แสนฟ้าพันธุ์คำ บทที่ 25 : เสมียนคนใหม่

แสนฟ้าพันธุ์คำ บทที่ 25 : เสมียนคนใหม่

โดย : ดาราวดี

Loading

แสนฟ้าพันธุ์คำ โดย ดาราวดี ผลงานจากโครงการอ่านเอาก้าวแรก รุ่นที่ 4 เรื่องราวของสาวชาวเหนือที่เกิดในครอบครัวชนบทที่ยากจน ทำให้เธอต้องตกอยู่ภายใต้สังคมปิตาธิปไตยและการตกเขียวมนุษย์ หากแต่เธอกลับยืนหยัดถึงสิทธิในการมีชีวิตของตนเอง “แสนฟ้าพันธุ์คำ” นวนิยายที่เขียนจากเค้าโครงชีวิตจริงอีกหนึ่งเรื่องที่อ่านได้ใน anowl.co

เช้าวันรุ่งขึ้น จันทร์หล้าถูกคนไปรับตัวมาที่ตำหนักหอหน้าแต่เช้าตรู่ เมื่อผ่านหน้าประตูรั้วเข้ามา ก็พบว่ามีทหารยามที่เคยยืนรักษาการณ์บางตากว่าเมื่อวาน ลดจำนวนลงไปเกือบครึ่ง

พ่อบ้านคนเดิมกุลีกุจอออกมาต้อนรับ ก่อนจะพานางเข้าไปพบกับเจ้าแกมเมืองด้านในตึก เจ้าของตำหนักยังอยู่ในชุดบรรทมที่สวมทับด้วยเสื้อแจ็กเก็ตหนังสีดำตัวโปรด เขากำลังนั่งทานอาหารเช้าบนโต๊ะยาวสีทองหรูหรา มีคนรับใช้ห้อมล้อม สีหน้าดีขึ้นกว่าเมื่อวานมาก

“ไปเตรียมอาหารมาอีกชุด” เมื่อเห็นหญิงสาวเข้ามา เจ้าชายหนุ่มจึงหันไปสั่งหัวหน้าห้องเครื่องที่ยืนรอรับคำสั่งอยู่ตรงมุมห้อง ก่อนจะเรียกให้นางมานั่งร่วมโต๊ะเสวยอาหารกับเขา

“ดูเหมือนข้าจะมาเช้าไป”

“เปล่า” เขาเงยหน้าจากจานอาหารขึ้นมาตอบ “ข้าตื่นสาย เมื่อคืนทำงานอยู่จนดึก พอได้นอนก็เกือบรุ่งสาง”

“แต่เจ้าท่านเพิ่งหายป่วย…”

“ข้าหายดีแล้ว เหลือแต่ตัดไหมที่แผล นั่นอะไร…”

เขาถามไปยังห่อกระดาษที่จันทร์หล้าเอาใส่ตะกร้าถือมาด้วย

“ดอกกุหลาบ…ที่ไปเก็บมาจากอุทยานเมื่อวานเย็นยังไงล่ะ ข้าแบ่งมาให้เจ้าท่านด้วย”

“คิดว่าที่นี่ขาดแคลนดอกไม้พวกนี้หรือไง”

“ดอกไม้ที่นี่มีเยอะก็จริง แต่ก็อยู่ในสวนเสียส่วนใหญ่ ดอกไม้ที่ประดับแจกันแท้บ่มี”

เจ้าชายหนุ่มพยักหน้าว่าไปตามคนช่างสังเกต ก่อนจะหันไปสั่งพ่อบ้านเตรียมแจกันดอกไม้สองใบ เอาไปเตรียมไว้ในห้องทำงาน จังหวะเดียวกันกับที่หัวหน้าห้องเครื่องกลับเข้ามาพร้อมอาหารเช้าอีกหนึ่งชุด

“ข้ากินข้าวเช้ามาจากตำหนักเรียบร้อยแล้วบาทเจ้า”

“ถ้างั้นก็กินเป็นมื้อสายละกัน”

จันทร์หล้างุนงัน ด้วยไม่เคยได้ยินคำว่าข้าวมื้อสาย

“มานั่งใกล้ๆ ข้านี่มา…” เขาคะยั้นคะยอ รับจานอาหารมาวางตรงข้างๆ

“แต่ เจ้านายกับไพร่บ่ควรร่วมโต๊ะอาหารกัน”

“จะได้หรือบ่ได้ก็ต้องได้ ตั้งแต่นี้ต่อไป สูกับข้าจะบ่เพียงจะต้องร่วมโต๊ะอาหารกันเท่านั้น แต่ยังจะต้องนอนร่วมเรือนเดียวกัน นั่งรถคันเดียวกัน บางครั้งก็ต้องดื่มน้ำแก้วเดียวกัน”

หญิงสาวอ้ำอึ้งกับสิ่งที่เขาสาธยาย และยังจินตนาการไม่ออกว่าการทำงานเป็นเสมียนของเขานั้นคืองานประเภทไหน ต้องทำอะไรและทำอย่างไร แต่อย่างน้อยในตอนนี้ นางเองต้องเปิดใจเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ แม้กระทั่งอาหารฝรั่งในจานตรงหน้าที่ดูแปลกตา ทั้งไส้กรอก ไข่ดาว มะเขือเทศย่าง ขนมปังแผ่น อีกทั้งยังมีถั่วขาวในซอสมะเขือเทศและเบคอน

เจ้าแกมเมืองหยิบมีดและส้อมส่งให้นางหนึ่งคู่ จันทร์หล้ารู้สึกโชคยังดีที่นางไม่ทะเล่อทะล่าใช้มือหยิบกินหรือถามหาข้าวเหนียว

“มื้อเช้าแบบอังกฤษ จับมีดกับส้อมไว้ในมือ แบบนี้…” คนนั่งหัวโต๊ะกล่าวเหมือนกำลังสอนเด็กถึงวิธีการจับมีดและส้อมในการหั่นอาหารเข้าปากอย่างถูกต้องตามมารยาทบนโต๊ะอาหาร “เวลาเอาอาหารเข้าปาก ให้คว่ำส้อมลงแล้วใช้มีดตะล่อมอาหารเข้ามา ที่สำคัญ อย่าใช้มีดตักอาหารเข้าปากเด็ดขาด”

“กินยากกินลำบากแท้นัก”

“ลำบากก็ต้องฝึก ตอนต้องร่วมโต๊ะกับฝรั่งจะได้บ่ขายหน้า มันเป็นมารยาท”

คนเคยกินข้าวแต่กับมือเขินเกร็งอยู่ในที เหมือนกำลังถูกสายตาคนรอบข้างจดจ้อง จนเมื่อทานอาหารเสร็จแล้ว เจ้าชายหนุ่มก็เดินนำนางขึ้นไปบนห้องทำงานชั้นสองที่เป็นห้องติดระเบียงฝั่งสวน

ห้องทำงานไม่ใหญ่เท่าไรนัก ในห้องเต็มไปด้วยกองเอกสารและหนังสือกองใหญ่วางกองพะเนินอยู่ตรงพื้น ข้างๆ โต๊ะนั่งเขียนหนังสือมีโต๊ะเขียนแบบและม้วนกระดาษกองอยู่ เสียงนกน้อยและเสียงใบไม้ปลิวเรียกมาจากข้างหน้าต่าง

เจ้าแกมเมืองแจกแจงงานที่จันทร์หล้าต้องทำวันนี้ว่ามีอะไรบ้าง งานที่ว่าเป็นงานจิปาถะ เช่นเก็บกวาดห้องทำงาน คอยรับรองและดูแลแขกที่มาพบ คอยดูแลความเรียบร้อยภายในตึกระหว่างที่เขาไม่อยู่

“ท่านบอกว่าจะสอนภาษาอิงกะริตให้ข้า”

“รู้แล้วน่า แต่วันนี้ข้ามีนัดตัดไหมกับหมอตอนสิบโมง หมอกุปป้าจะมาที่นี่ ข้าจะให้สูคอยอยู่เป็นผู้ช่วยหมอท่านตอนท่านทำแผล ทำแผลเสร็จค่อยสอน”

“แต่ข้าบ่ใช่นางพยาบาล” จันทร์หล้าแย้งตาใส ตามเขาออกมานั่งรับแดดส่องอ่อนอยู่ตรงบันไดระเบียงด้านนอก

เจ้าแกมเมืองนั่งสูบบุหรี่และจิบกาแฟหลังอาหารมื้อเช้าที่โต๊ะเก้าอี้ไม้ ใกล้ๆ มีที่เขี่ยบุหรี่เซรามิกและถาดผลไม้วางอยู่บนโต๊ะ เจ้าชายหนุ่มสูบบุหรี่ไปพลางทานสตรอว์เบอร์รีไปพลาง จันทร์หล้าสังเกตว่าเขามักจะสูบบุหรี่และทานผลไม้ไปด้วยเสมอ เหมือนเป็นความชอบ เป็นรสนิยมส่วนตัว ซึ่งเป็นอะไรที่ประหลาด

“วันนี้ยังบ่ใช่ แต่เดี๋ยววันหน้าก็ใช่เอง ยามที่ต้องเดินทางขึ้นเหนือ สูจะได้จับหยูกยาและจับเครื่องมือยามจำเป็น”

“ไหนเจ้าอามบอกว่า ท่านจะไปภาคเหนือหลังจากเสร็จสิ้นงานปอยส่างลอง”

“เปลี่ยนใหม่ เพราะจำต้องไปถึงที่นั่นก่อนฤดูแล้งจะมาถึง” เขาผุยควันบุหรี่ไปทางอื่น กระชับเสื้อแจ็กเก็ตหนังตัวอุ่นเข้ากับตัว “อาจจะต้องออกเดินทางกันเดือนหน้า”

“หา!” จันทร์หล้าอ้าปากค้าง “ละ…แล้วเฮาจะต้องอยู่ที่นั่นนานแค่ไหนหรือบาทเจ้า”

“อย่างน้อยก็ปีหนึ่ง อย่างมากก็สองปี”

“สองปี!” หญิงสาวอุทานอย่างห่อเหี่ยว “ก็เท่ากับว่า ระหว่างนั้น ข้าจะบ่ได้เจอทุกคนที่นี่ไปอีกสองปี”

เขายักไหล่ตอบอย่างไม่สะทกสะท้าน พลางกดบุหรี่ลงกับจานเขี่ย “ทำไงได้ ภาคเหนือบ่ใช่ที่ใกล้ๆ ถึงขนาดที่จะสามารถขับรถไปกลับวันเดียวหรือขับรถเทียวไปเทียวมาได้บ่อยๆ”

“โธ่…”

ครั้นช่วงสาย หมอกุปป้าก็เดินทางมาถึงที่ตำหนักพร้อมกับแหม่มหลุยซ์ที่มาทำหน้าที่เป็นพยาบาลฝึกหัด จันทร์หล้ารีบลงมาต้อนรับที่หน้าตำหนัก เพื่อจะพาทั้งสองไปยังห้องที่จัดเตรียมไว้เพื่อการทำแผล

“โอ้ ดูสิว่าหมอเจอใครที่นี่ เสมียนคนใหม่ของเจ้าแกมเมือง!”

“ข้าเพิ่งมาทำงานเป็นวันแรกท่านหมอ ข้ายังบ่ได้เป็นเสมียนเต็มตัวขนาดนั้น”

“เดี๋ยวอีกหน่อยก็จะชำนาญการดี”

หญิงสาวยิ้มกว้าง ก่อนจะช่วยยกกระเป๋าพยาบาลที่เต็มไปด้วยอุปกรณ์ทำแผล นำทางคนทั้งสองเข้ามาด้านใน

“หมอได้ข่าวว่าเจ้าแกมเมืองจะพานางไปทำงานด้วยที่ภาคเหนือในอีกบ่ช้า นางต้องดูแลตัวเองดีๆ เมืองทางเหนือยังบ่ค่อยเจริญนัก แถมยังมีสงครามอยู่เนืองๆ ถ้านางแข็งแรงก็จะมีแรงดูแลเจ้าชายท่านได้”

“ข้ารับปาก” หญิงสาวรับคำ ก่อนจะแจ้งว่า “…เจ้าแกมเมืองทรงกำลังเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่อีกห้องหนึ่ง ประเดี๋ยวจะออกมา ท่านหมอและแหม่มหลุยซ์รอเจ้าท่านสักครู่เถิด ข้าจะไปเอาน้ำชาอุ่นๆ มาให้”

“จันทร์หล้า…” หมอกุปป้าเรียกนางไว้ครู่หนึ่ง ก่อนจะสบตา “…ชายที่สูบบุหรี่แกล้มผลไม้ที่นางเคยเจอที่โรงพนันครานั้นนะ ตอนนี้รู้แล้วใช่ไหมว่าเขาเป็นใคร”

จันทร์หล้านิ่งฟัง ก่อนจะพยักหน้าลงอย่างประหม่า คิดว่าท่านหมอเองก็คงจะรู้เรื่องราวนี้อยู่แล้วตั้งแต่ต้น เพราะท่านเองก็เป็นคนที่ถูกเจ้าแกมเมืองร้องขอให้เก็บทุกอย่างไว้เป็นความลับ เช่นเดียวกันกับที่ขอร้องต่อเจ้าสอาดองค์ นางไม่แน่ใจว่าเจ้าแกมเมืองจะเล่าให้หมอฟังทุกอย่างหรือไม่ แต่นางก็มั่นใจว่าหลังจากที่หมอได้ฟังเรื่องราวในส่วนของนางหมดแล้ว ท่านจะปะติดปะต่อลำดับเหตุการณ์ได้ตั้งแต่ต้นจนจบ

ครั้นพอเจ้าแกมเมืองเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ ก็มานอนลงตรงโซฟาที่จัดไว้ หมอกุปป้าสอบถามอาการเจ้าชายคร่าวๆ ก่อนจะสวมใส่ถุงมือสีขาวแล้วเตรียมเครื่องมือแพทย์ออกมาวางเรียงกัน

จันทร์หล้าคอยช่วยอยู่ห่างๆ เพราะจำต้องอยู่ดูวิธีการทำแผลของหมอท่านอย่างละเอียด พอถึงตอนที่หมอลงมือตัดไหม พยาบาลสาวฝึกหัดที่มาด้วยกันก็หันซ้ายหันขวา ก่อนจะหันมาสั่งจันทร์หล้าให้ไปเอาน้ำต้มสะอาดใส่ภาชนะมา แต่ทว่าจันทร์หล้ากลับไม่สามารถสนองคำสั่งหล่อนได้ทันที เพราะฟังภาษาอังกฤษไม่เข้าใจ จนกระทั่งหมอกุปป้าต้องหันมาบอกด้วยตนเอง

“เธอช่างเซ่อซ่าและไร้เดียงสาเสียจริงๆ” แหม่มสาวบ่นกระปอดกระแปดตามหลัง ส่ายหน้าระอาใจ

“พูดกับเธอเป็นภาษาไทสิ เธอไม่เข้าใจภาษาอังกฤษของคุณหรอก” หมอบอก

“แต่มันไม่ใช่ปัญหาของฉันค่ะ ปัญหาคือเด็กสาวคนนี้ไม่เข้าใจภาษาอังกฤษเลยต่างหาก ฉันไม่เคยเห็นคนไร้การศึกษาเสนอหน้าทำงานราชการให้เจ้านายมาก่อนเลยสักครั้ง ขนาดนางพยาบาลที่ทำงานในโรงพยาบาลยังเข้าใจภาษาอังกฤษ”

“ก็พวกเขาร่ำเรียนมา”

จันทร์หล้ากลับมาพร้อมกับขันน้ำต้มร้อน หลุยเซียน่าตั้งแง่รำคาญและปฏิบัติกับนางอย่างไม่น่ารัก จนกระทั่งเผลอทำน้ำร้อนลวกมือตัวเองเข้า หล่อนพลันร้องเสียงสูงอย่างไม่พอใจ และอดไม่ได้ที่จะกล่าวโทษถึงความไม่ฉลาดที่หญิงสาวไม่ยอมผสมน้ำเย็นมา

หมอกุปป้าหันมาเอ็ด

“พูดกับเธอดีๆ เถอะ ถึงเธอจะไม่เข้าใจภาษาอังกฤษ แต่คุณก็ไม่มีสิทธิ์พูดกับนางแบบนั้น”

“เธอเป็นแค่คนรับใช้นะคะ และเธอก็ทำงานไม่ระมัดระวังจนทำน้ำร้อนลวกมือฉัน เธอต้องขอโทษฉันค่ะ”

เจ้าอุปราชหนุ่มที่นอนอยู่บนโซฟาได้ยินเหตุการณ์ทั้งหมดตั้งแต่แรก เขายังคงนิ่งเงียบจนกระทั่งหมอทำการปิดแผลด้วยผ้าก๊อซจนเสร็จเรียบร้อย ร่างใหญ่จึงลุกขึ้นมานั่งและหยิบมวนบุหรี่จากซองมาคาบไว้ที่มุมปากตามเคย สายตาคาดเดายาก

“ขอบใจท่านหมอที่ท่านช่วยมาทำแผลให้ข้า คราวหน้าหากจะกรุณา อย่าได้พาผู้หญิงมารยาททรามคนนี้มาเหยียบที่นี่อีก”

เจ้าชายหนุ่มพูดเป็นภาษาอังกฤษอย่างชัดถ้อยชัดคำ และคำว่า ‘ผู้หญิงมารยาททราม’ คำนั้นก็ทำเอาแหม่มสาวชาวอเมริกันหน้าชาเหมือนถูกตบหน้า ละอายขายหน้าเป็นที่สุด หล่อนวิ่งแจ้นออกไปอย่างไม่รีรอ

จันทร์หล้าผู้ซึ่งไม่เข้าใจอะไรเลยตั้งแต่ต้น ก็ได้แต่ตกใจที่เห็นหล่อนหุนหันพลันแล่นออกไปอย่างนั้น นางหันมามองชายทั้งสองเป็นเชิงถาม แต่ทุกคนก็ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น หญิงสาวได้แต่สงสัยและคิดว่า หากนางรู้ภาษาอังกฤษ ก็คงเข้าใจที่พวกเขาพูดกันบ้างสักนิดก็คงจะดี…

ช่วงเที่ยง เจ้าแกมเมืองก็ทรงเปลี่ยนเครื่องแต่งกายเป็นแบบทางการและเคียนศีรษะ เพื่อออกไปเข้าเฝ้าเจ้าฟ้าหลวงที่หอคำ วันนี้ท่านจะต้องออกไปพบอำมาตย์และข้าราชการที่ท้องพระโรง หลังจากประกาศการรักษาตัวจากราชสำนักออกไปเป็นฉบับสุดท้าย

จันทร์หล้าอยู่เฝ้าตำหนักเพียงคนเดียว พวกข้ารับใช้เห็นนางนั่งอยู่เปล่าเปลี่ยวๆ ได้จึงชวนนางลงมาต่อยมะขามป้อมจิ้มพริกเกลือกินเล่นกันที่ห้องครัวด้านล่าง พวกหล่อนพิจารณาหน้าตาและกิริยาท่าทางของคนมาใหม่แล้ว ก็อดจะถามด้วยความซื่อไม่ได้

“สูเป็นเมียใหม่เจ้าท่านหรือ”

คนถูกถามแทบสำลักมะขามป้อม กล่าวปัดเป็นพัลวัน “บ่แม่นเมีย ข้าเป็นเสมียนของเจ้าท่าน”

“บ่เคยเห็นเจ้าแกมเมืองต้องมีเสมียนสักครั้ง ท่านเป็นคนระวังตัว น้อยครั้งถึงจะเห็นท่านรับคนใหม่ๆ เข้ามาทำงานด้วย…ยิ่งกับผู้หญิงด้วยแล้ว ก็ยิ่งเป็นไปบ่ได้ใหญ่”

“เจ้าท่านกำลังจะไปทำงานที่ภาคเหนือ ก็เลยต้องการคนไปช่วยทำงาน” จันทร์หล้าสายตาเลิ่กลั่ก

“หอหน้าบ่เคยมีหญิงใดล่วงล้ำกล้ำกรายขึ้นไปอยู่บนนั้นนานแล้ว ตึกทั้งตึก มีแต่พวกข้าที่เป็นหญิงแต่เป็นขี้ข้าทำงานอยู่แต่ในครัว บ่เคยขึ้นไปข้างบนนั้นสักครั้ง” หญิงอีกคนบอก

“อ้อ ทำไมล่ะ”

“ชีวิตท่านแท้จริงน่าสงสาร เป็นเหมือนคนไร้หัวใจและหยาบกระด้างไปตั้งแต่ตอนที่มารดาท่านเสีย ตอนนั้นคนเขาลือกันว่าเป็นฝีมือของมหาเทวี หากเจ้าฟ้าเอาโทษพระนางบ่ได้ ซ้ำยังมีราชบุตรด้วยกันหลังจากนั้นบ่กี่ปี เจ้าแกมเมืองท่านเลยเหมือนถูกเจ้าพ่อหักหลัง ท่านเกลียดที่นี่ เกลียดแสนฟ้า อยากจะหนีไปจากแสนฟ้าตลอดชีวิต”

“มารดาของเจ้าแกมเมืองที่ว่าท่านเสีย…ข้าได้ยินว่าท่านหญิงท่านถูกยาพิษหรือ”

“ใช่ ถูกยาพิษในอาหาร” หัวหน้าห้องครัวผู้เป็นคนเก่าแก่ย้อนรำลึกความหลัง “…ตั้งแต่เจ้าแกมเมืองถูกแต่งตั้งให้เป็นผู้สืบทอดราชสมบัติ ก็มีข่าวแว่วว่าจะมีคนหมายปองชีวิต อะชีนสิรีมารดาของท่านเลยระแวดระวัง และจะเป็นคนชิมอาหารที่มีคนนอกนำมาถวายก่อนทุกครั้ง ก่อนที่จะมีการนำให้ไปให้เจ้าชายเสวย นั่นแหละ ตายเพราะความรักและเสียสละ”

ว่าแล้วจันทร์หล้าก็หวนกลับไปนึกเมื่อตอนอยู่ที่หมู่บ้านชาวปะหล่อง ตอนนั้นที่นางสงสัยว่าทำไมอ่องมินตูต้องเป็นคนดื่มเหล้าแก้วแรกให้เจ้าชายท่านก่อนทุกครั้ง

“มารดาท่านเป็นคนดีและอ่อนโยน ท่านรักกับเจ้าฟ้าตั้งแต่สมัยเรียนอยู่ด้วยกันที่มหาวิทยาลัย ข้าจำได้แม่น อะชีนท่านจะเรียกเจ้าแกมเมืองว่า…เนย์วินไท่ก์ ลูกรัก เนย์วินไท่ก์ ลูกรัก”

“เนย์วินไท่ก์…ชื่อของเจ้าแกมเมืองที่เป็นภาษาม่านหรืออย่างไร” จันทร์หล้าถามอีกครั้ง

“ใช่…เนย์วินไท่ก์ แปลว่า บุตรแห่งพระอาทิตย์อัสดง”

“บุตรแห่งพระอาทิตย์อัสดง”

“หากสูไปอยู่กับท่านที่เมืองทางเหนือแล้วก็จงดูแลพระอาทิตย์ของพวกข้าให้ดี และฝากสูบอกท่านที ว่าต่อจากนี้ ขอให้ท่านใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้แล้ว…”

หญิงสาวได้ฟังเรื่องราวของเจ้าชายหนุ่มคราใดก็สะเทือนใจทุกครั้ง เขาและนางต่างก็มีชะตากรรมที่ไม่ต่างกัน ที่ต่างก็ต้องการหลบหนีจากการถูกครอบครัวหักหลัง จันทร์หล้าเอง เข้าใจความเจ็บปวดอันแสนสาหัสนั้น

…ว่ากันว่าความเจ็บปวดใดในโลกหล้า ก็ไม่สาหัสเท่าถูกคนที่รักและไว้ใจหักหลัง ยิ่งคนคนนั้นเป็นคนใกล้ชิดหรือคนในครอบครัวด้วยแล้ว ความเจ็บช้ำนั้นยิ่งทวีเป็นร้อยเท่าพันเท่า

 

ช่วงบ่ายแก่ๆ เจ้าแกมเมืองยังไม่กลับเข้ามา จันทร์หล้าปัดกวาดเช็ดถูห้องนั้นห้องนี้เสร็จจนหมดทุกห้องก็เริ่มเบื่อและคิดอุตริที่อยากจะเดินสำรวจบริเวณให้รอบๆ ว่าแล้วนางก็เดินไปดูตรงระเบียงด้านนอก ห้องรับรอง และห้องสมุดที่เต็มไปด้วยกองหนังสือระเกะระกะเรียงรายเต็มไปด้วยหีบไม้ขนาดใหญ่หลายหลัง

หญิงสาวเดินแหวกฝุ่นที่จับตัวหนาและปัดหยากไย่ใยแมงมุมเข้าไปในห้องๆ หนึ่งที่ดูคล้ายจะเป็นห้องเก็บของ ในนั้นมีรูปภาพเก่าๆ มากมายแขวนอยู่ในกรอบไม้และวางจัดอยู่ในตู้กระจก

จันทร์หล้าชะโงกหน้าเข้าไปดูใกล้ๆ รูปถ่ายพวกนั้น ก็ได้เห็นว่ารูปถ่ายครอบครัวของเจ้าชายหนุ่ม ทั้งภาพมารดา น้องชายและเจ้าฟ้าในสมัยหนุ่มๆ แถมยังมีรูปภาพขณะที่ท่านกำลังเรียนหนังสืออยู่ที่มหาวิทยาลัยในต่างประเทศ ใกล้ๆ กันมีภาพถ่ายครึ่งตัวในชุดสำเร็จการศึกษา มีภาษาอังกฤษเขียนบรรยายใต้ภาพใบนั้น เขียนว่า…

NICHOLAS SENGHAN WELLGATE

Bachelor of Engineering (Mechanical Engineering)

with First Class Honours (First Division)

UNIVERSITY OF BRISTOL

November 1920

ในตอนนั้นมีเสียงพ่อบ้านตะโกนเรียกดังมาจากชั้นล่าง จันทร์หล้ารีบออกมาจากห้องนั้น ลงไปพบกับชายชาวต่างชาติสองคนที่ตรงหน้าตำหนัก

พวกเขาทั้งสองมาในชุดสูทสากลและเสื้อโคตตัวยาว เมื่อได้พบกัน พวกเขาก็ถอดหมวกแล้วค่อมหัวให้หญิงสาวเพียงนิด ซึ่งจันทร์หล้าเองก็รีบโค้งคำนับตอบ ก่อนจะเห็นว่าหนึ่งในนั้นคือคนที่เคยเข้ามาช่วยเจ้าแกมเมืองพิชิตเสาน้ำมันตอนงานแข่งกีฬาที่สโมสร ส่วนอีกคนที่ติดตามกันมา เขาเป็นช่างภาพ

แม้เพิ่งได้พบกัน ทว่ารอยยิ้มที่แขกยิ้มให้จันทร์หล้านั้นกลับสื่อความหมายว่าคุ้นเคยกับนาง ราวกับว่าเคยรู้จักนางมาก่อนหน้า…

“สวัสดี สาวน้อย เธอจำฉันได้ไหม” เขากล่าวเป็นภาษาอังกฤษผสมภาษาไทพื้นเมืองแบบตกๆ หล่นๆ แต่ก็พอจับใจความได้จากสำเนียงแปร่งๆ บางคำ “…ที่เราเคยเจอกันที่เมืองหางยังไงล่ะ”

จันทร์หล้าทำหน้าฉงนปนประหลาดใจเมื่อเขาเอ่ยถึงเมืองหาง นางจำไม่ได้ว่าเคยไปเจอกับเขาตอนไหน

“ฉันอยู่ที่นั่นกับนิคโก้…ที่กาสิโน เธอเป็นลมหมดสติ พวกเราเป็นคนพาเธอมาส่งที่โรงพยาบาล”

“ต้องขออภัยเหลือเกินนายท่าน ข้าบ่เข้าใจที่ท่านกำลังพูด”

ชายชาวต่างชาติผู้นั้นถอนหายใจ มีเวลาเหลืออยู่ไม่อยู่มากแล้ว ว่าแล้วเขาก็จึงล้วงเอากระดาษแผ่นเล็กๆ ออกมาจากกระเป๋าเสื้อโคตแล้วยื่นส่งให้

“ฉันจำต้องออกเดินทางไปที่อื่นต่อแล้ว ฉันขอฝากแอดเดรสนี้ไว้ให้นิคโก้ และโปรดบอกเขาด้วยว่า ฉันจะรอเขาที่เมืองกะลอ หากเขาได้แวะเวียนไปที่นั่น ก็ฝากเชิญไปเยี่ยมเยือนฉันตามที่ตั้งนี้จะเป็นการดียิ่ง…รวมถึงเธอด้วย”

แม้จะไม่ค่อยเข้าใจกันมากนัก แต่จันทร์หล้าก็พยักหน้ารับไว้ก่อน จนกระทั่งเจ้าแกมเมืองกลับมาถึงตำหนักในช่วงเย็น นางก็จึงรีบมอบกระดาษแผ่นนี้ให้เขาและเล่าเรื่องชายผู้นั้นให้ฟัง แถมยังบอกอีกว่า ก่อนที่ชายสองคนนั้นจะจากไป พวกเขาได้ขอถ่ายรูปนางนั่งอยู่ตรงหน้าตำหนักหนึ่งรูปเป็นที่ระลึกก่อนจะจากแสนฟ้า

“ชายผู้นั้นบอกว่าจะรอท่านอยู่ที่กะลอ เขาพูดออกมาอีกเยอะ เสียที่ข้าฟังภาษาของเขาบ่เข้าใจก็เลยบ่ทันรู้ ว่าเขาพูดอันใดอีกบ้าง”

“เขาเป็นผู้ตรวจการรัฐ กำลังจะกลับไปประจำฐานทัพที่เมืองกะลอ จึงฝากที่อยู่ของเขาไว้ให้ฉัน”

“เขาพูดบางอย่างที่เกี่ยวกับเมืองหาง บอกว่าเขาก็อยู่ที่นั่น”

“ใช่ เขาอยู่ที่โรงการพนันในคืนนั้น คาลเตอร์เป็นคนที่อุ้มสูไปขึ้นรถตอนที่หมดสติไป…สูนอนหนุนตักเขามาตลอดทาง”

จันทร์หล้าพยักหน้าขึ้นลงเบาๆ…เป็นตอนนั้นนั่นเอง ถึงว่านางไม่คุ้นหน้าเขาแม้เขาจะบอกว่าเคยพบนางที่โรงการพนัน “…โธ่เอ๊ย หากข้ารู้สักนิด คงจะทันได้เอ่ยอ้างขอบคุณเขา”

“ไว้วันหน้าข้าจะพาสูไปเยี่ยมเขาที่เมืองกะลอ ที่นั่นเป็นเมืองป่าสนสวยงามในหุบเขา เป็นเมืองบ้านพักตากอากาศของพวกข้าราชการอังกฤษ ยามจะผ่านไปเมืองหลวงก็ต้องผ่านเมืองนั้น”

เจ้าชายกล่าวพลาง ปลดผ้าเคียนศีรษะไปพลาง ก่อนจะไปนั่งลงตรงโต๊ะทำงาน พร้อมกับคลี่แผนที่บางอย่างที่ได้มาหลังจากเดินทางไปเข้าพบเจ้าฟ้าตลอดทั้งบ่าย ท่าทีเขาดูกระตือรือร้นสนใจอยู่ในที

“ข้าว่า งานเสมียนดูจะเป็นอะไรที่เกินตัวข้าไปนิด” จันทร์หล้าตามมานั่งที่โซฟาเล็กๆ พลางกล่าวตัดพ้ออย่างหดหู่ “บ่เหมาะกับข้าเสียเลย”

“เป็นอะไรไปอีก มีใครว่าอะไรให้เจ็บช้ำน้ำใจอีกหรือไง”

“เปล่า บ่มี แต่ข้าคิดว่าข้าฟังภาษาอิงกะริตบ่ออกเลยสักคำ หนำซ้ำยังเงอะๆ งะๆ ทำอันใดบ่ค่อยจะคล่อง ดูแล้วข้าคงถนัดเวียกงานที่ใช้แรงกายมากกว่า”

“มาทำงานแค่วันแรก ใจสูคิดอยากจะชำนาญไปเสียให้หมดทุกอย่างเลยหรือ มันจะเป็นไปได้ยังไง”

ดวงหน้าเยาว์งามหมองเศร้าและมีท่าทีสับสน เจ้าแกมเมืองเห็นดังนั้นจึงลุกขึ้นจากโต๊ะทำงานเดินไปที่ชั้นวางหนังสือ แล้วหยิบตำราออกมาสามสี่เล่มเอามายื่นให้ เขาหย่อนกายนั่งลงข้างๆ จันทร์หล้า

“พูดบ่เป็นฟังบ่ออก สูก็ต้องเรียนรู้ใหม่ นี่ ตำราแต้มภาษาอังกฤษ สูเอาไปหัดเขียน แล้ววันหน้าข้าจะสอนสูพูดภาษาอังกฤษ”

“อ่านหนังสือพวกนี้แล้วข้าจะเข้าใจและพูดภาษาอิงกะริตเป็นแท้หรือบาทเจ้า”

“อิงลิช บ่แม่น อิงกะริต”

“อิงกะริต”

“พูดใหม่อีกที ช้าๆ พูดตามข้านะ…อิง – เกอะ – ลิช…ชูว ชูว เสียงท้าย” เจ้าของสำเนียงพยายามพูดช้าๆ จันทร์หล้าออกเสียงตามเขาอย่างตั้งใจ

“อิงลิช อิงลิช”

“เยสส! ใช่” เขาตาโตด้วยความมหัศจรรย์ ยิ้มดีใจจนปรบมือเสียงดังลั่น ชื่นชมไม่ขาดปาก จันทร์หล้าพลอยยิ้มออก

“เจ้านายหลายท่านมีนามเรียกลำลองเอาไว้ให้พวกข้ารับใช้เรียกสั้นๆ อย่างเจ้าอาม เจ้าปลา เจ้าเสือ เจ้าสิงห์ แล้วเจ้าอุปราชแสงหาญผู้นี้เล่า เจ้าท่านมีนามเรียกลำลองไหมบาทเจ้า”

คนถูกถามหยุดชะงักเพียงครู่ ก่อนจะบอกด้วยน้ำเสียงเย็นๆ เรียบๆ

“นิคโก้…ข้าชื่อ นิคโก้”

คนถามพึมพำทวนนามนั้นซ้ำไปซ้ำมา…ใช่ ‘นิคโก้’ นามนี้แหละ ที่ชายต่างชาติเอ่ยเรียกเมื่อตอนบ่าย แถมยังเป็นนามเดียวกันกับที่นางได้ยินตอนครั้งที่อยู่โรงการพนันในคืนนั้น ใช่เขาจริงๆ ด้วย

“มาดูแผนที่ตรงนี้กันเถิด”

เขาเรียกนางไปดูแปลนภูมิทัศน์บนม้วนกระดาษขนาดใหญ่ ที่มีทั้งภาพวาดต้นไม้และสิ่งปลูกสร้างในมุมสูง ถนนหนทาง บึง ลำน้ำ และภูมิลักษณะโดยรอบที่เป็นภูเขาและป่าไม้

“อันนี้คืออะไร”

“สวนส้มที่พ่อเจ้าซื้อไว้อยู่ที่เมืองปางขอน สวนส้มหกร้อยไร่ เพาะปลูกส้มสิบสายพันธุ์ ทั้งพันธุ์พื้นเมืองและพันธุ์จากต่างประเทศ หมู่เฮากำลังจะไปทำงานกันที่นี่”

“เฮาจะไปเก็บส้มกันหรือบาทเจ้า”

“เปล่า แต่หมู่เฮาจะไปช่วยกันพัฒนาสวนส้มให้ได้ผลผลิตที่ดี ส่งขายตลาดให้ได้ราคา พ่อเจ้าตั้งใจจะส่งส้มไปตีตลาดขายที่ชายแดนเมืองจีนในปีหน้า เฮาอาจจะต้อง…วางระบบชลประทานตรงนี้…”

เขาชี้ไปยังตรงส่วนด้านบนของลำน้ำที่เป็นรูปคอขวดไหลตัดผ่านลงมาที่สวนส้มขนาดใหญ่เต็มพื้นที่เขาหลายลูก

“ต้องสร้างฝายทดน้ำไว้ใช้ก่อนหน้าแล้งจะมาถึง เฮาจึงต้องรีบเดินทางไปที่นั่น ข้าคิดจะนำเครื่องสูบน้ำเข้ามาทดแทนการใช้แรงงานคน แต่ลำน้ำไหลจากที่สูงลงสู่ที่ต่ำ การจะสูบน้ำขึ้นมาใช้บนสวนส้มเครื่องสูบต้องใช้แรงดันมาก ข้าจะสร้างกังหันลมเพื่อเปลี่ยนพลังลมให้เป็นพลังงานกล โชคดีที่สวนส้มแห่งนี้อยู่บนดอยสูง กังหันลมจึงจะรับลมได้เต็มที่”

เขาพรั่งพรูถึงแผนงานต่างๆ ที่วางไว้น้ำไหลไฟดับ จันทร์หล้าได้แต่พยักหน้าฟังอย่างตั้งใจแม้จะไม่ค่อยเข้าใจศัพท์แสงที่เขาพูดออกมาสักเท่าไร นางได้แต่มองไปตามนิ้วมือที่ลากเลื่อนชี้ให้ดูยังจุดนั้นจุดนี้ รวมถึงแผนการเลี้ยงวัวนม แพะ และอื่นๆ ที่ผุดตามมาอีกมากมาย แค่นี้ก็รู้สึกได้ถึงความเป็นผู้ทรงภูมิและความเฉลียวฉลาดที่มีอยู่ในตัวเขา

อนิจจา หากจันทร์หล้าอ่านภาษาอังกฤษออกสักนิด ตอนนั้นนางก็คงจะได้ทราบว่า เขาเป็นวิศวกรหนุ่มผู้สำเร็จการศึกษามาด้วยรางวัลเกียรตินิยมอันดับ ๑ เหรียญทอง จากมหาวิทยาลัยชั้นนำของอังกฤษ…



Don`t copy text!