เหลี่ยมเล่ห์เรไร บทที่ 19 : ปลุกปีศาจ

เหลี่ยมเล่ห์เรไร บทที่ 19 : ปลุกปีศาจ

โดย : จันทร์จร

Loading

เหลี่ยมเล่ห์เรไร นวนิยายจากโครงการช่องวันอ่านเอาปี 4 โดย จันทร์จร…เมื่อความจริงถูกปกปิดไว้ด้วยอำนาจมืด และการหลบเลี่ยงความผิดของคนกลุ่มหนึ่ง เรไรจึงต้องออกมากระชากหน้ากากและเปิดโปงความฉ้อฉลนั้นด้วยตัวเอง เพื่อมอบความเป็นธรรมให้กับเหยื่อทุกคน ที่ยังรอให้ใครสักคนทำหน้าที่ลงโทษคนพวกนั้น นวนิยายสนุกๆ อีกหนึ่งเรื่องที่อ่านเอานำมาให้คุณได้อ่านที่ anowl.co

ความไม่สบายใจจากคืนที่นอนไม่หลับ พอรุ่งอรุณมาถึงเรไรก็ได้พบกับท้องฟ้าสีเทา พร้อมกับฝนตกปรอยๆ ที่แต่งแต้มเมืองไว้ด้วยความหม่นหมอง ด้วยสภาพอากาศอึมครึมไม่ต่างอะไรกับความวุ่นวายใจของหญิงสาว ความตั้งใจของเธอในวันนี้คือการเดินทาง ที่อาจนำพาไปสู่ด้านมืดที่สุดของจิตใจตัวเอง

วิลล่าของภมรในเขาใหญ่ตั้งอยู่ท่ามกลางบรรยากาศที่อบอวลไปด้วยสีเขียวขจี เอกสิทธิ์ของคนไม่มากที่จะได้สร้างความหรูหราในพื้นที่แห่งนี้ พรั่งพร้อมด้วยความสันโดษเป็นส่วนตัวตัดขาดจากโลกภายนอก

เรไรเดินทางมาถึงอัครสถานโอ่อ่าที่ซ่อนความจริงอันน่าสะอิดสะเอียนของเจ้าของ แต่ละตารางเมตรที่ก้าวย่างนั้นมีแต่ความน่าขนลุก กับการได้มันมาด้วยวิธีผิดกฎหมายซึ่งทำกันเป็นสันดาน ราวกับว่าพวกเขาไม่รู้เลยว่าเงินที่หามาได้นั้นคือเงินสกปรก

เมื่อถึงหน้าประตูบ้าน หญิงสาวก็ถูกพามาที่ห้องรับแขกของภมร ที่นี่มีเพียงแม่บ้านคนเดียวดูแลด้วยเจ้าของไม่อยากให้ใครมาวุ่นวายกับสถานที่ที่เป็นส่วนตัวเช่นนี้ พอเข้าไปในห้อง เธอก็เห็นร่างของชายหนุ่มเอนกายบนเก้าอี้หนังอย่างสบายอารมณ์ ใบหน้าของเขาแต้มด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย นัยน์ตาฉายแววอันตรายขณะมองมายังใบหน้าของหญิงสาว

“ยังไม่ระวังตัวเหมือนเดิมเลยนะคะ ทั้งบ้านมีแม่บ้านอยู่คนเดียว ไม่คิดว่าฉันอยากจะมาฆ่าคุณบ้างเหรอ” เรไรลองหยั่งเชิงเจ้าของบ้านก่อน ทว่านั่นกลับยิ่งทำให้เขายิ้มอย่างถูกใจ

“แบบนี้สิถึงจะน่าคุยด้วยหน่อย คุณไม่ฆ่าผมหรอกเรย์ เพราะผมมีค่ากับคุณมากกว่านั้น”

หญิงสาวไม่ปฏิเสธด้วยสิ่งที่เขาบอกออกมาก็มีความจริงเจืออยู่

“ต้องการอะไรถึงให้ฉันมาที่นี่” เธอเอ่ยเสียงเข้ม ขณะที่จ้องมองเขาอย่างไม่วางตา ในเกมนี้ต้องให้แน่ใจว่าเธอจะไม่พลาดกลายเป็นเหยื่อเสียเอง

“อยู่ข้างผมสิเรย์ แล้วเลิกยุ่งกับแม่ผมซะ” ภมรยื่นข้อเสนอที่ทรยศต่อความต้องการทั้งหมดของหญิงสาว เสียงของเขาแสดงความเป็นเจ้าของเธออยู่ในที ใครจะว่าอย่างไรก็ช่าง แต่ตอนนี้เขาแค่ต้องการเธอ และไม่สนใจอีกแล้วว่ามธุกรจะเห็นด้วยหรือไม่

“ทั้งที่รู้ว่าฉันเป็นลูกของคนที่แม่คุณฆ่าเนี่ยนะ ไม่คิดว่าฉันจะแกล้งทำเป็นสนใจแล้วหลอกใช้คุณบ้างเหรอ”

“มันก็ไม่ใช่ครั้งแรกสักหน่อยที่คุณหลอกใช้ผม ถึงผมจะอยู่ข้างแม่ แต่ผมก็ไม่ลืมความจริงว่าแม่น่ะละทิ้งตัวตนเดิมแล้ว คุณเองก็ควรปล่อยวางเรื่องอดีตบ้าง ยังไง…แม่ผมก็แก่ลงทุกวัน ท่านพร้อมจะเกษียณตลอดเวลา ถ้าคุณยอมรับข้อตกลงของเรา” เขาอ้างออกมาโดยสายตาไม่ละไปจากหญิงที่ปรารถนาเลย “คิดถึงประโยชน์ที่เราจะได้ร่วมกันสิ อันที่จริงเรื่องของแม่คุณผมก็เสียใจนะที่ต้องจบลงแบบนั้น แต่ถ้าคุณลืมเรื่องอดีตแล้วมาร่วมมือกัน ผมสัญญาว่าคุณจะได้ทุกอย่างที่ต้องการ”

สีหน้าของหญิงสาวเปลี่ยนเป็นเย็นชาทันที ระหว่างที่เธอซ่อนความขยะแขยงเอาไว้ภายใน

“พูดง่ายแต่ทำยากนะคะ พวกคุณหลอกฉันมาสิบห้าปี แถมยังใช้ศพแม่ฉันแทนตัวเองอย่างน่าไม่อาย แล้วตอนนี้คนที่น่าจะรู้สึกผิดจริงๆ อย่างอาวิชก็ตายไปแล้ว ฉันเองก็ไม่เหลือความปรารถนาดีใดๆ ให้พวกคุณอีก” เธอสวนกลับด้วยรอยยิ้ม อันที่จริงเธอก็นึกรังเกียจตัวเองที่ทำเป็นไม่รู้เรื่องราวดำมืดของทวิชอยู่ช่วงหนึ่ง เพราะเห็นว่าเขามีบุณคุญและไม่ได้เป็นอันตรายกับเธอ แต่พอมารู้ความจริงเรื่องแม่แล้ว เรไรถึงได้รู้ว่าคนที่ถูกกระทำมันทั้งทุกข์ทรทานและเจ็บปวดเมื่อไม่สามารถทำอะไรได้ และสิ่งที่เคยเชื่อมาตลอดนั้นมันน่าสมเพชสิ้นดี

“ว่ากันตามตรงนะเรย์ ผมน่ะถูกใจคุณมาตั้งแต่ที่เห็นคุณอยู่กับน้าวิชแล้ว ผมรู้ว่าคุณทั้งสวยทั้งฉลาด แถมจังเจ้าแผนการ ที่ผ่านมาผมจึงอยากอยู่ใกล้คุณมาตลอด รู้ไม่ใช่เหรอว่าผมแต่งงานกับโมรีเพราะอะไร ที่จริงแล้วคุณน่ะ…ดีกว่าโมรีทุกอย่างเลย” ดูเหมือนเขาจะไม่ได้สนใจคำพูดของเธอ และพร่ำเพ้อถึงความรู้สึกของตัวเองออกมาแทน

สิ่งนี้ทำให้เรไรนึกถึงโมรี ภรรยาที่น่าสงสารของภมรซึ่งต้องจบชีวิตลงอย่างปริศนา ตกเป็นเหยื่อความโลภของสามีตัวเอง เมื่อเส้นทางการเงินถูกเปิดโปงภมรก็ทิ้งไปอย่างไม่ไยดี แถมยังผลักเมียลงสู่หุบเหวอันไร้ก้นบึ้ง ขณะที่ตัวเองเล่นละครตบตาทุกคนว่าเป็นผู้สูญเสีย ตอนนี้เขาคงต้องการใครสักคนที่เก่งพอที่จะต่อต้านมธุกรได้ให้อยู่เคียงข้างเขา เพื่อนำพาให้เขาขึ้นสู่เส้นทางแห่งอำนาจและความมั่งคั่ง แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังไม่เด็ดขาดพอที่จะทอดทิ้งแม่ ในขณะที่แม่ของตัวเองกำลังเผชิญหน้ากับวิกฤติครั้งสำคัญ ซึ่งแน่นอนว่าเป้าหมายเดียวของเขาคือการโน้มน้าวเรไรนั่นเอง

“คุณไม่เคยหยุดนิ่งเพื่อสิ่งที่ต้องการเลยสินะคะ”

“คุณคนเดียวเท่านั้นที่จะทำความฝันของผมให้เป็นจริงได้ อย่าลืมสิว่าแม่ผมน่ะมีกลุ่มคนที่พร้อมจะสนับสนุนท่านเสมอ ถึงตอนนี้มูลนิธิกำลังสั่นคลอน แต่ก็ยังมีคนที่ศรัทธาและพร้อมจะปกป้องมูลนิธิอย่างถวายหัว แต่คุณสิไม่สามารถเข้าใกล้พวกเราได้เลย ช่วยให้ผมเป็นคนสร้างความเชื่อมั่นกลับมาอีกครั้ง แล้วคุณจะมีทุกอย่างที่ต้องการ รวมถึงความปลอดภัยของคนที่คุณรักด้วย”

เขากล่าวออกมาอย่างไม่สะทกสะท้าน แม้ว่านั่นคือการฆ่าคนก็ตาม พอเห็นเธอไม่ตอบอะไรเขาก็เสริมต่อ

“ ผมรู้นะว่าคุณยังเก็บเงินก้อนนั้นของน้าทวิชไว้เป็นความลับอยู่ ติดให้ดีนะเรย์…ยิ่งคุณพยายามเปิดโปงมูลนิธิเท่าไร ก็มีแต่จะทำให้ตัวเองต้องสูญเสียคนที่รักมากขึ้นเท่านั้น ตัวอย่างก็มีให้เห็นมาแล้วไม่ใช่เหรอ”

คำพูดของเขาทำให้เรไรสั่นสะท้านด้วยความสะอิดสะเอียน เขาเป็นคนที่ปราศจากความเห็นอกเห็นใจอย่างแท้จริง นี่แหละคือความจริงอันดำมืดของพวกเขา คนพวกนี้รักเงินมากกว่าสิ่งอื่นใด หากใครคนหนึ่งก้าวเข้ามาขัดขวาง พวกเขาก็พร้อมจะกำจัดทิ้งทันที และอย่างที่รู้ว่าที่เรไรยังคงอยู่ได้ถึงทุกวันนี้ก็เพราะมรดกอันมหาศาลของทวิชเท่านั้น

“และถ้าแม่คุณไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่คุณคิดล่ะคะ คุณพร้อมจะปกป้องฉันหรือเปล่า”

“แน่นอนสิ พอผมขึ้นเป็นประธานมูลนิธิ แม่ก็จะเป็นแค่อดีตประธาน ถึงตอนนั้นเหล่าผู้สนับสนุนก็จะต้องหันมาพึ่งพาผม ขอเพียงแค่คุณวางความแค้นที่มีแล้วรู้จักการให้อภัยเท่านั้น มันไม่อยากเลยใช่ไหมล่ะเรย์”

ริมฝีปากของหญิงสาวโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้ม แววตานักล่าฉายชัดออกมา คำพูดของภมรทำให้เธอรู้สึกถึงโอกาสในการทำสิ่งอันเหมาะสม ร่างระหงเดินเตร็ดเตร่ไปยังบาร์เครื่องดื่ม การเคลื่อนไหวในทุกท่วงท่าช่างน่าเย้ายวนจนคนมองไม่นึกถึงอย่างอื่น

ขณะที่นิ้วเรียวกำลังเปิดขวดไวน์ยี่ห้อโปรดของภมร แล้วเติมลงในแก้วใสสองใบ ตอนนี้เรไรรู้สึกได้ถึงสายตาที่เขามองยังเธอ หญิงสาวเดินกลับไปยื่นแก้วให้กับเจ้าของบ้าน ใช้หางตาโปรยเสน่ห์ที่มั่นใจได้ว่าจับเขาได้อยู่หมัด

ดวงตาของภมรจับจ้องไปที่เรไรไม่วาง ความปรารถนาอันแรงกล้าชัดเจนระหว่างที่เขารับไวน์จากมือของเธอ พร้อมกับรอยยิ้มอันชั่วร้ายที่ตอบสนองต่อความเย้ายวนนั่น

“ถึงตอนนั้น ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ความเห็นของแม่ผมจะไม่มีความหมาย แล้วคุณ…ก็จะมีทุกอย่างที่ต้องการ” วาจาของเขาหนักแน่นด้วยความหลงใหล

รอยยิ้มจากใบหน้าสวยนั้นช่างอ่อนโยน เป็นภาพที่สมบูรณ์แบบเข้ากับการยั่วยวนที่แสนหวาน ถึงอย่างนั้น นัยน์ตากลับเป็นประกายแข็งกร้าว แวววาวเหมือนมีดสั้นที่พร้อมจะทิ่มแทงภายใต้รอยยิ้ม

“เข้าใจแล้วค่ะ…” เรไรพูดพลางเอียงศีรษะ “ถ้าฉันยอมยกโทษให้มธุกรตอนนี้ แล้วทำลายหลักฐานที่มี ทุกคนก็จะปลอดภัย จะไม่มีการสูญเสียเกิดขึ้นอีก…ใช่ไหมคะ”

ภมรยิ้มไม่หุบ ความจริงจังในคำพูดของเธอค่อยๆ แทรกซึมลงในใจ ระหว่างที่เขายกแก้วไวน์ขึ้น แล้วเอ่ยคำสัญญาที่แสนอันตรายออกมา

“แน่นอน ผมจะเป็นหลักประกันความปลอดภัยให้กับพวกคุณเอง…เรย์ของผม” เขายกแก้วขึ้นดื่ม นัยน์ตาจับจ้องอยู่กับใบหน้าของเธอ เขากำลังดื่มระหว่างรอยยิ้มของเธอกำลังแปรเปลี่ยนเป็นอีกอย่าง

“โธ่…ภีมคะ…” เธอส่งเสียงหวาน เอื้อมมือไปลูบแก้มเขาเบาๆ ก่อนจะยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ออกมา “คุณนี่…จัดการง่ายจริงๆ ด้วย”

สายตาของเรไรจ้องมองไปยังนัยน์ตาพร่าเลือนของภมร ซึ่งเขานั้นไม่ทันได้สนใจกับสิ่งที่เธอเอ่ยออกมา เขาหลงเสน่ห์ความเย้ายวนของหญิงสาวมากเกินไป ครู่หนึ่งเขาก็ยกแก้วไวน์ดื่มจนหมด ก่อนที่รอยยิ้มของภมรจะเริ่มสั่นคลอนเมื่อสายตาเริ่มพร่ามัว เรี่ยวแรงในการจับแก้วอ่อนลง จนในที่สุดแก้วก็ลื่นหลุดจากนิ้วของเขาลงกระแทกกับพื้น

“คุณ…ใส่อะไรลงไป…”

รอยยิ้มของเรไรกว้างขึ้น แววตาปีศาจในดวงตาเผยให้เห็นถึงความตั้งใจที่แท้จริง มันคือการแสวงหาชัยชนะที่โหดร้าย เบื้องหลังเธอคือเศษของแคปซูลยา ที่เมื่อครู่ก่อนหน้านี้ เธอได้เทผงลงไปในแก้วของเขาอย่างระมัดระวัง ในเวลาที่เขาเสียสมาธิเกินกว่าจะสังเกตเห็น

“เอาละ ความสนุกเริ่มขึ้นแล้ว” น้ำเสียงของเธอเหี้ยมเกรียม ตอนที่เฝ้ามองภมรทรุดตัวลงและหมดสติ ความเดือดดาลก่อนหน้านี้ถูกแทนที่ด้วยความปรารถนาในชัยชนะ ที่ไม่สนว่าจะต้องแลกด้วยอะไรบ้าง ในเมื่อพวกเขาปลุกสัตว์ร้ายในตัวเธอขึ้นมา ตอนนี้เธอก็คือปีศาจที่สวมหน้ากากของผู้หญิงที่ไร้พิษภัยคนหนึ่ง และปีศาจตนนี้ก็ได้เตรียมการแสดงที่มธุกรคาดไม่ถึงเอาไว้แล้ว

เรไรกำลังสนุกกับเกมที่เธอเพิ่งสร้างขึ้น คำสารภาพของภมรได้ก่อให้เกิดจินตนาการอันบรรเจิด และความน่าขยะแขยงของเขากลายเป็นตัวกระตุ้นด้านมืดในตัวเธอออกมา ตอนนี้มันก็ตื่นเต็มที่แล้ว พร้อมที่จะเล่นบทบาทของตัวเองในเกมมรณะนี้

 

ขณะที่พฤกษ์นั้นเพิ่งจะรู้สึกถึงความสว่างที่แวบเข้ามาในตา เมื่อเห็นแสงสีขาวพร่าเลือนก่อนจะเริ่มชัดขึ้น จนได้สติว่าตัวเองกำลังอยู่ในห้องพักคนป่วยของโรงพยาบาลที่ไหนสักแห่ง เขาได้แต่หรี่ตามองความสว่างอย่างอ่อนแรง พอหันศีรษะไปด้านข้าง และสังเกตเห็นนายตำรวจหนุ่มหน้าตาคุ้นเคยที่อยู่บนโซฟาข้างเตียง

“รุจ…” แม้เสียงจะแหบโหยเพียงใด แต่มันก็ทำให้คนที่นั่งเฝ้าอยู่รู้สึกตัว แล้วรีบเข้ามาหาเขาในทันที

“นึกว่าจะไม่รอดซะแล้ว รอบนี้แกทำให้ฉันกลัวจริงๆ นะเว้ย” ผู้กองรุจพูดพร้อมกับถอนหายใจอย่างโล่งอก

“กระสุนนัดเดียวทำอะไรฉันไม่ได้หรอก…” พฤกษ์หัวเราะเบาๆ แล้วมองไปรอบห้องเพื่อหาใบหน้าที่คุ้นเคยแต่ก็ไม่พบ “เรย์อยู่ไหน เธอปลอดภัยดีใช่ไหม”

“ปลอดภัยดี แต่แกน่ะควรจะห่วงตัวเองมากกว่าไหม ยิ่งยุ่งกับผู้หญิงคนนี้มาก ชีวิตแกก็มีแต่จะอันตราย”

“ฉันปล่อยเขาไม่ได้ว่ะ” พฤกษ์ถอนหายใจแล้วจ้องมองเพดาน ความรู้สึกของเขาตอนนี้มันลึกซึ้งกับเธอไปมากกว่าคำว่าชอบแล้ว

“แกเนี่ยนะ…” รุจส่ายหน้าอย่างระอาใจในความรักของเพื่อน “เมื่อเช้า…ฉันเห็นเขาส่งข้อความบางอย่างมาให้แก อยากอ่านไหมล่ะ”

พฤกษ์พยักหน้าแล้วรับโทรศัพท์มือถือมาจากมือเพื่อน เริ่มหาข้อความที่หญิงสาวส่งมาให้ จนในที่สุดเขาก็ได้เจอกับข้อความของเธอ ซึ่งมันเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด คำขอโทษ และแฝงด้วยความมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยวที่ทำให้เขารู้สึกเย็นวาบไปทั้งตัว

‘ขอโทษนะที่ลากคุณเข้ามาในเรื่องนี้ ฉันผิดเอง ต่อไปนี้คือการต่อสู้ของฉัน ได้โปรดอย่าเข้ามายุ่งกับเรื่องของฉันมากไปกว่านี้ มันอันตรายเกินไป และฉันคงทนไม่ได้ที่จะต้องเสียคุณไปอีกคน ขอบคุณที่ทำให้ฉันรู้สึกสงบในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ต่อไปนี้ฉันจะทำมันด้วยวิธีของฉันเอง ดูแลตัวเองให้ดีนะคะ – เรไร’

หัวใจของพฤกษ์เต้นแรงอยู่ในอกขณะที่เขาอ่านข้อความจบ ความกังวลแล่นขึ้นมาฉายชัดอยู่บนใบหน้าที่กำลังขมวดคิ้ว เขาเงยหน้ามองเพื่อนรักขณะที่ตัวเองกำลังอยู่ในอาการวิตก

“ฉันต้องคุยกับเรย์ เขากำลังจะไปเจอกับมธุกรด้วยตัวเอง ฉันต้องหยุดเขา”

“หยุดเลยไอ้พฤกษ์ แค่จะยืนแกยังทำไม่ไหว ทำไมต้องเอาตัวไปเสี่ยงอีกวะ” ผู้กองรุจบอกด้วยความเป็นห่วง

“แกจะให้ฉันอยู่เฉยๆ แล้วปล่อยให้เรย์เอาชีวิตไปเสี่ยงไม่ได้หรอกนะเว้ย เธอทำเรื่องนี้ตามลำพังไม่ได้แน่” น้ำเสียงของพฤกษ์เต็มไปด้วยความเป็นห่วงไปถึงหญิงสาว

“แล้วแกล่ะ แกเพิ่งรอดมาจากความตาย สภาพของแกตอนนี้ไม่มีทางช่วยอะไรเขาได้เลย แค่ป้องกันตัวเองยังทำไม่ได้ แล้วแกจะไปปกป้องเขาได้ยังไงวะ” ในฐานะเพื่อนสนิทที่ยังมีความเห็นอกเห็นใจอยู่นั้น เขาก็พยายามให้เหตุผลกับคนป่วยอย่างใจเย็น

ใบหน้าของพฤกษ์แข็งกร้าวกับคำพูดของเพื่อน เขารู้ว่าสภาพของตัวเองนั้นไม่สมบูรณ์ แต่นั่นไม่ได้เปลี่ยนความจริงว่าเรไรกำลังเดินเข้าสู่กองไฟเพียงลำพัง และเขาคงไม่สามารถให้อภัยตัวเองได้ หากมีอะไรเกิดขึ้นกับเธอ

สิ่งที่ทำได้อย่างแรกคือการพิมพ์ข้อความกลับไปหาเรไร แล้วกำชับกับเธอว่าอย่าริไปสู้กับมธุกรตามลำพัง ขณะที่กดส่งเขาก็ภาวนาขอให้เธอได้อ่าน ขอให้เธอรับฟัง และขอให้มันไม่สายจนเกินไป

 

เวลาเดียวกันกับที่วิลล่าของภมร ซึ่งตอนนี้เจ้าของวิลล่าเริ่มรู้สึกตัวและฟื้นคืนสติขึ้นมาเล็กน้อยแล้ว ดวงตาของเขาพร่าเลือน และชั่วขณะหนึ่งก็รู้สึกสับสนกับเรื่องที่เกิดขึ้น จนต้องใช้เวลาสักครู่หนึ่งเพื่อปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมรอบตัว

ใช่แล้ว…เขายังอยู่ในบ้านพักของตัวเอง แต่มีบางอย่างผิดไปจากเดิม แม้ความหรูหราฟู่ฟ่าของการตกแต่งบ้านจะไม่เปลี่ยน ทว่าเขากลับรู้สึกถึงความน่ากลัวของสถานที่ อย่างแสงไฟจากโคมระย้าก็สว่างจ้าเกินไป ไหนจะความเงียบที่ชวนให้รู้สึกวังเวงด้วย

หัวใจของเขาเต้นแรงขณะที่พยายามจะขยับตัว และรับรู้ว่าตอนนี้ร่างกายตัวเองกำลังถูกตรึงเอาไว้ มือถูกมัดแน่นไว้กับแขนเก้าอี้ และเท้าที่ถูกมัดไว้กับขาของเก้าอี้เหมือนกัน ซึ่งมันทำให้ความตระหนกของเขาพลุ่งพล่านจนหายใจแทบไม่ออก

“อะไรกันวะเนี่ย!”

สายตาของเขามองไปยังเชือกที่ผูกตัวเองเอาไว้ แล้วเหลือบไปเห็นเรไรซึ่งยืนอยู่ตรงข้ามห้องด้วยรอยยิ้มเยือกเย็น ดวงตาวาวโรจน์เป็นประกายเหมือนนางมารซึ่งเขาไม่เคยเห็นมาก่อน ข้างเธอคือทิพย์ที่ยืนอยู่ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ตอนนี้ภมรเริ่มตระหนักได้แล้วว่า เธอนั้นไม่ได้สนใจกับสิ่งที่เขามอบให้เลย

“นังบ้า! แกวางแผนจะทำอะไรฉัน” ภมรพูดตะกุกตะกักไปหมด แม้ว่าจะพยายามควบคุมน้ำเสียงให้เข้มแค่ไหนก็ตาม

รอยยิ้มของเรไรกว้างขึ้นเมื่อได้เห็นสีหน้าของเขา เธอค่อยๆ ย่างเข้าไปหาชายหนุ่มที่ถูกตรึงอยู่กับเก้าอี้ เสียงรองเท้าส้นสูงของเธอดังกระทบพื้นเป็นจังหวะวังเวง

“ภีม…ถึงเวลาที่คุณต้องชดใช้ให้กับพวกฉันแล้วค่ะ” น้ำเสียงของเธอเจือด้วยความอ่อนหวานและความอาฆาตพยาบาทที่น่าสะพรึงกลัว

แล้วหญิงสาวก็หัวเราะดังก้องไปทั่วห้อง เป็นเสียงที่เยือกเย็นไม่สะทกสะท้านกับสิ่งที่กำลังทำ ภมรได้แต่มองดูอย่างสยดสยอง และรับรู้ได้ถึงสถานการณ์ล่อแหลมที่กำลังเผชิญอยู่ เมื่อเห็นทิพย์เดินเข้ามา

“แกทำให้พ่อฉันต้องตายในคุก”

“เดี๋ยวก่อน…ฉันไม่ได้ทำอะไรเลยนะ…เจ้านั่นมันมีเรื่องกับมาเฟียในคุกจนมันต้องตายเอง”

“โกหก!” ทิพย์จ้องภมรอย่างเอาเรื่อง “เพราะแกอยากกำจัดพ่อฉัน แกถึงได้ติดต่อให้พวกนั้นมาทำให้พ่อฉันตาย คิดว่าฉันจะหาความจริงเรื่องนี้ไม่ได้เหรอ”

ในเวลาจนตรอกเช่นนี้ ภมรไม่สามารถควบคุมความกลัวเอาไว้ได้ เขาจึงหันไปหาเรไรที่อยู่ไม่ไกล

“เรย์…ฉันขอร้อง ช่วยฉันแล้วฉันจะให้เธอทุกอย่างเลย”

ริมฝีปากของหญิงสาวขยับขึ้นเป็นรอยยิ้มเย้ยหยัน ดวงตาฉายแววสาแก่ใจเมื่อโน้มตัวเข้ามาใกล้ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา

“ขอร้องเรื่องอะไรคะภีม เรื่องนี้มันไม่เกี่ยวกับฉันสักหน่อย”

“คุณอยากได้อะไร อยากจะเอาอะไรผมให้หมดเลย!” ภมรร้องออกมาอย่างคนหมดทางสู้

“คุณจะทำอะไรมันก็ไม่สำคัญสำหรับฉันแล้วค่ะ กี่ศพแล้วที่พวกคุณเหยียบย่ำเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ต้องการ มันถึงเวลาที่ต้องชดใช้แล้วค่ะ” เรไรจ้องมองเขาอย่างเย็นชา

“เรย์…นังบ้า!” ความหวังของภมรเริ่มหรี่ลง เขาจึงแสดงความเกรี้ยวกราดออกมาแทน ซึ่งในสถานการณ์ตอนนี้เหมือนเขาต้องยอมรับชะตากรรมที่จะเกิดขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้

“มันไม่มีโอกาสสำหรับพวกคุณอีกแล้ว เกมนี้คุณกับแม่ของคุณจะไม่มีทางรอดออกไปได้อย่างทุกครั้งแน่ และต่อให้ใครสักคนคิดจะกราบขอโทษฉันกับทิพย์ มันก็จะไม่มีการให้อภัยเกิดขึ้น…น่าเสียดายใช่ไหมล่ะคะ”

เสียงของเรไรอ่อนลงราวกับจะเห็นอกเห็นใจ ยิ้มอันเสแสร้งนั้นแฝงความโหดร้ายในคำพูดได้เป็นอย่างดี

“รู้ไหมคะว่าฉันรอเวลานี้มาตลอด เวลาที่ฉันจะมอบความเจ็บปวดที่สุดให้กับแม่ของคุณ”

ภมรเบิกตากว้างมองเธออย่างเกรงกลัว จู่ๆ ก็มีปลายเข็มแหลมทิ่มเข้ามาที่คอจนเกือบทำให้เขาหายใจไม่ออก สายตาเหลือบไปเห็นทิพย์อยู่ข้างหลัง และเข็มฉีดยาเปล่าในมือของเธอ ฉับพลันการมองเห็นของเขาก็พร่ามัว สับสนปนเปกับคำพูดอ้อแอ้

“แกต้องตาย…นังชั่ว…”

“หลับให้สบายนะคะภีม”

นี่คือคำพูดสุดท้ายที่ภมรได้ยินจากเรไร ก่อนที่ความมืดจะปกคลุมรอบตัว และดับสติของเขาไปในที่สุด

 

ขณะที่ร่างไร้สติของภมรฟุบนิ่งอยู่กับเก้าอี้ หญิงสาวทั้งสองก็ต่างมองหน้ากันอย่างเงียบๆ นี่คือการบ่งบอกว่าเกมมรณะกำลังเริ่มขึ้นแล้ว ทิพย์ได้แต่มองเรไรด้วยความห่วงใย อาจเพราะเธอรู้ดีว่าอีกฝ่ายต้องทนทุกข์มามากแล้ว และถึงเวลาต้องถอนคืนเสียที

“แล้วเราจะทำยังไงต่อเรย์ ให้ฉันจัดการมันเลยไหม” ทิพย์เอ่ยถามทำลายความเงียบขึ้นมาก่อน เสียงของเธอสะท้อนอยู่ในห้องที่เกือบจะว่างเปล่า

“ใจเย็นทิพย์ มือของเราจะต้องไม่เปื้อนเลือดสกปรกของพวกมัน เรย์จะใช้ภมรเพื่อกำจัดมธุกร ถึงเวลาที่มันต้องชดใช้ในสิ่งที่ทำกับทุกคนแล้ว” ดวงตาของเธอสั่นไหวขณะที่จ้องมองชายที่ถูกมัดเอาไว้

ความคาดหวังที่เจือไปด้วยความแค้นของทิพย์แล่นอยู่ในอก เมื่อตอนที่เธอได้ยินคำพูดของเรไร เธอทั้งสองกำลังก้าวเข้าสู่สมรภูมิที่เป็นอันตราย การยั่วยุมธุกรสตรีที่ทรงพลังที่สุดในตอนนี้ อีกฝ่ายมีทรัพยากรนับไม่ถ้วน ทั้งอำนาจและผู้สนับสนุน แต่กับเรไรนั่นมีเพียงแค่ความมุ่งมั่นกับสมองอันหลักแหลมเท่านั้น ถึงจะเสียเปรียบทุกทางทิพย์ก็รู้ดีว่า ตอนนี้ไม่มีทางที่จะหันหลังกลับได้อีกแล้ว

“ทิพย์…” เรไรเอ่ยขณะที่ถอยห่างออกมาจากภมร “ฉันจะไปหามธุกรแล้วให้เขาเป็นเหยื่อล่อ แต่เราต้องมีอย่างอื่นด้วย จำที่เก็บเงินของอาวิชที่ฉันบอกได้ใช่ไหม ไปเอามันออกมาเถอะ ถึงเวลาที่เราต้องใช้มันแล้ว”

ทิพย์ขมวดคิ้ว เธอจำได้เพราะนั่นคือสิ่งเดียวที่มธุกรยังไม่จัดการเรไรอย่างเด็ดขาด ทันใดนั้นเอง ความเข้าใจก็ปรากฏขึ้นในดวงตาของเธอ

“ที่เก็บมันเอาไว้ก็เพื่อวันนี้ใช่ไหม” ทิพย์สรุปด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความห่วงใย

เรไรแค่พยักหน้า ริมฝีปากของเธอยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเหี้ยมเกรียม เกมสุดท้ายได้เริ่มขึ้นแล้ว นี่คือเกมแห่งการแก้แค้นด้วยเหตุผลส่วนตัวไม่เกี่ยวกับการเปิดโปงความจริงอะไรทั้งสิ้น และเธอก็พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับมัน ท้ายที่สุดแล้วเธอจะกลายเป็นเหยื่อหรือผู้ล่า มีแต่เวลาเท่านั้นที่จะบอกได้

 



Don`t copy text!