผิดกฎหมาย และเราไม่สนับสนุนสิ่งนั้น”

เรไรหัวเราะออกมาเบาๆ อย่างขบขัน ท่ามกลางบรรยากาศที่ตึงเครียด

“ถ้าอย่างนั้น หวังว่าทางมูลนิธิจะเคลียร์ประเด็นนี้ได้นะคะ ฉันจะรอการแถลงข่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างใจจดใจจ่อเลยค่ะ ท่านรองประธาน” เธอยิ้มอย่างมีเลศนัย ก่อนที่จะพูดกับภมรโดยตรง “และจำไว้ด้วยนะคะ ว่าความจริงมีวิธีเปิดเผยตัวเองเสมอ ไม่ว่ามันจะถูกปกปิดไว้ลึกแค่ไหนก็ตาม”

พูดจบหญิงสาวก็หันหลังและเดินออกจากห้องไป ทิ้งปริศนาให้คนอื่นคาดเดากันต่างๆ นานา และคนที่ได้รับผลกระทบที่สุดอย่างภมรก็ได้แต่หงุดหงิดอยู่ในใจ เวลานี้งานแถลงข่าวอยู่ในสภาวะวุ่นวาย คำถามมากมายไม่ได้รับคำตอบ การแพร่สะพัดของข่าวอื้อฉาวกำลังจะเริ่มในอีกไม่ช้า

ขณะที่เรไรกำลังจะถึงทางออก เธอหันมาสบตากับพฤกษ์ ทั้งสองพยักหน้าให้กันเล็กน้อย ไม่มีอะไรที่จะมาขวางแผนการได้อีกแล้ว เมื่อไม่ได้หลักฐานจากมาดามลอร่า สิ่งที่ทำได้คือการใช้หลักฐานที่มีในการโหมไฟให้ใหญ่ขึ้น ซึ่งความหุนหันของภมรคือเชื้อเพลิงชั้นดี ที่จะทำให้วิกฤติครั้งนี้กลายเป็นหายนะในอีกไม่ช้า



Don`t copy text!