หน้ากากมยุเรศ บทที่ 4 : กุญแจดอกสุดท้าย (2)

โดย : สิตา

Loading

หน้ากากมยุเรศ นวนิยายโรแมนติกดราม่า โดย สิตา ผู้ที่เคยได้รับรางวัลชนะเลิศในโครงการ อ่านเอาก้าวแรก ปี 2 ในนามปากกา “เยว่หวา” ที่ครั้งนี้ เธอขอพาทุกคนสู่การเฉือดเฉือนในวงการธุรกิจของครอบครัวบุหรงกาญจน์ ที่ต่างฝ่ายต่างสวมหน้ากากปิดบังเป้าหมายในใจ ผลลัพธ์จะเป็นอย่างที่คาดเดาหรือหักมุม อ่านออนไลน์กันได้ที่ anowl.co

รถยุโรปคันใหญ่แล่นฉิวบนถนนยามค่ำคืนของกรุงเทพฯ ภายในห้องโดยสารเงียบสนิท แล้วจู่ๆ ก็มีเสียงเอ่ยถามจากเบาะหลัง

‘กี่โมงแล้วนี่’

‘จะสี่ทุ่มครับท่าน’ คนขับรถตอบพลางสังเกตท่าทางเหนื่อยหน่ายของผู้เป็นนายผ่านกระจกมองหลัง ด้วยทำงานกันมานานจนรู้กิจวัตรจึงกล้าเสนอ ‘แวะผับสักแห่งพักเหนื่อยก่อนกลับบ้านไหมครับ’

‘ไม่ละ’ โกศลที่ยังดูหนุ่มแน่นตอบเสียงเนือย ‘ตอนเยี่ยมเตี่ยที่โรง’ บาลเพิ่งโดนม่าม้าเทศน์ยกหนึ่ง บอกช่วงนี้ให้ดูแลเทวิกาดีๆ’ เขาเอ่ยชื่อภรรยาคนแรกผู้จดทะเบียนสมรสอย่างถูกต้อง

คนขับรถรู้ดีเกินกว่าจะเปิดปากพูด เมื่อสัปดาห์ก่อนเทวิกาเพิ่งตกบันไดแท้งลูก…มิหนำซ้ำเป็นการแท้งครั้งที่สองเสียด้วย สำหรับผู้หญิงที่นับว่ามีบุตรยากแบบเธอย่อมเสียใจแทบร้องไห้เป็นเลือด ทางบ้านเดิมของเทวิกาซึ่งเป็นคู่ค้ากับบุหรงกาญจน์โกรธมาก กล่าวหาทางนี้ดูแลไม่ดีจนพ่อของโกศลเครียดขนาดเข้าโรงพยาบาล แม่ของโกศลต้องตามไปเฝ้า ก่อนไปก็กำชับทุกคนช่วงนี้ควรพยายามเก็บตัวอยู่แต่ในบ้าน นัยว่าเพื่อแสดงความเสียใจให้บ้านเดิมของเทวิกาเห็น ทางด้านของเทวิกาเองนั้น หลังกลับจากโรงพยาบาลมาพักฟื้นเมื่อสามวันก่อนก็อาละวาดใส่ทุกคนที่เจอหน้า บ้านตอนนี้จึงร้อนยิ่งกว่านรก

ไม่นานโกศลกลับถึงที่พำนัก เพิ่งเดินออกนอกโรงจอดรถไม่กี่ก้าวหัวหน้าแม่บ้านก็แทบจะวิ่งมาหา

‘แย่แล้วค่ะคุณศล!’

‘มีอะไรอีกล่ะป้าโฉม’ เขาเปล่งเสียงรำคาญ หลายวันที่ผ่านมาเจอหน้าเขา ป้าโฉมเป็นต้องเอ่ยทำนองนี้ต่างทำทักทายไปแล้ว

แทนที่จะรีบรายงานเจื้อยแจ้วเหมือนเคย หัวหน้าแม่บ้านกลับมองซ้ายขวาล่อกแล่ก ‘ไปคุยที่ห้องหนังสือเถอะค่ะ’

ห้องหนังสืออยู่ชั้นล่างของตัวบ้านใกล้โรงจอดรถ พอปิดประตูตามหลังป้าโฉมก็แจกแจงจนลิ้นแทบพันกัน ‘คุณศลทำไมกลับช้าป้าร้อนใจจะตายอยู่แล้ว วันนี้เป็นวันนัดหมอมาดูอาการคุณวิเพราะแกไม่ยอมไปโรงพยาบาล พอตรวจเสร็จหมอแกจะขอคุยกับคุณวิส่วนตัวแต่คุณวิแกเอาแต่นอนบนเตียงไม่ค่อยอยากขยับตัวเลยให้ป้าอยู่ด้วย เกิดต้องหยิบจับอะไรป้าจะได้ช่วย…’

‘ป้าโฉมพอก่อน’ โกศลรีบหยุด ‘เข้าประเด็นสักทีเถอะผมเหนื่อย’

ด้วยฐานะคนเก่าคนแก่หัวหน้าแม่บ้านจึงกล้าค้อนเจ้านายไปที แล้วดึงเขามากระซิบทั้งที่อยู่กันแค่สองคน ‘หมอบอกเพราะการแท้งครั้งนี้คุณวิเลยมีลูกไม่ได้อีกแล้วค่ะ เรื่องนี้รู้กันแค่หมอ คุณวิ ป้าแล้วก็คุณนะคะ’

โกศลชะงักตัวแข็งทื่อ ‘จริงหรือ!’

‘ป้าจะโกหกทำไม ไม่เชื่อก็ถามหมออีกรอบสิ’ เธอโบกไม้โบกมือ ‘ทีนี้หลังหมอกลับไปแป๊บเดียวป้ายังไม่หายตกใจกับข่าวร้ายด้วยซ้ำ คุณวิแกดันลุกพรวดจากที่นอนหน้าตาเฉย โอ๊ย…ทีก่อนหน้าคะยั้นคะยอยังไงแกก็ไม่ยอมลุกสักนิด แต่ป้าไม่กล้าพูดหรอกก็ตอนนั้นคุณวิแกดูน่ากลัวจะตาย แล้วแกก็จ้ำพรวดไปด่าคุณวาดถึงห้องเลย บอกคุณวาดผลักแกตกบันไดจนแท้งลูก!’

บทจะเร่งเครื่องป้าโฉมก็เล่าฉอดๆ เร็วจนโกศลคิดตามแทบไม่ทัน ‘เดี๋ยวนะ วาดมาเกี่ยวอะไรด้วย’

‘ขี้ลืมจริงคุณศล ก็ตอนคุณรับคุณวาดเข้าบ้านเพราะเธอท้องลูกคุณไง แต่เธอดันแท้งแล้วกล่าวหาเป็นฝีมือคุณวิ คุณยังต้องคอยห้ามทัพพวกเธออยู่พักหนึ่งเลย โชคดีคุณวาดท้องอีกครั้งแล้วคลอดคุณอิงเรื่องถึงสงบได้ ทีนี้คุณวิแกหาว่าคุณวาดแค้นเธอเรื่องนั้นเลยผลักตกบันไดจนแท้ง’

‘เหลวไหลกันหมด!’ โกศลตะคอกถึงคนอื่นแต่ทำป้าโฉมสะดุ้ง ‘เรื่องตั้งปีมะโว้ผมลืมหมดแล้วด้วยซ้ำ วาดก็ทำตัวสงบเสงี่ยมมาตลอดยังจะลำเลิกความแค้นอะไรอีก ผลักตกบันไดงั้นหรือ วิพลัดตกบันไดแท้งมาเกือบอาทิตย์ไม่เคยพูดว่าถูกผลักสักคำ จู่ๆ ดันคิดออกตอนหมอแจ้งข่าวร้ายซะงั้น บ้ากันใหญ่!’

‘คุณวิแกคอยหาเรื่องคุณวาดตลอดแหละค่ะ’ หัวหน้าแม่บ้านเห็นด้วย ‘ปกติด่ากันสักสองสามยกก็แยกย้าย แต่งานนี้คุณวิเหมือนถูกผีเข้า ด่าเสร็จดันสั่งคนล็อกกุญแจขังคุณวาดไว้ในห้อง’

‘ว่าไงนะ!’ ผู้เป็นเจ้านายแผดเสียงจนหัวหน้าแม่บ้านหน้าซีด ‘วิทำถึงขนาดนั้น คนในบ้านแม้แต่ป้าโฉมก็ยอมงั้นเรอะ แล้วทำไมไม่โทรบอกผม’

อีกฝ่ายก้มหน้างุด ‘ช่วงนี้คุณวิแกอาละวาดใส่ทุกคนจนกลัวกันหงอ แค่แกกวาดตามองก็หัวหดหมดแล้วใครจะกล้าห้ามล่ะคะ ถ้าใครโทรฟ้องคุณคนนั้นได้โดนหมายหัวทีหลังแน่ อีกอย่างคุณวาดแกก็ธรรมดาเสียที่ไหน รู้อยู่สภาพคุณวิแย่ทั้งกายทั้งใจแทนที่จะยอมอภัยเดินหนีเสียก็จบ ดันด่าสวนฉอดๆ จนคุณวิโกรธถึงหลุดปากสั่งแบบนั้น ป้าสงสารแกนะคะ เพิ่งสะเทือนใจเรื่องมีลูกอีกไม่ได้แล้ว’

โกศลนิ่งไปเมื่อได้ยินคำพูดสุดท้าย ยืนสงบสติอารมณ์จนกระทั่งมือที่กำหมัดแน่นคลายออก ‘วาดถูกขังในห้องแล้วอิงล่ะ’

‘ตอนคุณวิไปด่าคุณวาดใหม่ๆ แม่ผกาเห็นท่าไม่ดีเลยจูงคุณอิงไปหลบห้องเธอ’ ป้าโฉมเรียกผกาเช่นนั้นด้วยความคุ้นปากเพราะอีกฝ่ายเคยเป็นลูกมือในครัวมาก่อน ‘ไฟในห้องแม่ผกาเพิ่งดับก่อนคุณจะกลับไม่นาน เธอคงกล่อมเด็กๆ เข้านอนแล้ว’

พวกลูกของโกศลจะนอนยังห้องเล็กข้างห้องนอนของผู้เป็นมารดาซึ่งทะลุถึงกันได้ ปกติวิมลินมักไปเล่นที่ห้องผกาอยู่บ่อยๆ หากต้องค้างสักคืนคงไม่แปลกที่กระไรนัก อีกอย่างแคนเองก็นอนคนละห้อง

‘สรุปว่าคนที่มีสติดีสุดในบ้านคือผกาสินะ คนที่จบแค่ชั้นประถมด้วยซ้ำ!’

หัวหน้าแม่บ้านยิ้มแหย ‘คุณกลับบ้านแล้วถ้าจะสั่งอะไรคุณวิคงไม่กล้าหือละค่ะ’

โกศลส่ายหัวระอา ‘รีบไขกุญแจปลดล็อกห้องให้วาดเดี๋ยวนี้เลย บอกว่าผมคาดโทษเธอไว้ด้วยหัดทำตัวสงบเสงี่ยมซะ ยังไงเธอก็มีส่วนผิด’

ป้าโฉมกุลีกุจอทำตามสั่ง โกศลก้าวตามออกมาพลางมองไปทางโรงจอดรถ พบคนขับกำลังฮัมเพลงล้างรถขมีขมัน ฝ่ายลูกน้องเมื่อเห็นเจ้านายมอง นึกว่าอีกฝ่ายจะใช้งานจึงรีบหยุดมือเดินมาหา

‘คุณศลมีอะไรจะสั่งหรือครับ’

‘ฉันไม่คิดจะสั่งแค่สงสัย ทำไมแกดูมีความสุขกว่าฉันวะ ฉันทำพลาดตรงไหนไปฮึ’

เจ้านายไม่ใช่เพิ่งบ่นแบบนี้ครั้งแรก คนขับรถเลยยืนกุมมือรับฟังอย่างเดียว โกศลเงยมองชั้นสองของบ้านซึ่งเป็นที่ตั้งห้องนอนเทวิกา หากอารมณ์สามารถระบุเป็นสี ยามนี้ในความคิดเขาคงมีทั้งสีแดงของความโกรธ สีเหลืองแห่งความขลาดเขลาและสีน้ำเงินแทนอารมณ์เย็นชา ทุกสีหลอมรวมเป็นความมืดมิดในดวงตาสีนิล ที่ทั้งน่าหลงใหลและประหวั่นพรั่นพรึงไปพร้อมกัน

‘ฉันมีคำถาม’ โกศลเอ่ยกับคนขับรถ ‘ถ้าเมียแกมีลูกให้ไม่ได้แกจะทำยังไง’

คนโดนถามเอียงคอคิดชั่วครู่ ‘งั้นเมียก็ต้องยอมให้ผมมีกะคนอื่นแล้วละ’

‘ถ้าเมียแกไม่ยอม’

‘อุวะ ไม่ยอมก็หย่าสิครับ’

‘หย่าเมื่อไหร่พ่อแกจะไม่ยกมรดกให้ แบบนั้นยอมหย่าไหม’

คนงานเกาหัว ‘งั้นก็ไม่หย่าครับ’

โกศลพลันเหยียดยิ้มชวนขนลุก ‘ไม่หย่าก็ไม่หย่า แกยังไม่มีลูกใช่ไหม…แต่ฉันโชคดีกว่าเพราะมีลูกแล้ว’

ระหว่างที่คนขับรถงุนงงไม่เข้าใจคำพูดเจ้านายสักกระผีก โกศลก็ลงบันไดเดินห่างตัวบ้านออกไปทุกขณะ คนขับรถวิ่งตาม ไถ่ถามละล่ำละลักเพราะพอรู้เรื่องความวุ่นวายในบ้านจากปากผู้อื่นมาแล้ว

‘คุณศลไม่ไปหาคุณวิหรือครับ’

‘ขืนไปหาตอนนี้คงได้ทะเลาะกันอีกรอบ คิดว่าฉันชอบตะคอกใส่คนป่วยนักหรือไง ขอเดินเล่นสักพักให้ใจเย็นก่อน’

คนขับจึงได้แต่ก้าวตามต้อยๆ โกศลเดินใจลอยเหมือนไม่สนด้วยซ้ำเท้าจะพาไปไหน จนกระทั่งมาหยุดแถวหลังบ้านห่างจากตัวคฤหาสน์พอสมควร เขาสอดส่ายสายตาพลางทัก

‘แถวนี้ทำไมทั้งมืดทั้งโล่ง ใช่ในบ้านฉันแน่เรอะ’ รอบตัวเขาตอนนี้นอกจากกำแพงหลังบ้านซึ่งปลูกต้นอโศกอินเดียชิดรั้วไว้เป็นแถวแล้ว ที่เหลือล้วนเป็นลานว่างโล่งประมาณสนามบาสเกตบอล

คนขับหัวเราะ ‘บ้านคุณสิครับแต่คุณศลไม่ค่อยได้มาแถวนี้เท่าไหร่ สมัยก่อนมันเคยตั้งเรือนกระจกสำหรับคุณสุปลูกต้นไม้ของชอบแก’ เขาอ้างถึงน้องสาวต่างแม่ของโกศล ‘พอคุณสุแต่งงานก็ย้ายไม้ไปด้วยหมด เรือนกระจกทรุดโทรมเพราะไม่มีใครดู เพิ่งรื้อทิ้งเมื่อไม่นานนี้เองถึงดูแปลกตาไปหน่อย’

‘จริงสิมันเคยมีเรือนกระจกหลังใหญ่ตรงนี้ ไอ้ฉันทำแต่งานกลับบ้านก็ขึ้นตึกเลยไม่ทันสนใจ’

คนขับรถกำลังจะโต้ตอบ แต่สายตาเจ้ากรรมดันปะทะกับแสงไฟดวงเล็กวิบวับแถวต้นอโศกอินเดียทางมุมรั้ว มิหน้ำซ้ำยังเคลื่อนที่ได้ เขาเพ่งมองก่อนกระตุกแขนเจ้านาย

‘คุณศลนั่นมันแสงไฟฉาย ใครมาทำอะไรแถวนี้มืดค่ำ’

พวกเขาเอะใจพร้อมกัน โกศลจึงตะโกนนำ ‘นั่นใคร! ฉันโกศลนะรีบมาหาฉันเลย’

แต่แสงไฟฉายดันขยับเหมือนคนถือกำลังวิ่งไปทางประตูรั้ว สองนายบ่าวที่เตรียมตัวอยู่แล้วไล่ตามทันที ประตูรั้วทางหลังบ้านพอเปิดออกจะเจอถนนเล็กๆ เลียบลำกระโดงเพราะสมัยก่อนแถวนี้เคยเป็นสวนผลไม้ ถ้าเดินตามทางไปเรื่อยๆ จะถึงถนนใหญ่ พวกคนงานในบ้านชอบใช้เป็นทางลัดไปตลาดแต่ปกติช่วงกลางคืนจะล็อกไว้ ทว่าเวลานี้เงาลึกลับผลักทีเดียวประตูเหล็กกลับเปิดผลัวะแล้วผลุบหายไป

โกศลวันๆ ทำแต่งานนั่งโต๊ะ วิ่งสักพักก็กลายเป็นรั้งท้ายปล่อยคนขับรถไล่กวดคนลึกลับ ใกล้ถนนใหญ่แสงไฟเริ่มสว่างจนเห็นชัดว่าเงาลึกลับเป็นชายร่างสูงโปร่ง อารามตื่นตระหนกเขากระโดดพรวดลงถนนอาจหวังจะวิ่งหลบรถบังสายตาคนไล่ตาม แต่กะจังหวะผิดรถยนต์จึงชนเปรี้ยงจนกระเด็นหวือ!

โกศลเจอภาพสยองเต็มสองตา แข้งขาหมดแรงก้าวต่อไม่ไหว ได้แต่ยืนหอบตรงถนนเล็กเลียบลำกระโดงเกือบถึงทางเท้า ตาเบิ่งค้างมองร่างสูงโปร่งที่นอนฟุบกลางถนนใหญ่ เลือดทะลักจากใต้ร่างไหลนองเต็มพื้น พริบตาเดียวชาวบ้านก็มุงกันเต็ม เริ่มมีการเรียกรถพยาบาลกับตำรวจ ทางด้านคนขับรถที่เคยเป็นไทยมุงเดินกลับมาหาเขา โกศลยิงคำถาม

‘นั่นใคร’

‘ไม่รู้จักครับ ไม่เคยเจอเลย’

เจ้านายแสดงสีหน้าเคร่งเครียดเมื่อได้ยิน กระชากแขนลูกน้องมากระซิบสั่ง ‘กลับไปค้นตัวเขา แกล้งตะโกนว่าจะหาหลักฐานดูว่าเป็นใคร ชาวบ้านจะได้ไม่เอะใจ’

คนขับรถอ้าปากค้างงุนงงแต่โกศลผลักเขาย้อนไปทางถนนใหญ่ จึงทำตามสั่งแม้มีคำถามเต็มหัว โกศลยืนรอกระวนกระวาย ไม่นานลูกน้องก็กลับมาพร้อมแววตาเลิ่กลั่ก

‘คุณศลครับในตัวเขาไม่มีหลักฐานอะไรเลย แต่เจอ…เจอกุญแจประตูหลังบ้านเราในกระเป๋ากางเกงเขาครับ!’



Don`t copy text!