เหลี่ยมเล่ห์เรไร บทที่ 22 : สิ่งที่รอมานาน (จบบริบูรณ์)

เหลี่ยมเล่ห์เรไร บทที่ 22 : สิ่งที่รอมานาน (จบบริบูรณ์)

โดย : จันทร์จร

Loading

เหลี่ยมเล่ห์เรไร นวนิยายจากโครงการช่องวันอ่านเอาปี 4 โดย จันทร์จร…เมื่อความจริงถูกปกปิดไว้ด้วยอำนาจมืด และการหลบเลี่ยงความผิดของคนกลุ่มหนึ่ง เรไรจึงต้องออกมากระชากหน้ากากและเปิดโปงความฉ้อฉลนั้นด้วยตัวเอง เพื่อมอบความเป็นธรรมให้กับเหยื่อทุกคน ที่ยังรอให้ใครสักคนทำหน้าที่ลงโทษคนพวกนั้น นวนิยายสนุกๆ อีกหนึ่งเรื่องที่อ่านเอานำมาให้คุณได้อ่านที่ anowl.co

บ้านพักตากอากาศที่เคยเงียบสงบในเขาใหญ่ ตอนนี้กลายเป็นสถานที่วุ่นวายและเต็มไปด้วยควัน เมื่อเจ้าหน้าที่กู้ภัยชุดแรกเข้าล้อมพื้นที่ ดับไฟที่หลงเหลืออยู่และให้ความช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบ ท่ามกลางค่ำคืนที่มีแสงสลัว สิ่งที่เห็นเหมือนภาพวาดอันชวนสิ้นหวังและน่าสลดใจ

ภมรก้าวขาออกจากรถพยาบาล ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยความเจ็บปวด ในใจยังเต็มไปด้วยความหวั่นวิตก แต่สายตากลับแน่วแน่เมื่อพบแม่ของตัวเอง มธุกรคุกเข่าอยู่ท่ามกลางเศษธนบัตรที่ไหม้เกรียมบางส่วน มือของเธอดำคล้ำด้วยเขม่า ขณะที่พยายามอย่างหนักเพื่อรวบรวมเศษเงินที่ถูกไฟไหม้

ทุกที่ที่มองไป เขาเห็นเศษเงินกระจายเกลื่อนและบางส่วนก็เปียกแฉะ เถ้าถ่านคุกรุ่นที่แม่ของเขากำลังหมกมุ่น อากาศถูกแทนด้วยกลิ่นของกระดาษที่ถูกไฟไหม้และความขุ่นมัวของควันไฟ อันเป็นสิ่งย้ำเตือนถึงความโหดร้าย รวมถึงความพยายามที่แม่เลือกทิ้งเขา เพื่อให้ได้มาซึ่งทรัพย์สมบัติของเธอ

“แม่…”

ภมรเข้าหามธุกรด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง เสียงกระซิบที่แผ่วเบาดังลอดออกมาจากริมฝีปากแห้งผาก อันแทบจะไม่มีใครได้ยินในความวุ่นวายที่เป็นอยู่ แต่มันก็ถูกเปล่งออกมาด้วยความเจ็บปวด ความผิดหวัง และความเศร้าที่ฝังลึก

เมื่อได้ยินเสียงของภมร มธุกรก็ตื่นจากภวังค์ความโลภของตัวเอง เธอลุกขึ้นยืน ทิ้งเศษเงินที่ไหม้เกรียมไว้ข้างหลัง ขณะที่หันไปเผชิญหน้ากับลูกชาย ด้วยแววตาเต็มไปด้วยความตกใจก่อนเริ่มมีสติ เธอยกมือที่สั่นเล็กน้อยขณะจับไปที่ไหล่ของเขา

“ภีม…” เธอเริ่มเสียงแหบพร่า “เธอต้องเข้าใจนะ ฉันรู้…ว่าเรไรจะไม่ฆ่าเธอแน่ แต่เงินนี่สิ…เงินนี้ฉันสะสมมาหลายปี มันเป็นของฉันทั้งหมด เราจะปล่อยให้เรไรทำลายมันไม่ได้”

คำพูดที่หลุดออกมาจากปากประธานมูลนิธิเพื่อการกุศล ดังสะท้อนอยู่ในบรรยากาศยามค่ำคืน เหมือนควันดำซึ่งยังคงแทรกซึมอยู่ในบริเวณนั้น ภมรจ้องมองที่แม่บังเกิดเกล้า สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความผิดหวังอย่างสุดซึ้ง แล้วสะบัดมือเธอออกจากไหล่ จนทำให้มธุกรเซถอยหลังไป

“สุดท้าย…แม่ก็เลือกเงินมากกว่าครอบครัว เหมือนกับที่แม่ไม่เคยมองผมว่าเป็นลูกอีกเลย นับตั้งแต่กลับมาด้วยใบหน้าแบบนี้” เขาพูดอย่างขมขื่นขณะชี้ไปที่หน้าของมธุกร

มธุกรนิ่งไปชั่วครู่หนึ่ง แล้วระเบิดเสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่งโดยไม่มีใครขัดขวาง คล้ายเสียงของสัตว์ประหลาดที่ดังก้องท่ามกลางความเงียบยามค่ำคืน

“จริงสิ…ฉันไม่ใช่แม่แกสักหน่อย” นัยน์ตาของมธุกรลุกโชนด้วยประกายไฟแห่งการท้าทาย “ฉันชื่อมธุกร ประธานมูลนิธิโลกในฝัน แม่ของแกที่ชื่อทับทิมน่ะตายไปสิบห้าปีแล้ว”

การโต้เถียงของสองแม่ลูกดังไปทั่วบริเวณ ทำให้ที่เกิดเหตุเต็มไปด้วยคำกล่าวโทษกัน ทั้งเรื่องความโลภ การหักหลัง และความเห็นแก่ตัวลอยไปมา ความสัมพันธ์ของครอบครัวที่เปราะบางพังทลายลงภายใต้คำพูดที่ออกมาจากปากตัวเอง ไม่นานนักตำรวจก็เข้ามาห้าม เพื่อจับกุมมธุกรและภมรท่ามกลางการเผชิญหน้าอันอาฆาตแค้นของพวกเขา

 

ในวันต่อมา เรไรที่ถูกจับกุมก็ได้รับการประกันตัว ขณะที่พฤกษ์รอพบเธออยู่นอกสถานีตำรวจ สีหน้าของเขาทั้งเครียดและกังวล ระหว่างที่เรไรก้าวออกมา เธอเห็นพฤกษ์ยืนพิงรถ สองมือกอดอกและมองมาทางเธอด้วยความห่วงใย มีความเงียบอยู่ครู่หนึ่ง อาจเป็นความสงบหลังจากเกิดพายุ ที่ทั้งคู่กำลังรอรับกับผลของการกระทำที่เกิดขึ้น

หลังจากเรไรถูกจับกุม พฤกษ์ดำเนินการทันทีเพื่อประกันตัวเธอ และเขาอดไม่ได้ที่จะสงสัยเกี่ยวกับแรงจูงใจของสิ่งที่หญิงสาวทำ

“คุณทำสิ่งนี้…เพราะคุณต้องการแก้แค้นใช่ไหม เรื่องที่ผมถูกยิง” พฤกษ์ทำลายความเงียบ ด้วยคำพูดที่นุ่มนวลโดยไม่มีคำกล่าวโทษใดๆ

เรไรยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง สีหน้าของเธอเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า ดวงตาที่เคยสดใสและมีความหวัง บัดนี้กลับอ่อนลงด้วยความรู้สึกที่ว่างเปล่า

“ไม่ใช่แค่นั้นหรอกค่ะ ไม่ใช่แค่เพราะพวกเขายิงคุณ แต่เป็นเพราะฉันมองไม่เห็นหนทางที่จะเอาผิดคนพวกนั้นได้เลย หากเราไม่ทำอะไรสักอย่างไม่คุณก็ฉันหรืออาจจะเป็นทิพย์ ไม่ก็พวกเราทั้งหมดจะต้องถูกกำจัด และความจริงก็จะถูกเก็บไว้โดยไม่มีใครนึกถึงมันอีก เหมือนอย่างที่มันทำกับแม่…”

เธอหยุดชั่วคราวและจ้องมองไปไกล

“ฉันอยากเห็นรอยยิ้มของแม่อีกครั้ง อยากได้ยินเสียงหัวเราะในบ้านของเรา แต่พวกเขาก็พรากสิ่งนั้นไปจากฉัน และฉันเชื่อว่ายังมีเด็กอย่างฉันอีกมากที่ต้องเสียคนที่รักไปเพราะความโลภของพวกมัน”

หัวใจของพฤกษ์ปวดร้าวกับคำพูดของหญิงสาว เขาพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม แล้วเอื้อมไปจับมือเธอเบาๆ

“แล้วตอนนี้ล่ะ รู้สึกยังไงบ้าง”

ดวงตาของเรไรสบเข้ากับพฤกษ์ ประกายบางอย่างที่อาจเป็นความเศร้าได้เพิ่มพูนในใจ

“มันว่างเปล่าเหลือเกินค่ะ ไม่ได้สาแก่ใจอย่างที่คิดไว้เลย ตอนนี้ฉันแค่อยากพัก…”

การพูดคุยยังดำเนินต่อไปอย่างยืดยาว และเต็มไปด้วยคำพูดที่ไม่ได้เอ่ยถึงความเจ็บปวดที่ต้องเผชิญกันอย่างตรงๆ แต่เป็นการเปิดอกคุยถึงจุดจบของบทที่แสนเจ็บปวด และอาจเป็นจุดเริ่มต้นของการเยียวยาสำหรับเรไร

 

ในวัดแห่งหนึ่งอันเงียบสงบ ตรงกันข้ามกับความว้าวุ่นที่กลืนกินชีวิตของเรไรในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ตรงด้านหลังมีเจดีย์ตั้งแถวอันเป็นอนุสรณ์ถึงผู้เสียชีวิต แต่ละด้านของเจดีย์ประดับด้วยรูปถ่ายขนาดเล็ก ซึ่งเป็นสิ่งที่ยืนยันถึงชีวิตที่มีอยู่และดับสูญไป

พฤกษ์นำทางเรไรไปยังเจดีย์หนึ่ง เขาก้าวอย่างช้าๆ และจงใจให้คนที่ตามมารู้สึกถึงความสงบ ขณะที่เข้าไปใกล้ เรไรแทบหยุดหายใจเมื่อเห็นชื่อแม่ของเธอสลักอยู่บนหินอ่อน เธอเอื้อมมือไปแตะที่ด้านหน้า ลากไปตามตัวอักษรราวกับจะยืนยันความจริง

“ใครเป็นคนทำคะ คุณเหรอพฤกษ์” ความไม่อยากเชื่อเจืออยู่ในเสียงที่เบาจนแทบจะเป็นเสียงกระซิบ

พฤกษ์เพียงแค่พยักหน้า สายตาของเขาไม่เปลี่ยนแปลงจากความมั่นคงที่มองเธอ

“ผมคิดว่า…แม่ของคุณสมควรที่จะพักผ่อนอย่างสงบ ในที่ที่เป็นของเธอ”

ความเงียบเกิดขึ้นในระหว่างที่เรไรซึมซับคำพูดของเขา ดวงตาของเธอเปล่งประกายด้วยน้ำตาที่ไหลออกมา

“ขอบคุณนะคะพฤกษ์ ฉันไม่รู้ว่าจะตอบแทนคุณได้อย่างไร” น้ำเสียงอ่อนโยนเต็มไปด้วยอารมณ์ที่หลากหลาย ที่เป็นแบบนี้เพราะนี่คืออิสรภาพชั่วคราวที่เธอได้รับเท่านั้น และยังต้องไปชดใช้ความผิดกับสิ่งที่กระทำอีกนาน

“คุณไม่ได้เป็นหนี้ผมเลยเรย์ เราทั้งคู่ผ่านอะไรมามาก และก็ถึงเวลาที่คุณต้องเดินหน้าต่อไป เพื่อรักษาจิตใจของตัวเองแล้ว” พฤกษ์ส่ายหัว แล้ววางมือปลอบโยนบนไหล่ของหญิงสาว

เรไรวางรูปถ่ายของแม่ที่พกติดตัวเอาไว้ รูปที่ถ่ายคู่กับเธอครั้งยังเป็นเด็กน้อยวางไว้หน้าอนุสรณ์ นิ้วของเธอแตะขอบรูปอย่างเบามือ แล้วค้างอยู่อย่างนั้นเป็นเวลานาน หญิงสาวหลับตาราวกับกำลังสวดอ้อนวอนให้กับแม่ และตัวเธอเอง

“ในที่สุดแม่ก็อยู่ในที่ที่เป็นของตัวเองสักทีนะคะ แต่…ต่อไปหนูอาจไม่ได้มาหาแม่อีกนานเลย” เธอสารภาพ และหันไปสบตากับพฤกษ์ด้วย “อย่างที่คุณบอก ถึงเวลาที่ฉันต้องเดินหน้า และรับผิดชอบต่อสิ่งที่ทำลงไปแล้ว”

ทั้งสองยืนอยู่ตรงหน้าเจดีย์อีกสักพัก ให้สมกับที่ความรู้สึกอัดอั้นอยู่ภายในของเรไร ซึ่งเต็มไปด้วยความเศร้าโศก การสูญเสีย การยอมรับ และท้ายที่สุดคือการเยียวยา ในวัดที่เงียบสงบท่ามกลางความทรงจำของผู้ที่ไม่ได้อยู่กับพวกเขาอีกต่อไป

 

กาลเวลาผ่านไป ที่สุดแล้วเรไรกับทิพย์ก็ได้รับการตัดสิน และเข้าไปรับโทษตามกระบวนการยุติธรรม ส่วนพฤกษ์ก็หันกลับไปทำงานนักข่าวอิสระอย่างที่ตัวเองตั้งใจ ทว่าเขาก็ยังคงแวะเวียนมาหาเรไรอยู่บ่อยๆ

ไม่นานหลังจากเกิดเหตุที่วิลล่าของภมรในวันนั้น มูลนิธิโลกในฝันก็ถูกตรวจสอบและพบว่ามีการฟอกเงินผิดกฎหมายผ่านมูลนิธิจริง รวมถึงตัวตนของมธุกรก็ได้ถูกเปิดเผยอย่างหมดเปลือก ผ่านหลักฐานการปลอมแปลงตัวตนที่ได้จากธุรกิจผิดกฎหมายของมาดามลอร่า

ความเป็นธรรมที่เรไรไม่เคยรู้สึกถึง ดูเหมือนจะชัดเจนยิ่งขึ้นภายในกำแพงที่คุมขังของเรือนจำ สำหรับเธอแล้ว แต่ละวันเป็นเครื่องเตือนใจถึงการกระทำและผลที่ตามมา ซึ่งตรงกันข้ามกับเสรีภาพที่เคยมี

ถึงเช่นนั้น แม้ว่าสภาพแวดล้อมรอบตัวจะดูน่าเบื่อหน่าย แต่ก็ยังคงมีความหวังที่ริบหรี่อยู่ และก็มักจะนำพาความอบอุ่นให้แก่เธอเสมอ นั่นคือพฤกษ์ ด้วยความรู้สึกที่มั่นคงไม่เปลี่ยนแปลงในตัวเธอ เขามาเยี่ยมเธอเป็นประจำ และทุกครั้งที่เจอก็เปรียบเสมือนแสงสว่างในโลกสีเทาภายใต้กำแพงสูง

การมาเยี่ยมในแต่ละครั้ง บรรยากาศที่อึดอัดของเรือนจำคล้ายจะลดลงเมื่อพฤกษ์มาถึง แม้แต่แสงจากหลอดไฟที่รุนแรงก็ดูเหมือนจะอ่อนลง และให้กลิ่นอายของความมีมนุษยธรรมมากขึ้นเล็กน้อยในสภาพแวดล้อมที่เป็น เขาทักทายเธอด้วยรอยยิ้ม ความกังวลที่เคยอยู่บนใบหน้าก็เริ่มผ่อนคลายลง

“คุณโอเคไหมเรย์” น้ำเสียงของเขาแผ่วเบาและเต็มไปด้วยความห่วงใย ดวงตาสอดส่ายหาความเปลี่ยนแปลงของเธอที่พอจะมองเห็นได้

เรไรยิ้มบางๆ ท่าทางของเธอดูแปลกๆ แต่ก็ยังคงความอ่อนโยนอย่างเช่นทุกครั้ง

“ฉันสบายดีค่ะ พฤกษ์” เธอทำให้เขามั่นใจ “อันที่จริง ฉันคิดว่ารู้สึกสงบเวลาอยู่ที่นี่มากกว่าตอนอยู่ข้างนอก มีบางอย่างที่…ค่อนข้างจะเรียบง่ายไม่วุ่นวาย”

พฤกษ์ดูเหมือนจะไตร่ตรองคำพูดอยู่ คิ้วของเขาขมวดเล็กน้อย

“ไม่รู้สึกเหงาเหรอ” เขาถาม

คำถามยังคงค้างคาอยู่ระหว่างพวกเขา ความเงียบถูกทำลายลงโดยเสียงบ่นจากเจ้าหน้าที่ด้านนอกเป็นครั้งคราว เรไรมองหน้าเขาและพบว่าเธอสามารถยิ้มอย่างจริงใจให้เขาได้

“เหงาเหรอคะ” เธอยักไหล่ แววตาฉายแววซุกซน “ก็อาจจะมีบ้างค่ะ แต่เมื่อไรก็ตามที่ฉันเห็นหน้าคุณ ฉันรู้สึก… เหมือนฉันยังเป็นส่วนหนึ่งของโลกนอกกำแพงอยู่ จนบางทีฉันอยากจะพกคุณติดตัวเอาไว้ หรือไม่ก็กระโจนเข้าไปกลืนกินคุณตอนนี้เลย”

คำพูดของเธอเรียกเสียงหัวเราะจากพฤกษ์ ใบหน้าของเขาฉายแววประหลาดใจและดีใจ

“คุณหยอกผมอีกแล้วนะเรย์ แต่คราวนี้ผมไม่ปฏิเสธคุณหรอกนะ” เขาหยอกล้อและแฝงความขี้เล่นไว้ในน้ำเสียง

“บอกแล้วว่าคุณปฏิเสธฉันไม่ได้หรอก” เรไรตอบด้วยรอยยิ้ม

บทสนทนาของทั้งสองดำเนินไปอย่างราบรื่น เต็มด้วยเสียงหัวเราะและคำพูดที่ลึกซึ้ง แม้จะผ่านสถานการณ์ที่น่ากลัวมาแล้ว แต่ทั้งคู่ก็พบการปลอบโยนซึ่งกันและกัน การพูดคุยที่ยาวนานเป็นเครื่องเตือนใจว่า ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน…พวกเขาไม่ได้อยู่ตามลำพัง

 

ขณะที่รอยยิ้มของพฤกษ์กระจายไปทั่วใบหน้า ก็เหมือนมีแสงสว่างส่องเข้ามาในห้องเยี่ยมที่น่าเบื่อ ในดวงตาของเขามีความสุขอย่างลึกซึ้ง ความโล่งใจที่ไม่สามารถพูดออกมาได้ แต่ก็มีบางเรื่องที่ต้องบอกให้เธอได้รับรู้

“เรื่องของภมร…ตอนนี้เขาก็ถูกคุมขังเหมือนกัน” เขาเริ่มด้วยน้ำเสียงมั่นคง “เขากำลังเผชิญกับข้อหาร้ายแรง แต่กับมธุกร…เธอหายตัวไปตั้งแต่เกิดเรื่องจนตอนนี้ก็ไม่มีใครได้พบ บางทีผมก็คิดว่ามันน่าจะปลอดภัย หากคุณจะอยู่ห่างจากพวกเขาไปอีกระยะหนึ่ง”

คำพูดของเขาฝังแน่นในความคิดของหญิงสาว แล้วเริ่มตกตะกอนเหมือนฝุ่นหลังพายุ ข่าวดังกล่าวเป็นสิ่งที่พิสูจน์ถึงผลของการกระทำ แต่กลับมีเพียงภมรคนเดียวเท่านั้นที่ได้รับ ทว่าก็มีความรู้สึกที่ยังไม่คลายออกไปจากใจของเธอ มันเหมือนกับเป็นจุดจบแบบปลายเปิด ซึ่งไม่รู้เลยว่าต่อไปจะเป็นเช่นไร

“คิดว่ามันจะเหมือนกับตอนที่เขาเอาศพแม่ของฉันมาแทนตัวเอง แล้วไปใช้ตัวตนใหม่อีกครั้งไหม”

“ผมว่าไม่ มธุกรทำพลาดมากเกินไป บางที…มันอาจเหมือนกับที่มาดามลอร่า โมรี หรือแม้แต่สอสออิทธิพลเจอก็ได้”

รอยยิ้มของเรไรอ่อนลงจนเกือบจะโล่งใจ ดวงตาของเธอซึ่งมักจะสดใสด้วยความมุ่งมั่น ตอนนี้กลับสงบนิ่ง สะท้อนความในใจของตัวเอง

“ขอบคุณนะคะที่บอกฉันแบบนั้น อย่างน้อย…มันก็อุ่นใจที่รู้ว่าในที่สุดสิ่งที่ฉันต้องการก็สำเร็จ”

ความรู้สึกขอบคุณของเรไรนั้นสัมผัสได้พร้อมกับความคับแน่นในใจ พฤกษ์พยักหน้ารับรู้ทุกคำพูดของเธอ

“รออยู่ตรงนั้นนะเรย์” เขาพูดด้วยสายตาจริงจัง “ผมเชื่อว่าคุณจะออกไปจากที่นี่ได้ในไม่ช้า และจนกว่าจะถึงตอนนั้น…ผมจะรอ ผมจะรอเสมอ”

คำพูดของเขาเหมือนคำสัญญาที่ไม่อาจทำลายได้ดังอยู่ในความเงียบ เรไรทำได้เพียงยิ้มตอบ แววแห่งความหวังส่องประกายในดวงตาของเธอ

“รู้ไหม…ฉันนึกอะไรบางอย่างออกแล้ว” เธอพูด เสียงเริ่มสดใสขึ้นมาเหมือนจะมีความหวังอยู่เต็มหัวใจ “ความจริงมักจะมีวิธีเปิดเผยตัวตนเสมอ แม้ว่าจะซ่อนมันเอาไว้อย่างดีแค่ไหน เหมือนกับที่มธุกรปิดบังตัวเองอยู่ได้สิบกว่าปี แต่ท้ายที่สุดมันก็จะมีคนอย่างพวกเราที่จะต้องเปิดโปงความจริงให้ได้”

“แต่รู้ใช่ไหมเรย์ ว่าเรายังไม่สามารถเปิดโปงคนที่อยู่เบื้องหลังที่แท้จริงได้”

เรไรชำเลืองมองพฤกษ์ แววตาของเธออ่อนลง

“มันต้องมีสักวันที่ความจริงจะปรากฏค่ะ แล้ววันนั้นฉันจะรอพบคุณอีกครั้ง เพื่อเปิดโปงพวกมัน”

คำพูดของเรไรตราตรึงอยู่ในใจ พฤกษ์ประสานมือเข้าด้วยกัน จนนิ้วของเขาเป็นรอยไปด้วยแรงจับ การมองที่ปกติจะอบอุ่น ตอนนี้กลับมีความนุ่มนวลที่แตกต่างออกไป มันเป็นความเชื่อมั่นต่อคำสัญญาที่เขาตั้งใจจะรักษา

“ผมจะอยู่ที่นั่นนะเรย์” เขาพูดเสียงหนักแน่น “เมื่อประตูของคุณเปิดออก ผมจะอยู่อีกด้านหนึ่ง นี่ไม่ใช่จุดสิ้นสุดของเรา”

สิ่งที่เขาบอกออกมาเหมือนดั่งคำสัญญาว่าจะคงอยู่ตลอดไป ซึ่งจะอยู่ในบันทึกแห่งความทรงจำที่ผูกพันกัน เป็นหลักฐานถึงความสัมพันธ์ที่มีซึ่งไม่มีกำแพงเรือนจำใดกั้นได้

เรไรมองเขา รอยยิ้มอ่อนโยนปรากฏขึ้นที่ริมฝีปากของเธอ

“ฉันรู้ค่ะพฤกษ์ ฉันจะตั้งตารอวันที่ฉันก้าวออกจากประตู ไม่ใช่แค่อิสรภาพ แต่เพื่อการเริ่มต้นใหม่…กับคุณ”

เมื่อคำพูดเหล่านี้หลุดออกมาจากปากของเธอ หัวใจของทั้งสองก็เติมเต็มไปด้วยความอบอุ่น ตรงกันข้ามกับเหล็กเย็นและคอนกรีตที่ล้อมรอบอย่างสิ้นเชิง เป็นเหมือนสัญญาณแห่งความหวังที่ส่องสว่างท่ามกลางความหม่นหมองหลังกำแพงสูง

ดังนั้น เมื่อการพบปะสิ้นสุดลง เรไรกับพฤกษ์ก็ยังคงยึดมั่นในคำสัญญาที่ให้ไว้ ต่อไปนี้เวลาที่ทั้งสองมองไปยังอนาคต มันจะไม่มีความอ่อนไหวหรือความกลัว แต่จะเป็นความเชื่อในคำสัญญาของวันที่ดีกว่าที่จะมาถึง

 

อีกด้านหนึ่งของเมือง ในเวลาที่แสงสลัวจับเส้นขอบฟ้า มธุกรซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นสตรีผู้ทรงอำนาจและอิทธิพล บัดนี้ไม่มีอะไรมากไปกว่าการเป็นซาก ภายใต้ความเย็นยะเยือกของสุสานที่กำลังเคลื่อนไหว ขณะที่ใครบางคนนำรถหรูแล่นไปตามเส้นทางแห่งชะตากรรมที่ไม่อาจย้อนกลับได้ อากาศภายในรถก็ปกคลุมไปด้วยความรู้สึกประหวั่นพรั่นพรึงเกินกว่าจะจินตนาการ

ทุกอย่างเกิดขึ้นและจบลงในรถคันนี้ มันมาอย่างกะทันหันด้วยความเงียบอันเป็นลางร้าย สะท้อนถึงการพังทลายของชีวิตที่ครั้งหนึ่งเคยมีอยู่ รถหักเลี้ยวอย่างควบคุมไม่ได้ ราวกันตกพังยับเยินเมื่อมันจมดิ่งลงไปในเหวลึกอันเย็นยะเยือกของอ่างเก็บน้ำเบื้องล่าง

มธุกรหรือนางทับทิมมองดูฉากสุดท้ายของชีวิตอันน่าสยดสยอง จากดินแดนแห่งผู้จากไป โดยเฝ้าดูอย่างสิ้นหวังขณะที่ยานพาหนะซึ่งก็คือโลงศพเหล็ก พุ่งชนผ่านสิ่งกีดขวางและเริ่มตกลงอย่างน่าใจหาย

รถค่อยๆ แล่นลงไปในท้องน้ำ จมลงอย่างช้าๆ ระหว่างที่ด้านหน้าเริ่มดิ่งลงอย่างน่าขนลุก แต่ละวินาทีที่หายวับไปแปรเปลี่ยนไปเป็นความเสียใจชั่วนิรันดร์ ทุกช่วงเวลาเน้นย้ำถึงจุดจบของชะตากรรมตัวเอง โลกเบื้องบนกลายเป็นภาพลวงตาที่ลดน้อยลงเมื่อรถถูกดึงลึกเข้าไปในโลกใต้น้ำ

ความหนาวเย็นของน้ำแทรกซึมเข้าไปในห้องโดยสาร และโอบรอบร่างที่ไร้ชีวิตของเธอ เหมือนเป็นเสียงเรียกหาของชะตากรรมเดียวกันกับที่เธอเคยกระทำกับแม่ของเรไร ตอนนี้มธุกรอยู่คนเดียว ร่างมนุษย์ของเธอจมดิ่งลงไปในเหวลึกที่เธอเคยส่งคนอื่นไปมาก่อน

เหนือขึ้นไปของเมืองที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวา ผู้คนเหล่านั้นไม่รู้ถึงภาพอันน่าหวาดกลัวที่เกิดขึ้นใต้ผิวน้ำ มธุกรซึ่งครั้งหนึ่งเคยปรากฏอยู่ทั่ว ตอนนี้เป็นเพียงแค่ร่างไร้วิญญาณเท่านั้น เสียงของเธอเงียบลง ร่างกายของเธอถูกขังอยู่ในหลุมฝังศพที่มีน้ำ ตัวตนของเธอถูกลืมเลือนจากทุกผู้ทุกคน

มธุกรพบกับจุดจบเช่นเดียวกับชีวิตที่เธอเคยมีอยู่ ปกคลุมไปด้วยความลับ แฝงไปด้วยความทรยศหักหลัง ร่างของเธอซึ่งครั้งหนึ่งเคยมีอิทธิพลในฐานะประธานมูลนิธิ และปกปิดความจริงของนางทับทิม บัดนี้ถูกฝังอยู่ในสุสานใต้น้ำ ความลึกอันมืดมนปกคลุมเธอตลอดกาล ความจริงที่ไม่อาจให้อภัยจมดิ่งลงสู่ความว่างเปล่าที่ไร้แสง

ตัวตนที่ครั้งหนึ่งเคยน่าเกรงขามลดลงเหลือเพียงแต่ซากสังขารที่รอวันย่อยสลาย เฝ้าสังเกตโลกที่เธอเคยควบคุมจากห้วงลึกอันเงียบสงบตลอดไป มธุกรผู้ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นนักเชิดหุ่นแห่งชีวิต ปัจจุบันกลายเป็นหุ่นกระบอกที่ถูกทอดทิ้ง สายเลือดเดียวถูกตัดขาดสะบั้น การเดินทางของเธอไม่ได้จบลงด้วยจุดสุดยอดอันยิ่งใหญ่ แต่เป็นเสียงกระซิบอันเดียวดายอย่างน่าสยดสยองในความมืดมิด

 

– จบบริบูรณ์ –



Don`t copy text!