นิราศรักสองนครา บทที่ 17 : หวั่นใจ

นิราศรักสองนครา บทที่ 17 : หวั่นใจ

โดย : ปรียนันทนา

นิราศรักสองนครา โดย ปรียนันทนา เรื่องราวของโชติ หญิงสาวชาวสยาม กับทางเลือกสองทาง ความรักของชายหญิงกับความรักหวงแหนแผ่นดินเกิด เธอจะเลือกทางใด และหากไม่สามารถเลือกได้  จะมีหนทางใดที่ใจสองดวงจะมาบรรจบพบกัน ณ จุดที่ลงตัวได้หรือไม่ นวนิยายออนไลน์ที่อ่านเอาอยากให้คุณได้อ่านพร้อมกันที่นี่ anowl.co

โต๊ะเขียนหนังสือทำจากไม้เนื้อแข็งเข้าชุดกันกับเก้าอี้อันเป็นเครื่องเรือนที่นำเข้าจากยุโรปตั้งตระหง่านริมหน้าต่างอาคารแถวห้องริมของชายหนุ่ม  เจ้าของนิ้วมือเรียวยาวกำลังจะจรดปากกาลงบนสมุดคู่ใจหากพลันต้องหยุดชะงักด้วยเสียกเรียกที่ดังมาจากหน้าประตู  เมื่อเงยหน้าขึ้นและลุกไปดูก็พบว่าคนสนิทของกงสุลยืนอยู่หน้าบ้าน  เขามีสีหน้าเคร่งขรึมต่างจากปกติที่ชายหนุ่มเคยพบ  มิเชลสาวเท้าไปหาอีกฝ่ายอย่างรวดเร็วพร้อมกับส่งเสียงถามอย่างสงสัยถึงวัตถุประสงค์ของอีกฝ่าย

“ท่านกงสุลให้กระผมนำจดหมายมาส่งขอรับ”  นายต่วนยื่นซองจดหมายในมือให้อีกฝ่ายซึ่งมิเชลมองปราดเดียวก็รู้ว่าส่งมาจากฝรั่งเศส  เขารับมาถือไว้แล้วยัดใส่กระเป๋ากางเกงโดยไม่คิดเปิดอ่านในตอนนี้

“ขอบใจ  ท่านกงสุลมีเรื่องด่วนฤา  เหตุใดจึงต้องให้นายต่วนมาตามผม”

“ท่านอยากพบคุณมิเชล  บอกว่ามิได้สนทนากันนานแล้วขอรับ”

“เช่นนั้นแน่ฤา”  ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนมีแววไม่เชื่อใจนัก  “เพียงแค่อยากพบหน้ากันถึงกับต้องให้นายต่วนมาตามเชียว  ปกติผมก็เข้าไปพบท่านอยู่เสมอ”

“เรื่องนั้นกระผมไม่แน่ใจขอรับ”  นายต่วนหลบสายตาอย่างมีพิรุธ  เขามิรู้เรื่องตื้นลึกหนาบางระหว่างชายสองคนนี้หากแต่เรื่องฝ่ายกงสุลที่เขาเห็นนั้นค่อนข้างเคร่งเครียดมิใช่น้อยนับตั้งแต่เห็นข่าวในหนังสือพิมพ์บางกอกรีคอร์ดเดอร์  แม้กระนั้นเขาก็เห็นว่าไม่สมควรที่จะเล่าเรื่องนี้ให้มิเชลฟังก่อนด้วยคิดว่าอย่างไรเสียท่ากงสุลคงจะอยากหารือเป็นการส่วนตัวกับชายหนุ่มผู้เปรียบเสมือนญาติของเขามากกว่า

“เช่นนั้นรอสักครู่  ผมขอไปเก็บของก่อน”

มิเชลใช้เวลาเก็บข้าวของบนโต๊ะทำงานไม่นานก่อนจะออกจากห้อง  ไม่นานนักเขาก็ออกไปพบกับกงสุลโอบาเรต์ตามที่อีกฝ่ายแจ้งให้คนสนิทมาตามตัวเขาไป

 

เรือนหลังใหญ่ริมน้ำเจ้าพระยาอันเป็นที่ตั้งของสถานกงสุลฝรั่งเศสแห่งนี้เด่นเป็นสง่ามาหลายปีนับแต่มีการเจริญสัมพันธไมตรีและมีกงสุลมาประจำการ  อาคารได้รับการเปลี่ยนผ่านจากอาคารที่พักสินค้าของและรับรองบุคคลผู้มาเยือนของกรมศุลกากร  หลังจากถูกทิ้งร้างไปจึงเปลี่ยนมาเป็นสถานกงสุลฝรั่งเศสโดยมีกงสุลที่ทำหน้าตัวแทนจักรพรรดิแห่งฝรั่งเศสหมุนเวียนเปลี่ยนคนมาประจำการที่บางกอกซึ่งใช้เป็นทั้งที่พำนักและทำงาน  มิเชลเดินขึ้นบันไดซึ่งอยู่ด้านนอกตัวบ้านไปยังชั้นบนอย่างคุ้นเคย  ระหว่างเดินขึ้นไปเขาสังเกตเห็นชายแต่งกายคล้ายผู้ที่เคยก่อปัญหาบนถนนเจริญกรุงสองสามคนเดินอยู่บริเวณสวนหย่อม  ชายเหล่านั้นมิได้สนใจเขาเพราะกำลังยืนดูคนงานนำต้นไม้ลงดิน  มิเชลจึงละความสนใจจากพวกเขาเมื่อก้าวเข้าไปในห้องโถงชั้นบน  ห้องทำงานของกงสุลอยู่ด้านในขณะที่ชายหนุ่มเดินสวนกับชายกลางคนที่เพิ่งออกมาจากทำงานกงสุลโดยที่เจ้าของบ้านเดินตามออกมาส่ง  ทั้งคู่มีสีหน้ายิ้มแย้มอย่างผู้ที่อัธยาศัยต้องใจกัน

มิเชลก้มศีรษะตอบเมื่ออีกฝ่ายมีท่าทียิ้มเชิงทักทายหากไร้คำแนะนำจากท่านเจ้าของสถานที่  เมี่อฝ่ายผู้มาเยือนเดินลงบันไดลับหายไปผู้ที่เขานับถือเสมือนญาติสนิทจึงเชื้อเชิญเขานั่งลงตรงเก้าอี้ริมหน้าต่าง

“นั่นใครฤาขอรับคุณอา”

“เขาเป็นตัวแทนนำสุรามาขายในสยามน่ะ”  อีกฝ่ายตอบอย่างไม่ใส่ใจมากนักขณะมองหน้ามิเชล  ครั้นเห็นชายหนุ่มมีทีท่าต้องการซักไซ้มากขึ้นเขาจึงรีบหันไปบอกคนสนิทให้นำของว่างและน้ำชามาให้

“คุณอามีเรื่องร้อนใจอันใดฤาขอรับจึงต้องให้นายต่วนไปตามผมมาที่นี่”  เมื่อเห็นว่าโอบาเรต์ผู้ที่ตนนับถือไม่อยากสนทนาด้วยเรื่องชายแปลกหน้าเมื่อครู่เขาจึงไม่ใส่ใจเช่นกัน

“เรื่องที่หนังสือพิมพ์บางกอกรีคอร์ดเดอร์ลงข่าวเรื่องคนในสยามเปลี่ยนมาเข้ากับเราน่ะสิ”  เขาเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งเครียดอย่างไม่เข้าใจ  “แต่ที่แย่ไปกว่านั้นคือการที่ลงข่าวว่าอาทำตัวไม่เหมาะสมต่อหน้าพระพักตร์ทั้งที่ความจริงแล้วอาเพียงแค่อยากทำตามวัตถุประสงค์ให้ลุล่วง”  เขาหมายถึงการเจรจาเรื่องดินแดนเขมรอันเป็นภารกิจหลักของกงสุลเช่นเขา

“ผมว่าเรื่องนี้อาจเข้าใจผิดกันได้นะขอรับ  คุณอาใจเย็น ๆ ก่อนเถิด”  มิเชลครุ่นคิดขณะรินชาให้อีกฝ่ายอย่างกระตือรือร้น  เขาหวังว่าสายลมที่พัดพาเข้ามาจากทางหน้าต่างบานยาวและช่องลมจะช่วยคลายความร้อนรุ่มในใจอีกฝ่ายลงได้บ้างแม้สักนิดก็ยังดี  หลายสัปดาห์ที่ผ่านมาเขาค่อนข้างแน่ใจว่าตนเองได้ใกล้ชิดและคุ้นเคยกับชาวสยามมากพอสมควร  มิเชลพบว่ามีความแตกต่างทางความคิดรวมถึงการปฎิบัติต่อผู้คนที่อาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดต่อกันได้  คนสยามมีความนอบน้อมต่อผู้ใหญ่มาก  ยิ่งเป็นผู้มีพระคุณต่อชีวิตยิ่งได้รับการเคารพอย่างหาที่เปรียบมิได้  ส่วนพวกเขานั้นมีความเคารพในฐานะเป็นเพื่อนมนุษย์ที่มีคุณค่าในตนเองไม่ต่างกัน  แม้ว่าประเทศของเขายังเป็นระบบจักรวรรดิมีจักรพรรดิปกครองแต่ก็มีระเบียบวิธีการที่ให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้น  เขาไม่แปลกใจที่คนสยามรวมถึงคนที่คุ้นเคยกับชาวสยามมานานเช่นหมอบลัดเลย์จะไม่พอใจในกิริยาท่าทีของกงสุลโอบาเรต์ที่บางครั้งอาจแสดงท่าทีต่างออกไปจากที่พวกเขาคุ้นเคย

“มิเข้าใจผิดดอก  พวกเขาคงมิพอใจที่อากดดันเรื่องเมืองเขมร  แต่อาก็ทำตามหน้าที่นะหลาน”  สีหน้าของท่านกงสุลดูเคร่งเครียดหากก็ยังยืนยันความคิดของตนเองอย่างแน่วแน่  “สยามต้องเข้าใจว่าตอนนี้เขมรยอมให้ทางฝรั่งเศสครอบครอง  แม้ทางเขมรอาจยังส่งบรรณาการให้สยามเช่นเดิมก็ตาม”

“เรื่องนี้ผมก็มิสามารถออกความเห็นได้ดอกนะขอรับคุณอา  พวกเขาถือครองกันมานานย่อมต้องมีความเกรงกันอยู่”

“หาเป็นเช่นนั้นได้ไม่นะมิเชล  ในเมื่อทางเขมรโดยกษัตริย์ของเขาลงนามในสนธิสัญญากับเราแล้ว”

“แม้ว่าทางเขาจะมีสัญญาลับ ๆ ต่อกันใช่ไหมขอรับ”

“หลานรู้เรื่องนี้ด้วยฤา”  ผู้อาวุโสกว่ามองชายหนุ่มด้วยความแปลกใจที่มิเชลรู้เรื่องสัญญาระหว่างสยามและเขมรที่ลงนามกันหลังจากเขมรลงนามกับฝรั่งเศส  ข้อนี้ที่ทำให้เขาต้องมาเจรจาเพื่อให้การลงนามระหว่างสยามและฝรั่งเศสเป็นโมฆะให้ได้

“ขอรับ  หลานทราบมาสักพักแล้วและคิดว่าทั้งสองอาณาจักรคงความสัมพันธ์กันมายาวนาน  เขมรเองก็คงจะต้องทำตัวให้อยู่รอดปลอดภัยมากที่สุด  หากคงไม่ได้คิดว่าเรื่องราวจะบานปลายใหญ่โต”

“อย่างไรเสียอาก็ต้องทำให้สยามยินยอมในที่สุด  เพราะเป็นหน้าที่โดยตรงของอา  หวังว่าพวกเขาจะเข้าใจได้ในวันหนึ่ง”

“เช่นนั้นคุณอาคงต้องค่อย ๆ เจรจานะขอรับ  คนสยามมิใช่บ้านป่าเมืองเถื่อน  พวกเขามีอารยธรรมของตนเองที่แม้มิได้เหมือนเราแต่ก็สง่างามในตนเอง”

เขารับรู้ได้ว่าแม้โอบาเรต์ตระหนักดีว่าดินแดนนี้มีกษัตริย์ปกครองหากความที่ถือว่าตนเหนือกว่าด้วยมาจากประเทศที่มีอารยธรรมและเทคโนโลยีในทุกด้านจึงทำให้ลึกลงไปอีกฝ่ายอาจมองว่าผู้คนเหล่านี้มิได้เหนือกว่าตัวเขาที่เป็นเพียงตัวแทนจักรพรรดิแห่งฝรั่งเศสเลยสักนิด  และนั่นอาจเป็นเหตุผลส่วนหนึ่งที่ทำให้พฤติกรรมของเขาแสดงออกมาในลักษณะที่ถูกกล่าวถึงในบางกอกรีคอร์ดเดอร์ของมิชชันนารีชาวอเมริกันผู้สนิทสนมแน่นแฟ้นกับราชวงศ์มายาวนาน

 

เรือนริมน้ำไม่ห่างจากโบสถ์วัดเซ็นต์ฟรังซิสซาเวียร์ได้ต้อนรับหมอชาวอเมริกันหน้าตาสุขุมใจดีเป็นครั้งแรก  สตรีร่างบอบบางหน้าตาจิ้มลิ้มผิวขาวเหลืองผู้เป็นเจ้าบ้านกำลังนั่งพิงหมอนอิงกึ่งนั่งกึ่งนอนต้อนรับผู้มาเยือนอย่างยินดี  หญิงสาวอีกคนที่นั่งไม่ห่างกันหน้าตาคมคายแววตาเป็นประกายเจิดจรัสอย่างผู้ที่สนใจใฝ่รู้สิ่งรอบตัวเสมอกำลังจับเด็กหญิงผมจุกที่เดินล้มลุกคุลุกคลานข้าง ๆ ให้มานั่งข้างตัวแล้วพนมมือไหว้ผู้ก้าวขึ้นมาบนเรือน

“ไหว้หมอสิจ๊ะแม่เพ็ญ”  โชติจับมือแม่เพ็ญไว้หลวม ๆ ซึ่งเด็กหญิงก็ก้มศีรษะเมื่อได้ยินคำว่าไหว้ทันที

“หน้าตาน่ารักน่าชัง”  มิชชันนารีชาวอเมริกันผู้มากความสามารถส่งยิ้มให้เด็กหญิงตัวน้อยอย่างเอ็นดูพลางหันไปหาผู้เป็นมารดาอย่างกังวัลเพราะได้รับคำบอกเล่าจากคุณหญิงอ่วมว่าภรรยาคุณหลวงภูบดินทร์ทักษ์มีอาการค่อนข้างแปลกหลังจากคลอดบุตรสาวได้เกือบครบปีแล้ว  “อาการเป็นเยี่ยงไรบ้างแม่เพ็ญ”

“เหนื่อยง่ายแลเพลียเหลือเกินค่ะหมอ  ฉันรู้สึกว่าข้างในมันร้อน  อาบน้ำก็แล้วแต่มิใคร่ทุเลาสักเท่าใด  ยังดีว่าได้ยาบำรุงที่คุณหลวงจัดหามาให้  แต่ก็มิได้ช่วยมากนัก”

“ขอฉันตรวจอาการได้หรือไม่”

“ได้ค่ะ”  จันขยับตัวลุกนั่งในท่าทางที่อีกฝ่ายสะดวกมากขึ้น

นายแพทย์ชาวอเมริกันตรวจอาการโดยใช้หูฟังมาแนบที่ตรงหน้าอกด้วยท่าทีสุภาพและตั้งใจ  เขาใช้เวลาครู่หนึ่งก่อนจะเก็บเครื่องมือและซักอาการอย่างละเอียดอีกครั้ง  ทั้งหมดนี้ทำเอาโชติที่นั่งฟังอย่างสนใจภาวนาให้แม่ของเด็กหญิงเพ็ญจะหายจากโรคนี้โดยพลัน

“เป็นอย่างไรบ้างคะหมอ”  โชติรีบถามเมื่อเห็นสีหน้าของผู้อาวุโสเคร่งเครียด

“อาการของแม่จันค่อนข้างแปลก  หัวใจเต้นเร็ว  เหนื่อยง่ายทั้งที่เพียงเดินไม่กี่ก้าวเท่านั้น  แต่ก็มิได้เกิดจากการคลอดบุตรแล้วมิได้อยู่ไฟดอก  ตอนนี้ยังตอบไม่ได้ว่าเป็นโรคอะไร  หากแต่จะให้ยาไปกินก่อนเพื่อบรรเทาอาการ”  เขาตอบอย่างไม่ชัดเจนด้วยคิดว่าหญิงผู้ป่วยรายนี้คงเป็นโรคที่ยังไม่มีการรักษาได้แน่ชัด

“แล้วยาจีนที่ว่ากินอยู่นั้นช่วยบ้างหรือไม่”

“ช่วยได้ค่ะ  แต่เมื่อไม่ได้กินต่อเนื่องก็มีอาการอีก  ตอนแรกคุณพี่จะให้หมอจากกรมหมอฝรั่งในวังหน้ามาช่วยดูอาการ  แต่เห็นว่าได้เจอแม่โชติจึงได้พูดคุยกันว่าให้ท่านมาดูอาการดีกว่า”  จันอธิบายด้วยเสียงเรียบเรื่อยแฝงรอยยิ้มบาง ๆ อย่างคนเหนื่อยอ่อน

“เช่นนั้นลองยาบำรุงขอฉันดูก่อน  หากไม่ดีขึ้นจะเปลี่ยนยาให้”

คนไข้และหมอผู้รักษาสนทนากันด้วยความเคร่งเครียด  โชตินั่งฟังอย่างร้อนใจด้วยดูเหมือนว่ายังสรุปไม่ได้เลยสักนิดว่าอาการของคุณน้าจันนั้นเป็นอะไรแน่  หญิงสาวรู้สึกกังวลขึ้นมาทันทีเพราะตอนแรกคาดไว้ว่าเมื่อหมอบลัดเลย์มาตรวจอาการคงได้รู้สาเหตุแห่งความเจ็บป่วย  หากแต่ก็ไร้วี่แววนั้นเสียแล้ว

“หากไม่ดีขึ้นอาจให้หมอแมะดูไหมคะคุณน้า”  โชติพูดขึ้นมากลางวงสนทนา

“นั่นสิแม่จัน  ลองให้หมอมาตรวจหรือยัง”

“ยังมิได้มาดอกค่ะ  คุณพี่เพียงแต่ไปหายามาให้เท่านั้น”  จันเอ่ยถึงสามีด้วยน้ำเสียงซาบซึ้งพลางมองดูบุตรสาวในอ้อมกอดของโชติด้วยความเอ็นดู

นายแพทย์ชาวอเมริกันมองหญิงตรงหน้าอย่างพิจารณา  ท่าทีเหนื่อยอ่อนมิได้เกิดจากการการอดหลับอดนอนเลี้ยงดูบุตรเป็นแน่ด้วยในเรือนนี้มีบ่าวไพร่มากมาย  แม่จันคงมีโรคอย่างใดอย่างหนึ่งเพราะเขาสังเกตว่าการเต้นหัวใจเร็วผิดปกติ  ตรงลำคอดูบวมและดวงตาค่อนข้างโปน  แต่เขาไม่สามารถวินิจฉัยได้ว่าคืออะไร  เพียงแค่การประคองอาการให้ดีขึ้นและหวังว่าหญิงสาวจะหายในไม่ช้า

“หมอคะ”  เสียงเรียกจากหญิงสาวอีกคนทำให้หมอบลัดเลย์หันมามองดวงหน้าสวยหวานสดชื่นที่กำลังมองมาที่เขาอย่างสงสัยใคร่รู้

“ว่าอย่างไรแม่โชติ”

“ข่าวที่หมอเขียนลงในบางกอกรีคอร์ดเดอร์เรื่องท่ากงสุลฝรั่งเศสเป็นจริงเช่นนั้นหรือคะ”

“เป็นเช่นนั้นแหละแม่โชติ”  เขาหมายถึงทั้งเรื่องการการคนในบังคับสยามเปลี่ยนไปเข้ากับฝรั่งเศสและเรื่องการแสดงออกต่อหน้าพระพักตร์ของกงสุลคนนั้น  “นี่เธอสนใจเรื่องนี้กับเขาด้วยฤา”

“สนใจสิคะ  ฉันเคยเจอคนที่เปลี่ยนไปเข้ากับฝรั่งเศสหลังจากที่ไปทำความผิดมากับตัวเองเลย”  หญิงสาวเล่าเรื่องชายชาวจีนผู้นั้นที่ได้เจอบนถนนเจริญกรุงซึ่งทำท่าทีอุกอาจใส่คนสยามมากเหลือเกิน

“มิรู้ว่าอีกหน่อยบ้านเมืองจะเป็นเยี่ยงไรหากมีแต่คนพากันเปลี่ยนไปเข้ากับพวกฝรั่งแล้วกระทำท้าทายเช่นนี้”

“คิงของเธอคงมิยอมให้เหตุการณ์บานปลายไปจนวุ่นวายดอก”

“แต่เรื่องนี้ละเอียดอ่อนยิ่งนักนะคะ  ทั้งยังเกี่ยวกับการเขามาเจรจาเรื่องเมืองเขมรอีกด้วย”

หญิงสาวเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมต่างจากเมื่อครู่  เมื่อมองดูสีหน้าผู้เขียนข่าวก็พบว่าเจ้าตัวกลับมิได้หวาดกลัวหรือหวั่นเกรงใด ๆ ว่าเรื่องราวจะบานปลายใหญ่โต  หมอบลัดเลย์ดูท่าทีผ่อนคลายสบายใจที่ได้ทำหน้าที่แจ้งสิ่งที่เกิดขึ้นในสยามแก่บุคคลอื่น ๆ ให้ได้รับทราบ ต่างจากหญิงสาวที่กำลังหวั่นใจว่าผู้ถูกกล่าวถึงในข่าวจะมีท่าทีอย่างไรเมื่อได้อ่านข้อความเหล่านั้น  และรวมถึงชายอีกผู้หนึ่งซึ่งสนิทสนมใกล้ชิดกับท่านกงสุลด้วย

 



Don`t copy text!