มหรสพเวรา บทที่ 25 : ผู้มาเยือน

มหรสพเวรา บทที่ 25 : ผู้มาเยือน

โดย : คีตาญชลี แสงสังข์

Loading

มหรสพเวรา โดย คีตาญชลี แสงสังข์ นวนิยายรางวัลชนะเลิศจากโครงการอ่านเอาก้าวแรก รุ่น 4 กับเรื่องราวที่จะพาคุณล่องลอยถอยสู่บรรยากาศบ้านเมืองหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ ย้อนกลับไปเห็นตั้งแต่ของเล็กอย่างแก้วโอเลี้ยงไปจนถึงสิ่งยิ่งใหญ่อย่างโรงมหรสพสมัยใหม่ที่เรียกว่าโรงภาพยนตร์ ขอเชิญท่านพิศเพลินพร้อมกันทั้งประเทศ ณ บัดนี้

 

สายตาที่กวาดมองไปทั่วเรือนก้านมะลิของชายที่เดินเข้ามากับเฟื่องฟ้านั้นมีความเลือดเย็นแฝงอยู่ เขาเป็นชายวัยกลางคนอายุประมาณสามสิบเศษ ผิวดำแดงทว่าไม่เหมือนคนกรำแดด ลำตัวที่หนาทำให้เขาดูเตี้ย แต่เมื่อยืนคู่กับจักรกลับมีความสูงพอๆ กัน

เฟื่องฟ้าแนะนำว่าเขาชื่อขามเป็นญาติของผิน กระนั้นประกายกล้าในดวงตาของเขาก็ให้ความรู้สึกบางอย่างที่ทำให้กลิ่นรู้ว่าเขาไม่ใช่ชาวบ้านธรรมดา

ก่อนหน้านี้ผินหายไปสองวันเรื่องจัดการธุระซื้อส้มโอนครชัยศรีให้เฟื่องฟ้า แต่ปรากฏว่าผินกลับมามือเปล่า หล่อนมารายงานว่าอีกหนึ่งสัปดาห์ญาติของหล่อนจะเป็นคนขนส้มโอมาให้ เพราะตอนที่ผินกลับไปนั้นส้มโอยังไม่แก่พอที่จะเก็บลงมา ตอนนี้นายขามญาติของผินขนส้มโอมาสองเข่งใหญ่ ดูเหมือนไม่มีอะไรพิสดารแต่กลิ่นก็รู้แล้วว่าทั้งหมดมันเป็นแผน

ที่รู้เพราะตอนนี้ไอ้ปีศาจตัวนั้นมันกลับมาแล้ว และกำลังเกาะนิ่งอยู่ข้างหลังชายร่างหนาเหมือนเงาตามตัว สายตาวิปริตของมันจ้องมาที่กลิ่น เมื่อมันยื่นหน้าเข้าไปกระซิบบางอย่างกับนายขาม ชายผู้นั้นก็เงยหน้าขึ้นมองมายังหน้าต่างที่กลิ่นยืนอยู่แทบจะในทันที

จากสายตาชายแปลกหน้า กลิ่นรู้ว่าเขาไม่สามารถมองเห็นเธอ แต่ชายร่างหนาน่าจะรู้ว่าเธออยู่ตรงนี้จากคำกระซิบของอสุรกายตัวนั้น

เฟื่องฟ้าโบกมือทักทัพเที่ยงที่ยืนอยู่ข้างหน้ากลิ่น อีกมือก็ชี้ไปที่ส้มโอสองเข่งใหญ่ เธอประกาศว่าซื้อมาเลี้ยงคนในกองถ่าย ค่าที่ทำงานได้รวดเร็วจนการถ่ายทำจะเสร็จในอีกไม่กี่วันนี้แล้ว

“ส้มโอบ้านผินหรือนี่” จักรทัก

“ของสวนบ้านพี่ขามเขาค่ะ” ผินว่า ก้มหน้ามองกองส้มโอไม่กล้าสบตาจักร ทัพเที่ยงเดินตามลงไปสมทบ กลิ่นยังยืนอยู่ที่เดิม จนร่างพิกลพิการดำเกรียมที่อยู่หลังนายขามหายไป กลิ่นก็หายตัววับตามทัพเที่ยงลงมาด้านล่าง

“จะให้นอนห้องข้างๆ ลุงสดนั่นแหละค่ะ ว่าจะให้นายขามสอนลุงสดตอนต้นไม้ด้วย เวลาคุณย่าอยากได้ลุงสดจะได้ทำเป็น” เสียงเฟื่องฟ้าบอกจักร ท่าทางกระตือรือร้นเกินกว่าเหตุของเฟื่องฟ้าทำจักรหน้าตึง

“แล้วจะมาอยู่กี่วัน” คราวนี้จักรหันไปถามชายชื่อนายขามโดยไม่ผ่านเฟื่องฟ้า

“ว่าจะขอรบกวนคุณท่านสักสองคืนขอรับ แล้วก็จะกลับนครปฐม” นายขามโค้งตัวไปข้างหน้าตอบด้วยอาการนอบน้อม น่าแปลกที่กลิ่นรู้สึกเหมือนดูการแสดง ซึ่งเมื่อประกอบกับผีร้ายที่กลิ่นเห็น กลิ่นก็แน่ใจเหลือเกินว่านายขามเป็นเจ้าของพวกมัน รวมทั้งเป็นเจ้าของตะกรุดและเป็นคนเขียนยันต์สีแดงแผ่นนั้นด้วย

“สวนนายขามอยู่แถวไหน ฉันก็เป็นคนนครปฐม” ทัพเที่ยงถาม กลิ่นแน่ใจว่ามันคือการทดสอบ

“แถววัดห้วยพลูขอรับ” นายขามตอบ ยิ้มเย็น

ไม่รู้เฟื่องฟ้าจับสังเกตได้หรือไม่ แต่หญิงสาวพยายามเบี่ยงประเด็นจากเรื่องของนายขามไปที่การถ่ายภาพยนตร์แทน เธอถามทัพเที่ยงว่าจะปิดกล้องวันไหน เมื่อเขาบอกว่าคิวที่เรือนก้านมะลิจะเสร็จวันนี้ จากนั้นจะย้ายกองไปเก็บฉากในเมือง ไม่เกินสองวันทุกฉากในเรื่องก็จะเสร็จสิ้นโดยสมบูรณ์ เฟื่องฟ้าก็ยิ้มหน้าบาน ดูไม่ออกว่าดีใจที่หนังจะเสร็จหรือเพราะเรือนก้านมะลิจะไร้คนหรือทั้งสองอย่าง

“แล้วเราจะได้ดูหนังกันเมื่อไรคะ”

“ไม่นานแล้วครับ”

“แล้ว…” คราวนี้เฟื่องฟ้าส่งสายตาไปยังสวรรยาที่กำลังนั่งเติมหน้าตัวเองอยู่บนเสื่อที่เฉลียงกับพรประภา ทัพเที่ยงและจักรมองตาม สไบสีจำปาของสวรรยาขับผิวผ่องอยู่ในละอองแดดที่ลอดผ่านใบไม้ลงมาอีกชั้นหนึ่ง

ตามปกติของกองถ่าย นักแสดงจะเตรียมเครื่องแต่งกายและแต่งหน้ากันเอง แต่เรื่องนี้เสื้อผ้าแทบทุกชิ้นของนักแสดงหญิงได้รับการดูแลจากเฟื่องฟ้า โดยเฉพาะพรประภาที่ต้องรับบทสาวนักเรียนนอก ตอนนี้ทั้งเสื้อผ้า หน้า ผม หรือกิริยาท่าทางของหล่อนที่ก๊อบปี้เฟื่องฟ้าไม่ผิดเพี้ยน ทำให้สาวสวยชานเมืองอย่างหล่อนดูโก้ขึ้นมาเป็นกอง

จักรหรี่ตามองสองสาว เขาเป็นคนตอบ “ถ้าเรื่องนั้นคุยกันเรียบร้อยแล้ว ก็ตามแผนเดิมของระย้าเขานั่นแหละ”

“เธอยอม”

“ก็ไม่เห็นว่าอะไรนี่ แค่บอกว่าถ้าคุณแม่เธอเห็นด้วยเธอก็ไม่มีความเห็น”

เฟื่องฟ้าพยักหน้าเหมือนกำลังฟังสิ่งเหลือเชื่อจากจักร แต่แล้วก็สรุปดื้อๆ ว่า ต่อไปนี้เธอจะปล่อยให้เป็นหน้าที่ของระย้า ส่วนเธอจะทำหน้าที่แค่หาเสื้อผ้าเตรียมไว้ให้สวรรยาในวันแถลงข่าวแทน

“เวลาลงหนังสือพิมพ์ นางเอกของเราจะต้องสวยที่สุด” เฟื่องฟ้าประกาศ อารมณ์ดีอย่างผิดสังเกต และนั่นก็ทำให้เมื่อคิวสุดท้ายในเรือนก้านมะลิเสร็จสิ้นลง จักรจึงลากทัพเที่ยงไปคุยกันใต้ต้นแก้ว

“นายว่ายังไง” จักรถามขึ้น เขาคิดว่าเฟื่องฟ้าดูใจดีเกินกว่าเหตุ และจักรไม่เชื่อข้ออ้างเรื่องตอนต้นไม้ที่เฟื่องฟ้าพูดมาสักนิดเดียว

“สำหรับกัน…” ทัพเที่ยงอึกอัก “ถ้าจะให้ออกความเห็นคือนายขามดูไม่เหมือนชาวสวนธรรมดา”

จักรส่ายหัวออกอาการหงุดหงิด “นี่นายจะเกรงใจกันไปทำไม อยู่รั้วเดียวกันก็เหมือนคนในครอบครัวกันแล้ว นายคิดว่ายายฟ้าผิดปกติหรือไม่ผิดปกติก็พูดมาตรงๆ เถอะน่า”

“งั้นก็…กันก็คิดแบบนาย”

“ก็แค่นั้นละ” จักรหันไปที่เรือนก้านมะลิ เห็นเงาเฟื่องฟ้าเดินไปเดินมาอยู่ในบ้าน ทัพเที่ยงมองตามแล้วถามจักรถึงความคิดเห็นของแม่เย็น จักรส่ายหัว เขาทิ้งก้นบุหรี่ลงพื้นขยี้ด้วยปลายเท้า

“ก็บ่นปอดแปด ซักผินใหญ่ว่าเป็นญาติโกโหติกาข้างไหนทำไมไม่เคยได้ยินแม่ผินเล่าให้ฟังเลย หน้าตาก็คนละวัดละวา ก็ซักจนจนมุมนั่นแหละ แต่ยายฟ้าก็มาตัดบทอ้างเรื่องตอนต้นไม้ แล้วบอกว่ามานอนแค่สองคืน จะอะไรกันหนักหนา”

“งั้นนายมานอนเสียที่นี่ดีไหมล่ะ จะได้อยู่เป็นเพื่อนคุณหญิงท่านด้วย”

“ก็ดีเหมือนกัน กันก็อยากรู้เหมือนกันว่ายายฟ้ามีแผนอะไร”

จักรตัดสินใจ เขาเลือกไปนอนที่ห้องเดิมของตัวเองบนตึกใหญ่ ส่วนทัพเที่ยงเมื่อการถ่ายทำเสร็จสิ้น เขาก็ย้ายกลับไปนอนในห้องนอนเดิม โดยที่ไม่ลืมดึงยันต์แผ่นนั้นออกมาเผาทิ้ง และคราวนี้ไม่เหลือซากให้ใครมาพบเห็นได้อีก

 

สองวันต่อมาคืนวันโกนก็เดินทางมาถึง ทุกอย่างนิ่งงันไม่ไหวติงอยู่ในวันลมอับ กลิ่นนั่งมองเรือนใหญ่ของคุณหญิงลำเจียกอยู่บนหลังคาเรือนก้านมะลิ หูก็ได้ยินเสียงสุนัขหอนรับกันเป็นทอดๆ มาจากทางวัดเลียบ เธอรู้สึกใจคอไม่ดี เหมือนกับว่าสิ่งชั่วร้ายกำลังร่ำร้องอยู่ที่ไหนสักแห่ง อาจจะข้างนอกรั้วนั่นหรือไม่ก็ใต้พื้นดิน

คิดแล้วขนลุกซู่ กลิ่นทนนั่งคนเดียวไม่ไหว จึงต้องย้ายตัวเองลงไปหาทัพเที่ยงในห้องนอน

เขาไม่อยู่ในนั้น กลิ่นมองหาแต่ในที่สุดความสนใจของเธอก็ไปหยุดอยู่ที่คันฉ่องลายดอกพุดตานซึ่งแกะเซาะเป็นร่องลงในเนื้อไม้อย่างประณีต แต่เธอไม่อยากแตะต้องมันเมื่อนึกถึงโคลงกลอนที่สลักเอาไว้ทางด้านหลัง

กลิ่นย้ายสายตาไปที่เตียงนอน ลายอย่างเดียวกันนั้นปรากฏอยู่บนแผ่นไม้ขนาดใหญ่ ยันต์แผ่นนั้นโดนเผาไปแล้ว แต่กลิ่นก็ยังรู้สึกถึงความดำมืดบางอย่างที่เกาะยึดอยู่กับเตียงหลังนี้

“คิดอะไรอยู่หรือกลิ่น” ทัพเที่ยงย่องเข้ามา กลิ่นคิดเพลินจนไม่สังเกตว่าเขาเข้าห้องปิดประตูลงกลอนเรียบร้อยแล้ว

เขามองไปที่เตียง ไม่เอ่ยถามอะไรเพราะรู้ดีว่า หากถามกลิ่นเรื่องเตียง เรื่องคันฉ่อง เรื่องไฟไหม้ ความร้อนจากที่ไหนไม่รู้จะเข้าเผาผลาญจนกลิ่นแทบจะตายลงไปรอบสอง ตอนนี้ทัพเที่ยงจึงได้แต่จูงมือกลิ่นไปนั่งบนที่นอน ถามเสียงห่วงใยว่ากลัวหรือเปล่า กลิ่นเพียงยิ้มตอบ เพราะถ้าจะบอกว่าไม่กลัวก็ไม่ใช่ความจริงหรือถ้าบอกว่ากลัว กลิ่นก็ไม่รู้ว่าอาการใจคอไม่ดีที่เป็นอยู่มันมีสาเหตุมาจากอะไร

“ฉันถ่ายหนังเสร็จแล้วนะ กลิ่นจะพาฉันไปไหนก็ไปเถอะ” ทัพเที่ยงทอดเสียง กลิ่นมองเขาอย่างซาบซึ้ง รู้ดีว่าการไปใช้ชีวิตอีกฟากหนึ่งนั้นมันก็เหมือนกับเขาจะไม่ได้หลับไม่ได้นอน แต่ชายหนุ่มก็ยังคงทำตามสัญญา ส่วนหนึ่งกลิ่นแน่ใจว่าเป็นเพราะความอยากรู้อยากเห็นของเขา แต่อีกส่วนก็เพราะเขาไม่เคยลังเลใจในการช่วยเหลือใครเลย

แต่เหมือนทุกอย่างจะช้าไป จากลมที่เบื่อจะพัด จู่ๆ ลมหอบใหญ่ก็กรูเกลียวผ่านเข้ามาทางบานหน้าต่าง ม่านบังตาสะบัดพรึ่บพรั่บ เสียวไส้ว่ามันจะถูกลมทึ้งจนขาดออกจากกัน ความแรงของลมทำให้แจกันแก้วเปล่าบนโต๊ะข้างเตียงล้มกลิ้ง ทัพเที่ยงพยายามเข้าไปคว้า แต่มันหล่นลงบนพื้นกระดานเสียก่อน

ความยืดหยุ่นของเนื้อไม้นั้นมากกว่าพื้นแข็งของกระเบื้อง แจกันแก้วใบนั้นจึงไม่แตก ทัพเที่ยงเพียงจับมันวางแอบเอาไว้ที่ข้างฝา ตั้งใจว่าจะไปปิดหน้าต่าง พลันเสียงบางอย่างที่ต่ำ เย็น แผ่วเบาก็ลอยแทรกกระแสลมเข้ามากระทบโสตประสาทของทั้งคนทั้งผีเข้าเสียก่อน

ทัพเที่ยงและกลิ่นหันกลับไปมองยังหน้าต่าง เห็นลมตีแผ่นไม้กระพือไปมาเหมือนปีกนก ยามที่มันกระแทกเข้ากับวงกบเกิดเสียงปึงปังราวกับจะพังลงมา ทัพเที่ยงกลั้นใจเดินไปปิด กลิ่นทำท่าจะลุกตามแต่เขายกนิ้วแตะปากส่งเสียง “ชู่” แล้วอีกมือก็ชูค้างเป็นสัญลักษณ์ให้กลิ่นนิ่งเอาไว้

เมื่อเขาย่องไปในตำแหน่งที่สามารถมองลงไปเห็นข้างล่างได้ กลิ่นก็เห็นเขาชะงัก หญิงสาวไม่รอให้เขาพูดเธอลอยวูบมายืนเคียงทัพเที่ยงทันที

ข้างล่างนายขามในชุดขาว เปลี่ยนตำแหน่งจากเจ้าของสวนส้มโอมาเป็นหมอผีเต็มขั้น เขาสวมเสื้อคอกลมกางเกงขายาวห่มผ้าพาดดูโพลนไปทั้งตัว สีขาวนั้นขับเน้นผิวสีดำแดงของชายร่างหนาให้มันเลื่อม และการนั่งอยู่ในข่ายสายสิญจน์มีธูปกำใหญ่และเทียมเล่มโตปักไว้บนพื้น ยิ่งทำให้เขาดูน่าเกรงขาม

ด้านหลังนายขามมีเฟื่องฟ้า จุก และผินมากันครบทีม

ทัพเที่ยงคว้าหมับเข้าที่เอวกลิ่น ดึงเข้าไว้กับตัว ตาของเขาเป็นประกายเมื่อจ้องลงไปยังพิธีกรรมข้างล่าง

“ฉันจะไม่ปล่อยให้พวกนั้นทำอะไรเธอ” เขาสัญญา จ้องพิธีกรรมพวกนั้นด้วยความเตรียมพร้อม แต่ทั้งกลิ่นและทัพเที่ยงก็ต้องตกตะลึงเมื่อเห็นอสุรกายนับสิบตัวค่อยๆ ปรากฏร่างขึ้นบนสนามหญ้า มีเสียงครางด้วยความกลัวมาจากกลุ่มของเฟื่องฟ้าข้างหลังนายขาม แต่เมื่อชายร่างหนาหันไปตวาด เสียงครางอย่างขวัญหนีดีฝ่อพวกนั้นก็หยุดลง

ลมพายุพัดแรงขึ้นอีก ต้นจันส่ายโยกน่ากลัวว่ากิ่งจะหัก นายขามยังนั่งหลับตา และเมื่อเขายกมีดด้ามสั้นชี้ขึ้นมาด้านบน พูดเสียงเข้มออกมาว่า “ลงมาเดี๋ยวนี้อีผี” ร่างของกลิ่นก็โดนกระชากจากวงแขนทัพเที่ยง ลงไปยืนหน้าข่ายสายสิญจน์ของนายขามทันที

ทัพเที่ยงตะลีตะลานวิ่งตามลงไป อมนุษย์ที่เพิ่งขึ้นจากพื้นดินและล้อมกลิ่นอยู่ก็เบนความสนใจมาที่เขาเป็นตาเดียว

“เข้ามาในนี้ค่ะคุณทัพ เราจะมาจัดการอีผีนี่ให้” เฟื่องฟ้าตะโกน แต่ทัพเที่ยงทำในสิ่งที่ตรงกันข้าม คือการวิ่งผ่าวงล้อมอสุรกายพวกนั้นไปทางกลิ่น เขาพยายามจะพาเธอหนี แต่กลายเป็นว่าทั้งเขาและกลิ่นอยู่ในวงล้อมของพวกมันแทน

ทัพเที่ยงพยายามเจรจา บอกให้ทุกคนในที่นั้นรู้ว่าเขาไม่ได้โดยกลิ่นล่อลวง แต่ยิ่งพูดก็เหมือนยิ่งตอกย้ำให้คนทั้งหมดเชื่อว่า เขาโดนมนตร์ของกลิ่นจนหน้ามืดตามัวถอนตัวไม่ขึ้น เขาได้ยินนายขามพูดกับคนอื่นๆ ว่าจะต้องจัดการขั้นเด็ดขาด ทัพเที่ยงเลยตัดสินใจถอดสร้อยพระของตัวเองขึ้นชู มันได้ผลเสี้ยวนาทีหนึ่ง พวกอสุรกายยอมถอย แต่ในเสี้ยวนาทีถัดมาสร้อยก็กระเด็นหลุดออกจากมือเขาเพราะวัตถุบางอย่างที่นายขามขว้างออกมา

“จับพวกมันเอาไว้” นายขามออกคำสั่ง เมื่อทัพเที่ยงและกลิ่นโดยแยกจากกันไปคนละทางแล้ว นายขามก็ย่างสามขุมออกจากข่ายสายสิญจน์ ตรงดิ่งไปหากลิ่นพร้อมมีดหมอและหม้อดินใบหนึ่ง

ทัพเที่ยงพยายามดิ้นหนีจากนิ้วมือดำแห้งของอมนุษย์ที่ยึดร่างของเขาเอาไว้ ปากก็พยายามอธิบาย และขอร้องเฟื่องฟ้าให้ปล่อยกลิ่นไป แต่สายตาสาแก่ใจที่เฟื่องฟ้ามองไปยังกลิ่นที่กำลังจะถูกนายขามจัดการ ก็ทำให้ทัพเที่ยงเปลี่ยนเสียงขอร้องเป็นเสียงโหยหวนขึ้นมาแทน

“ปล่อยเธอนะ ปล่อยแม่กลิ่นเดี๋ยวนี้” เสียงทัพเที่ยงคลุ้มคลั่ง เขาพยายามสะบัดตัวแต่แรงไม่พอจะสู้ผีสี่ห้าตนที่ช่วยกันจับเขาเอาไว้

กลิ่นโดยยึดขายึดแขนเอาไว้เหมือนที่เขากำลังโดน แต่ด้านหน้ากลิ่นมีนายขามที่กำลังเงื้อมีดขึ้นสูง เขาได้ยินนายขามพูดขึ้นว่า “ไปอยู่กับข้าเถอะ” ทัพเที่ยงร้องลั่น แต่ก่อนที่ใบมีดจะแทงทะลุวิญญาณของกลิ่น มือข้างที่ถือหม้อดินของนายขามก็สะบัด ภาชนะที่เขากำลังจะกักวิญญาณกลิ่นหลุดจากมือลงมาแตกดังโพล๊ะ

นายขามหันขวับไปที่ทัพเที่ยงมองชายหนุ่มตาค้าง ก่อนจะกระชากเสียงถามเฟื่องฟ้า

“มันมีอาคม ทำไมคุณไม่บอกผมก่อน”

เฟื่องฟ้าหน้าตื่น มองทัพเที่ยงเหมือนจะถาม แต่ก่อนที่ใครจะทันได้คิดหรือพูดอะไรต่อ เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นมาจากทางเดินโรยกรวด

“ไม่ใช่มันหรอก เป็นข้าเอง” ชายวัยกลางคนอายุกลาง 50 ผมสั้นเกรียน สวมกางเกงสแล็กและเสื้อเชิ้ตสีขาวตะโกนตอบ ด้านหลังเขาคือจักร ปิ่นพิมุกข์ ที่เดินสะพายย่ามใบใหญ่ตามชายผู้นั้นมาราวกับเป็นลูกศิษย์

“หลวงลุง” ทัพเที่ยงอุทาน

ชายผู้มาใหม่ก้าวอาดๆ เข้ามาเผชิญหน้ากับนายขาม หมอผีร่างหนาทักผู้อาวุโสกว่าด้วยความใจเย็น

“หลวงลุงท้ายป่าช้ารึ ข้าได้ยินชื่อมานาน ข้าอาจารย์ขามนครชัยศรี ขอดูของดีหลวงลุงหน่อยเถอะวะ” ยิ้มของชายที่อ่อนวัยกว่าท้าทาย สิ้นคำเขาก็ส่งบางอย่างออกไป หลวงลุงผลักจักรกระเด็นก่อนที่จะได้เห็นว่าสิ่งที่ขามขว้างมานั้นคือควายธนูตัวใหญ่ผิวดำเมี่ยม ขามไม่ยอมให้หลวงลุงได้หายใจ เขาส่งโหงพรายซึ่งยืนกระจายในสนามออกไปจัดการชายสูงวัยและจักรอีกระลอก

ตอนนี้เขาไม่สนใจทัพเที่ยง เหลือแต่โหงพรายรูปร่างอัปลักษณ์น่าขยะแขยงเพียงสองตัวจับกลิ่นเอาไว้เท่านั้น

เมื่อไม่เหลือโหงพรายที่ยึดร่างทัพเที่ยงเอาไว้ ชายหนุ่มก็กลิ้งตัวไปคว้าสร้อยพระบนพื้นสนามมาสวมไว้ตามเดิม ทัพเที่ยงมองไปที่กลิ่น แต่แล้วก็ตัดสินใจรวดเร็ววิ่งตรงเข้าไปรื้อถอนข่ายสายสิญจน์และข้าวของในพิธีแทน

เฟื่องฟ้าจะเข้ามาขวาง แต่ผู้หญิงสามคนก็ไม่สามารถจัดการผู้ชายกำยำสูงใหญ่อย่างทัพเที่ยงได้ จังหวะที่นายขามห่วงหน้าพะวงหลัง หลวงลุงของเขาได้โอกาสเอาคืน นายขามกระเด็นล้มลง และจักรไม่ปล่อยโอกาสให้หายไป เขากระโจนเข้าใส่นายขามโดยมีทัพเที่ยงที่เสร็จจากการทำลายข่ายสายสิญจน์เข้ามาช่วยอีกแรง

ความชุลมุนเกิดขึ้น ทั้งแรงอาคม ทั้งแรงวิวาทของคนหนุ่ม เฟื่องฟ้าโดนลูกหลงจนล้มพับลงไปสลบ จังหวะนั้นเสียงหวีดของจุกและผินทำให้ขามหันไปมอง เปิดโอกาสให้ทัพเที่ยงต่อยเปรี้ยงแล้วจับตัวขามกดลงกับพื้นหญ้า จักรตามเข้ามาช่วย ปืนที่จักรเหน็บเอาไว้หลังเอวก็เปลี่ยนมาจ่อหัวกบาลของนายขามแทน

เพียงเท่านั้น ทุกอย่างจึงสงบลงอย่างราบคาบ

“กูไม่กลัวปืนมึงหรอก” นายขามแสยะยิ้ม ยังปากดี จักรเลยขยับปากกระบอกปืนกระแทกลงข้างขมับนายขามไปอีกรอบ

“งั้นมึงก็ลองดูสิ” จักรขู่กลับ

นายขามหัวเราะกว้าง “เอาหลวงลุงของพวกมึงออกไปก่อนสิวะ ค่อยมาลองกับกูสักตั้ง”

“เรื่องอะไรกูจะต้องลอง ชนะแบบไหนก็คือชนะ” จักรยิ้มเย็น ไม่ยอมถอนปืนออกจากหัวนายขาม เขาขู่มันอีกรอบ

“มึงเลือกเอา จะกลับไปอย่างคนเป็นๆ เอาของทุกอย่างของมึงกลับไปด้วย แล้วกูจะไม่เอาเรื่อง หรือมึงอยากจะถูกห่อเสื่อกลับไป”

“เขาจ้างกูมา” นายขามเริ่มเสียงอ่อน

จักรควักแบงก์ร้อยห้าใบวางตรงหน้าหมอผีร่างหนาซึ่งยังนอนแนบอยู่บนสนามหญ้า “งั้นกูจ้างให้มึงกลับไป แล้วอย่ากลับมาเสือกเรื่องที่บ้านกูอีก”

นายขามยอมรับเงิน ยิ้มกริ่ม ก่อนจะหันมาบอกกับจักรว่า ชอบคนที่ใช้เงินแก้ปัญหาอย่างเขา และบอกขอบใจผินที่ช่วยหางานง่ายๆ เงินดีๆ มาให้

 

นายขามกลับไปแล้ว เวลาคล้อยหลังมาจนใกล้เที่ยงคืน เรือนใหญ่ยังอยู่ในความสงบเงียบ บอกให้รู้ว่าคุณหญิงลำเจียก แม่เย็นและคนอื่นๆ ยังคงอยู่ใต้นิทรารมณ์

หลวงลุงซักไซ้ที่มาที่ไป ตอนนี้ทุกคนจึงรับรู้เหมือนๆ กันว่า ด้วยพฤติกรรมแปลกๆ และความทรุดโทรมของทัพเที่ยงเป็นตัวการที่ทำให้นายขามถูกตามเข้ามา และสิ่งที่ยิ่งเร่งให้ทุกอย่างเลวร้ายลงไปก็คือตัวกลิ่นเองที่ดันปรากฏกายให้ผู้คนเห็น

กลิ่นไม่รู้ว่าทำไมเฟื่องฟ้าและคนอื่นๆ จึงเห็นกลิ่น ทั้งๆ ที่เธอไม่เคยคิดจะออกไปพบใครเลย แม้แต่ทัพเที่ยง แต่เป็นเขาเองที่ดันมองเห็นและจับตัวเธอเอาไว้ได้

“การเห็นผีมันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เพราะกายเขาละเอียดกว่าเรา ถึงเขาจะตั้งใจมาปรากฏตัวให้เห็นเราก็มองไม่เห็น แต่บางครั้งเขาไม่ได้ตั้งใจจะให้เราเห็น เรากลับเห็นเพราะมีกรรมหนุนเนื่องกันมา” หลวงลุงพูดขึ้นเหมือนอ่านใจกลิ่นออก

“แล้ว…แล้ว…ที่พวกเราเห็นอยู่ตอนนี้ล่ะครับ” จักรจ้องกลิ่นเหมือนมองงูพิษ มีทั้งความหวาดกลัวและความระแวดระวัง

“ก็ไอ้ขามมันชักนำมาให้พวกเอ็งเห็น ถ้านังหนูนี่ไม่ได้คิดหลบซ่อนตอนนี้พวกเอ็งก็ยังเห็น ไม่ต้องกลัว”

ถึงหลวงลุงจะพูดอย่างนั้น ทั้งจักร ผิน และจุกก็ยังไม่วายขนลุกขนพองอยู่ดี พวกเขานั่งเบียดตัวอยู่ข้างหลวงลุง และเบียดตัวเองให้ใกล้กันมากที่สุด

ระหว่างพวกเขาและกลิ่นมีร่างเฟื่องฟ้าซึ่งนอนหงายไม่ได้สติกั้นอยู่ และที่นั่งถัดไปจากกลิ่นคือทัพเที่ยง ที่ไม่ได้มีความหวาดกลัวกลิ่นอยู่ในสีหน้าแม้แต่น้อยนิด

“แล้วหลวงลุงเข้ามาช่วยพวกผมได้ยังไงครับ” ทัพเที่ยงถามขึ้น ใจจดจ่ออยู่กับชายตรงหน้า มากกว่าจะสนใจจักรที่พยายามกวักมือเรียกให้เขาไปนั่งรวมด้วย

“ข้าได้รับจดหมายเอ็ง ข้าก็เลยมา” หลวงลุงตอบ เล่าอย่างละเอียดต่อไปว่า หลังจากหลวงลุงได้รับจดหมายของทัพเที่ยงซึ่งส่งมาเล่าเหตุการณ์ในเรือนก้านมะลิ หลวงลุงรู้ทันทีว่ากลิ่นและทัพเที่ยงเป็นเจ้ากรรมนายเวรต่อกันมาตั้งแต่ชาติปางก่อน และเมื่ออ่านไปถึงเรื่องตะกรุดและผ้ายันต์ก็นึกเป็นห่วงหลานชายจนตัดสินใจมาหาทันที หากแต่เมื่อมาถึงก็เย็นค่ำ เลยแวะไปหาเพื่อนซึ่งบวชอยู่ที่วัดเลียบ กะว่าจะอาศัยนอนสักคืนแล้วค่อยเข้ามาหาทัพเที่ยงในตอนเช้า กำลังนั่งสมาธิก่อนนอนหลวงลุงก็ได้ยินเสียงหมาหอนรับกันเป็นทอดๆ เมื่อมองไปตามเสียงที่หมามันร้องรับกัน ชายสูงวัยก็เห็นกลุ่มอากาศมืดดำผิดปกติ เขาตัดสินเดินตามเสียงหมามาจนถึงหน้าบ้านโชติกเสวก  เมื่อลองตะโกนเรียก ลุงสดได้ยินจึงไปตามจักรมาหาที่หน้าประตู หลวงลุงส่งจดหมายของทัพเที่ยงให้จักรอ่าน จักรเลยพาเข้าบ้านจนมาช่วยทุกคนเอาไว้ได้ทัน

“ไอ้ขามมันไม่เบา” หลวงลุงเคี้ยวหมาก พูดถึงนายขามอย่างคนที่เคยได้ยินชื่อเสียงกันมา “แต่มันเป็นหมอผี เป็นคนเล่นของ คราวหน้าคราวหลังพวกเอ็งเจอผีเจอสาง น้ำมนต์พระศักดิ์สิทธิ์ที่สุด อย่าได้ริอ่านไปคบค้ากับไอ้พวกนี้อีก” หลวงลุงหันมากำชับผินและจุกเป็นการเฉพาะ

“จะ…เจ้าค่ะ”

“แล้วอย่างนี้ถ้าโดนผีมันตาม เราจะไม่มีทางแก้เลยหรือเจ้าคะ” ผินยังคาใจ เหลือบตามองกลิ่นด้วยความระแวง

“คนฆ่าคนตาย ศาลท่านยังมีบทลงโทษ เอ็งไปทำกรรมกับใครเขาไว้ จะไม่ให้โดนลงโทษเลยนั้นเห็นจะไม่มี เอ็งมันภักดีข้ารู้ แต่กรรมใครก็ของใครนะอีผินเอ๊ย…เห็นเขาดีๆ แต่เอ็งไม่รู้หรอกว่าแต่ละชาติที่ผ่านมาเขาไปทำอะไรเข้าไว้บ้าง เขาถึงว่ามนุษย์เกิดมาเพื่อใช้กรรม ที่ว่าทำดีได้ดีมีที่ไหน ทำชั่วได้ดีมีถมไป มันเป็นความคิดพวกคนบาป มองเห็นชาติเดียวชีวิตเดียวก็พูดเอามันปาก ถ้าเอ็งอยากจะช่วยก็บอกให้เขาหมั่นทำดี ถึงชาตินี้มันจะแก้ไม่ทันชาติหน้าของเขาก็จะได้พบเจอแต่สิ่งที่ดี จำเอาไว้”

ประโยคหลังเหมือนหลวงลุงจะจงใจพูดให้ทุกคนฟัง ก่อนที่จะหันไปทางกลิ่น

“พานังหนูคนนี้ไปด้วย”

กลิ่นตะลึง มองเฟื่องฟ้าที่หลับตาพริ้มอยู่เหมือนจะถาม หลวงลุงพยักหน้า

“ข้าหมายถึงนังหนูคนนี้นี่แหละ พาไปเถอะ เดี๋ยวเอ็งก็จะรู้ว่าข้าคิดไม่ผิด ไอ้ทัพมานี่” คราวนี้หลวงลุงหันไปเรียกหลานชาย เมื่อทัพเที่ยงคลานมาหา ชายในชุดชาวก็เป่าลมพรวด ร่างทัพเที่ยงร่วงผล็อยสลบลงไปทันที

 หลวงลุงหันมาบอกกลิ่นอีกรอบ “เอาไปทั้งสองคน ข้าพูดอะไรไม่ได้มาก มันกรรมของพวกเอ็ง ข้าช่วยได้เพียงเท่านี้” หลวงลุงว่าก่อนจะลงนั่งหลับตา ส่งตัวเองไปอยู่ในสมาธิ



Don`t copy text!