มหรสพเวรา บทที่ 8 : จับผีมือเปล่า

มหรสพเวรา บทที่ 8 : จับผีมือเปล่า

โดย : คีตาญชลี แสงสังข์

Loading

มหรสพเวรา โดย คีตาญชลี แสงสังข์ นวนิยายรางวัลชนะเลิศจากโครงการอ่านเอาก้าวแรก รุ่น 4 กับเรื่องราวที่จะพาคุณล่องลอยถอยสู่บรรยากาศบ้านเมืองหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ ย้อนกลับไปเห็นตั้งแต่ของเล็กอย่างแก้วโอเลี้ยงไปจนถึงสิ่งยิ่งใหญ่อย่างโรงมหรสพสมัยใหม่ที่เรียกว่าโรงภาพยนตร์ ขอเชิญท่านพิศเพลินพร้อมกันทั้งประเทศ ณ บัดนี้

 

หญิงสาวใบหน้ารูปไข่ใต้พุ่มผมยาวประบ่า มองทัพเที่ยงด้วยความหวาดผวา ดวงตาที่ล้อมไปด้วยแผงขนตายาวตรงกะพริบถี่ หล่อนไม่ใช่คนสวยจัด เครื่องหน้านั่นงามก็จริง แต่ผิวสีซีดนั้นก็ชวนขนลุก ยิ่งทัพเที่ยงเห็นสาวๆ ในพระนครมาจนชินชา ใบหน้าไร้การตกแต่งของหล่อน จึงดูจืดชืดพอๆ กับผิวเนื้อซีดเซียวของหล่อนนั่นแหละ

เครื่องแต่งกายก็เหมือนกัน แม้จะไม่ได้เก่ารุ่งริ่งและยังคงเห็นสีสัน แต่ก็ให้ความรู้สึกหม่นมัวราวกับตัวหล่อนมีสีเทาเคลือบไว้อีกชั้นหนึ่ง

“บอกมาว่าเธอเป็นใคร…” ทัพเที่ยงถามย้ำ แสร้งถลึงตามอง เขารู้ว่าหล่อนไม่ใช่คน แต่ความลนลานของหญิงสาวก็ทำให้ทัพเที่ยงมั่นใจว่าตัวเองอยู่ในสถานะที่เหนือกว่า

หญิงสาวอ้าปากตอบ ทัพเที่ยงพยายามเงี่ยหูฟัง แต่สิ่งที่ได้กลับคืนมาคือความว่างเปล่า

“พูด…” เขาขู่อีกครั้ง

หญิงสาวอ้าปากอีกแต่ทัพเที่ยงยังคงไม่ได้ยินสิ่งที่หล่อนพูด ปากพะงาบๆ ขึ้นลงของเจ้าหล่อน กับดวงตาฉงนฉงาย บอกกลายๆ ว่าหล่อนเองก็กำลังแปลกใจอยู่เช่นเดียวกัน

หรือผีพูดไม่ได้…หรือว่าหล่อนเป็นใบ้ แต่สัญญาณมือที่โบกส่ายกอปรกับสีหน้าหล่อนก็ทำให้เขาแน่ใจว่าหล่อนไม่ได้เป็นใบ้ แต่เป็นเขาต่างหากที่ไม่ได้ยินเสียงหล่อน

“แล้วเธอได้ยิน…คือฟังฉันพูดรู้เรื่องใช่ไหม” เขาถาม คราวนี้หล่อนพยักหน้า

ทัพเที่ยงคลายมือที่รัดเอวของหญิงสาวจนแน่น แต่ยังไม่ยอมปล่อย เขาคาดว่าถ้าหล่อนไม่ใช่ผีอาการที่เขารัดผู้หญิงที่สวยขนาดนี้เอาไว้กับอกคงจะต้องรู้สึกอย่างหนึ่งอย่างใดขึ้นมาบ้าง หากแต่เมื่อตระหนักได้ว่าหล่อนคือผี การที่เขามีสติมั่นคงอย่างนี้ก็นับว่าดีมากแล้ว

“ทำไมกัน ทำไมฉันไม่ได้ยินเสียงเธอ” ประโยคนั้นไม่ต้องการคำตอบ เพียงแต่รำพึงด้วยความประหลาดใจเท่านั้น

‘ผีบุญน้อย…มันสื่อสารตรงๆ ไม่ได้ เลยแค่มาปรากฏตัวขอบุญ พวกมันไม่ได้ตั้งใจมาหลอก’ เขานึกถึงคำของหลวงลุง…หรือว่าหล่อนจะเป็นแบบนั้น

‘จิตของคนมักปรุงแต่งให้เห็นเป็นเช่นนั้น ผีนั้นก็อยู่ส่วนผี มายุ่งกับคนอย่างเจ้าไม่ได้ดอก’ นั่นคือคำพูดหลวงพ่อ เขาเคยเชื่อเช่นนั้นจนกระทั่งเขามีอายุครบโหล พี่ชายของหลวงพ่อซึ่งก็คือลุงแท้ๆ ของเขา ซึ่งหนีหายไปกับกลิ่นนมและเครื่องเทศก็กลับมาจากอินเดีย ความคิดของเขาก็เปลี่ยนไปและตอนนี้ร่างในวงแขนของเขาก็คือข้อพิสูจน์

หลวงลุงเป็นผู้เบิกเนตรให้เขา คำว่าเบิกเนตรไม่ใช่เพียงคำเปรียบเทียบ หากแต่มันคือพิธีกรรมที่หลวงลุงได้ทำให้เขาจริงๆ

แรกทีเดียวหลวงลุงบวชเป็นพระตามพ่อเขาเมื่ออายุ 30 อยู่จำพรรษาได้ 3 ปีหลวงลุงก็ตัดสินใจไปเดินธุดงค์ที่อินเดีย

ตอนไปนั้นหลวงลุงไปอย่างพระแต่ตอนกลับนี่สิ หลวงลุงกลับมาอย่างโยคี แต่เป็นโยคีชุดขาวไว้ผมรองทรงไม่ได้หนวดเครารุงรังเหมือนที่เราเคยเห็นกันทั่วไป หลวงลุงว่าโยคีก็ปรับเปลี่ยนตามยุคสมัยเหมือนพระนั่นแหละ ไปอยู่จีนก็นุ่งกางเกงไม่เห็นว่าจะผิดพระวินัยที่ตรงไหน

ตอนนั้นหลวงพ่อของเขาน้ำท่วมปากพูดอะไรไม่ออก เพราะสงครามโลกกำลังปะทุ มหาตมะ คานธีก็กำลังเรียกร้องดินแดนคืนจากอังกฤษ ประเทศอินเดียจึงกลายเป็นพื้นที่อันตราย ดังนั้นเมื่อหลวงลุงกลับมาหลวงพ่อของเขาจึงยินดีมาก แต่ที่ไม่ยินดีเลยก็คือสถานภาพใหม่ของหลวงลุง ถึงอย่างนั้นหลวงพ่อของเขาก็ไปขออนุญาตเจ้าอาวาสให้พี่ชายได้อาศัยในวัดในฐานะคนจรหมอนหมิ่น แต่ผ่านไปเพียง 3 เดือน หลวงลุงก็ได้เลื่อนสถานะมาเป็นสมาชิกวัดอย่างถาวร ทั้งหมดเกิดจากกิจกรรมหาเงินบำรุงวัดที่หลวงลุงคิดขึ้นมาเอง เจ้าอาวาสดีใจเพราะจะได้มีเงินไปซ่อมโบสถ์ ท่านให้ที่ริมป่าช้ากับหลวงลุงปลูกที่พักเป็นสัดเป็นส่วน และหลวงลุงก็ให้เงินบำรุงวัดกลับคืนจนหลังคาโบสถ์เปลี่ยนใหม่ได้ทั้งหลัง

ในฐานะพี่กับน้อง หลวงพ่อดีใจที่พี่ชายมีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง แต่ในฐานะผู้สืบทอดพระพุทธศาสนา หลวงพ่อของเขาก็อยากจะให้พี่ชายตัวเองกลับมาบวชเรียนให้ถูกต้องอยู่ดี แต่หลวงลุงยืนยันว่าท่านบรรลุแล้ว แต่จะบรรลุอะไรนั้นทัพเที่ยงก็ไม่แน่ใจ รู้แต่ว่าโยคีหลวงลุงนั้นรักษาคนได้ด้วยการนวด สมุนไพร เป่าเหล้า ส่วนการใบ้หวยและดูดวงเป็นกิจการเสริม ที่ทำให้บ้านหรือที่หลวงลุงเรียกว่า ‘อาศรม’ มีคนเดินทางมาหาไม่ได้ขาด

ทัพเที่ยงนั้นสนิทกับหลวงลุงมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย ดังนั้นเมื่อหลวงลุงกลับมาในสถานะโยคีที่พาเขาไปซื้อขนมและไปไหนต่อไหนได้ ทัพเที่ยงเลยขลุกอยู่แต่ในอาศรม และนั่นก็เป็นสถานที่ที่ทำให้เขาได้รับรู้เรื่องราวพิสดาร ผิดแผกไปจากสิ่งที่หลวงพ่อเคยสอน

‘ผีมันก็คือจิตที่หลุดลอยออกจากกายเนื้อนี่แหละ ถ้าเอ็งไม่เชื่อข้าว่าผีมีจริง เอ็งก็ลองฝึกดู แล้วเอ็งก็จะได้เห็นสิ่งที่เอ็งไม่เชื่อ ไม่เคยเห็น’ หลวงลุงบอกทัพเที่ยง และนั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้ชีวิตของทัพเที่ยงถูกดึงดูดไปสู่มิติใหม่ที่ไม่เคยรู้เห็นมาก่อน ท่า ‘ศวาสนะ’ หรือท่าศพ อันเป็นท่าโยคะขั้นพื้นฐานที่เขาทำเมื่อครู่นี้ก็เหมือนกัน มันเป็นท่าทางที่หลวงลุงฝึกเขาหลังเปิดตาที่สาม จนเขามีโอกาสได้สัมผัสสิ่งที่เรียกว่าผี อยู่เนืองๆ แต่ไม่มีครั้งไหนเลยที่เขาจะได้สัมผัสผีตัวเป็นๆ จะจะ เหมือนที่เขากำลังสัมผัสอยู่ในตอนนี้

ทัพเที่ยงนึกย้อน ไม่รู้ว่าจะขอบคุณหลวงลุงหรือโกรธตัวเองที่ถลำดำดิ่งเข้ามาในวงจรที่ไม่อาจถอนตัวกลับดี

“ฉันจะปล่อยเธอ” เขาจ้องหน้าซีดๆ ของหญิงสาว แล้วว่า “สัญญาก่อนสิว่าจะไม่หนี ถ้าเธอหนีฉันจะหาคนมารังควานเธอไม่เลิก เอาให้อยู่ที่บ้านหลังนี้ไม่ได้อีกต่อไป” ชายหนุ่มออกเสียงขู่ กลิ่นพยักหน้าหวาดๆ

“เธอเข้าใจทุกคำใช่ไหม” ทัพเที่ยงถาม กลิ่นพยักหน้าอีกครั้ง

การสื่อสารด้วยการที่คนหนึ่งพูดคนหนึ่งใบ้เป็นไปได้ไม่ยากนัก ตอนนี้ทัพเที่ยงรู้แล้วว่ากลิ่นเป็นผีที่อยู่ตนเดียวในบ้านหลังนี้ เขาพยายามจะถามชื่อแต่มันคงจะยากเกินกว่าที่หล่อนจะทำให้เขาเข้าใจได้

“ดม…อะไรของเธอ” ทัพเที่ยงมองหญิงสาวที่ทำท่าหยิบบางอย่างขึ้นมาสูดดม

หญิงสาวส่ายศีรษะ

“ไม่ใช่อย่างนั้นหรือ แล้วเธอชื่ออะไรกันแน่ อะไรนะ…” เขาจ้องปากหญิงสาว แต่อ่านยังไงก็อ่านไม่ออก หล่อนจึงทำท่าดมอีกครั้ง คราวนี้เมื่อดมแล้วหล่อนก็เงยหน้าหลับตาพริ้มเหมือนได้สูดกลิ่นหอมเข้าไป

“หอมหรือ กลิ่นหอมใช่ไหม”

หญิงสาวพยักหน้า แล้วทำปากออกเสียงเพียงพยางค์เดียว

“กลิ่น…กลิ่นเหรอ” เขาว่าเสียงเบา หญิงสาวยิ้มขึ้นอย่างยินดีแล้วรีบพยักหน้ารับ

“กลิ่น แม่กลิ่น… “ เขาโพล่งขึ้นด้วยความดีใจ ในที่สุดเขาก็รู้ชื่อหล่อน

ทัพเที่ยงกำลังหัวเราะกับความสำเร็จแต่ในท้ายความรู้สึก จู่ๆ เขาก็ระอุร้อนด้วยโทสะ มันเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ไร้ที่มาที่ไป จนยากที่เขาจะห้ามหัวใจตัวเองไม่ให้รู้สึกตาม

ความโกรธจากภายในเปลี่ยนเป็นการกระทำ เขาขยับเข้าไปใกล้หล่อนปากก็ว่า

“แล้วกลิ่นอะไรล่ะ หอมหรือเหม็น…” เขาจงใจแกล้ง จ้องดูปฏิกิริยาหญิงสาวที่อยู่ในสถานะผี

นางผีเอียงหน้าหลบ มือข้างหนึ่งของหล่อนยกขึ้นมาดันไหล่ของเขา แรงผลักนั่นไม่ทำให้ทัพเที่ยงสะดุ้งสะเทือนแต่กลับยิ่งทำให้เขาอยากแกล้งมากขึ้นไปอีก

“อย่างนี้คงต้องพิสูจน์แล้วละ” เขาจงใจหลู่เกียรติ เมื่อเห็นสีหน้าตื่นตกใจของหล่อน เขาก็รู้สึกสาแก่ใจอยู่ลึกๆ

กลิ่นปัดป้อง ผลักเขาสุดแรงจนใบหน้าแดงก่ำ เมื่อสู้ไม่ไหวหล่อนก็ซ่อนแก้มตัวเองด้วยการซุกหนีกับหัวไหล่ของเขา ทัพเที่ยงหัวเราะในลำคอ เขาไม่ได้อยากดมหล่อนจริงๆ หรอก เพียงแต่อยากให้หล่อนได้อายเท่านั้น

พลันเสียงหัวเราะและความรู้สึกสาแก่ใจของตัวเขาสร้างความประหลาดใจให้ตัวเขาเอง นี่เราทำอะไร –เป็นบ้า หรือเมา เราต้องเมาแน่ๆ ทัพเที่ยงบอกตัวเอง เพราะถึงแม้เขาจะไม่ได้เรียนมาทางสาธารณสุขศาสตร์ เขาก็พอจะตอบได้ว่า แอลกอฮอล์ปริมาณมากที่เขาดื่มเข้าไปนั้น นอกจากจะมีฤทธิ์ทำให้ระบบต่างๆ ในร่างกายรวนจนเดินเซแล้ว มันยังทำให้เขามีความกล้ามากขึ้น พูดมากขึ้น รวมทั้งความยับยั้งชั่งใจที่ต่ำเตี้ยลงไปด้วย

‘หะแรกเรากินเหล้า แต่พอกินไปแล้ว เหล้ามันก็กินเรา ไม่ยังงั้นพระพุทธองค์คงไม่สั่งห้ามพระสงฆ์องค์เจ้าดอกพวกเอ็ง’ หลวงพ่อเคยเตือนสติพวกเด็กวัด โดยเฉพาะลูกชายแท้ๆ ของท่านอย่างตัวเขา

อาจจะเป็นเพราะเมา เพราะแต่ไหนแต่ไรมา ทัพเที่ยงไม่เคยกระทำกับสตรีอย่างนี้มาก่อน นอกจากจะเกิดในฝันที่ตัวเขาไม่อาจควบคุมได้ ก็เหมือนเด็กหนุ่มทั้งหลายนั่นแหละ เมื่อถึงเวลาเข้ารุ่นหนุ่มต่างก็มีนางในฝันเป็นของตัวเองกันทุกคน

หรือเพราะตอนนี้เขากำลังฝันอยู่…ทัพเที่ยงคิดพลางไล่ตามองเสี้ยวหน้าซึ่งจะขาวก็ไม่ขาวจะคล้ำก็ไม่คล้ำ กำลังเอียงหลบซุกอยู่กับไหล่ของเขา ทัพเที่ยงลองขยับปลายนิ้วก็รู้สึกถึงเอวบางจ้อยของหล่อน และตอนนี้จมูกเขาก็กำลังได้กลิ่นหอมรื่นมาจากเรือนผมและเนื้อตัวของหล่อนด้วยอีกอย่างหนึ่ง

หญิงชื่อกลิ่นออกแรงผลัก เมื่อตระหนักถึงการขยับปลายนิ้วบนเนื้อตัวหล่อน และเมื่อหล่อนเงยหน้าที่ประกอบไปด้วยแววตาเหมือนลูกกวางน้อยมาสบตา ทัพเที่ยงก็ยินดีจะสารภาพอย่างไม่อายผีสางเลยว่า มันกำลังทำเลือดหนุ่มของเขาพล่านขึ้นเหมือนน้ำเดือด

คราวนี้หล่อนใช้สองมือดันแผงอกของเขา ทัพเที่ยงข่มใจ แต่ไม่วายโน้มร่างเข้าใกล้เพื่อกระซิบ

“กลัวอะไรแม่กลิ่น เธอเป็นผีไม่ใช่หรือ คนก็ต้องกลัวผีสิไม่ใช่ว่าผีกลัวคน”

เขายั่ว หวังจะได้เห็นความโกรธจากดวงตาหญิงสาว อย่างน้อยมันคงจะเรียกสติที่ยังพอเหลือของตัวเองกลับมาบ้าง ทว่าเขาได้เห็นความโกรธอย่างน้อยเนื้อต่ำใจเพียงชั่วกะพริบตา ก่อนแววตาขุ่นนั่นจะเปลี่ยนเป็นยอมจำนนอย่างคนที่แพ้ราบคาบ

น่าแปลก…ดวงตาเช่นนั้นกลับทำให้ความละอายของทัพเที่ยงกลับมาอย่างครบถ้วน เขาขยับตัวออกห่างผีสาว เหลือเพียงข้อมือของหล่อนเท่านั้นที่เขายึดเอาไว้

“บ้าจริง” คำนี้เขาพูดใส่ตัวเอง

นิ่งกันไปพักหนึ่ง ทัพเที่ยงที่คิดอะไรๆ ได้ก็หันมากล่าวขอโทษ

“ฉันรู้ว่าทำอะไรไม่ดีไป ฉันขอโทษเธอก็แล้วกัน ต่อไปฉันจะไม่ทำอีก” เขาสัญญาแล้วถามต่อด้วยน้ำเสียงและสีหน้าเป็นงานเป็นการ “ที่เธอมานี่ เธอไม่ได้ตั้งใจจะทำร้าย ฉันรู้สึกได้ ไม่อย่างนั้นเธอคงไม่ปล่อยให้ฉันนอนสบายมาหลายคืนอย่างนี้ เธอกำลังต้องการบางอย่างใช่ไหม”

กลิ่นพยักหน้า น้ำใสๆ คลอหน่วงอยู่ในดวงตา นี่เขาพูดสะกิดโดนสิ่งใดในใจหล่อนหรือ

“แล้วเธอต้องการอะไร” เขาถาม หล่อนอ้าปากจะตอบ หากแต่ไม่มีเสียง เขาจึงเปลี่ยนเป็นคนพูดกับหล่อนเสียเอง

“เธออยู่ที่นี่มานานแล้วหรือ”

หญิงสาวส่ายหน้า

“ไม่งั้นหรือ…ถ้าอย่างนั้น เธอตายที่นี่ใช่หรือเปล่า”

หญิงสาวส่ายหน้าอีกครั้ง คราวนี้หล่อนชี้ไปที่คันฉ่องบนโต๊ะข้างเตียงประกอบการส่ายหน้านั้นด้วย คันฉ่องลายดอกพุดตานเข้าชุดกับเตียงนอนเด่นหราอยู่ในแสงสลัว แต่ก่อนที่เขาจะทันได้ถามและแม่กลิ่นจะทันได้ทำสิ่งใดต่อ ทัพเที่ยงก็ร้อนวาบที่ฝ่ามือ เขาเห็นหญิงสาวสะดุ้งสุดตัว ทัพเที่ยงปล่อยมือด้วยร่างตรงหน้าร้อนขึ้นมาเหมือนเปลวไฟ

หญิงสาวปิดตัวเร่า ท่าทางนั้นส่งขนแขนของทัพเที่ยงให้ลุกตั้ง อาการของเจ้าหล่อนเหมือนกำลังทรมานอย่างแสนสาหัส ทัพเที่ยงลนลานทำอะไรไม่ถูก เขาวนรอบตัวของกลิ่น แต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้สักอย่างเดียว ครู่ต่อมาในที่สุดหญิงสาวก็ค่อยๆ สงบลงได้เอง

หล่อนจ้องเขาด้วยดวงตาฉงน ทัพเที่ยงก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเช่นกัน

“เธอ…เธอเป็นยังไงบ้าง” เขาถาม แม่กลิ่นยกมือขึ้นลูบตัว

“เมื่อกี้ตัวเธอร้อนเหมือนไฟ” เขาพูดพลางยกฝ่ามือ รอยแดงจากความร้อนยังเห็นชัดที่มือของทัพเที่ยง หญิงสาวที่เขารู้แล้วว่าชื่อกลิ่นจ้องมองทัพเที่ยงในอาการที่เรียกว่ากอดตัวเอง

“เกิดอะไรขึ้น” ทัพเที่ยงถามย้ำอีกครั้ง ร่างแบบบางที่ตอนนี้กายเป็นสีเทาแทบจะไม่เห็นเป็นผิวเนื้อของหล่อนก็ค่อยๆ จางหายไปกับไออากาศ

“เดี๋ยว…เดี๋ยวก่อนสิ” ทัพเที่ยงพยายามคว้า แต่ก็ช้าไปเสียแล้ว…

 

เช้าวันใหม่ของฤดูหนาวมาเยือนอย่างเชื่องช้า ดูเหมือนอะไรๆ ในเช้าวันนี้ยังเหมือนเดิม

ทัพเที่ยงลืมตาโพลงขึ้นบนที่นอน หัวของเขาหมุนติ้ว เหมือนจะนึกอะไรได้แต่ก็นึกไม่ได้ พักใหญ่ๆ ทัพเที่ยงก็เด้งตัวขึ้น ปากอุทานเบาๆ ว่า “แม่กลิ่น”

เมื่อคืนเขาไม่ได้ฝันใช่ไหม ทัพเที่ยงยกฝ่ามือขึ้นดู ตอนนี้สีของมันเป็นปกติ หากแต่เขาแน่ใจว่ามีบางอย่างอยู่กับเขาในเรือนก้านมะลิ และบางอย่างนั้นเขาก็จับมันเอาไว้ได้เมื่อคืนนี้

ทัพเที่ยงขยับตัวลุก ตาของเขามองไล่ไปบนลวดลายสลักบนพนักเตียง เขาหย่อนขาลงพื้นจากนั้นเริ่มสำรวจเตียงที่เขาใช้นอนไปทุกซอกทุกมุม หากแต่เขาไม่พบอะไรนอกจากความใส่ใจของผู้ที่สร้างมันมาเท่านั้น

คราวนี้เขาหันไปที่คันฉ่อง ลายพุดตานเด่นนูนจนอดลูบไล้ไม่ได้ ทัพเที่ยงไล่นิ้วไปมาบนดอกไม้กลีบซ้อน แล้วเมื่อจับมันพลิกดูก็ต้องตะลึงกับสิ่งที่ซ่อนเอาไว้ด้านหลัง

บนแผ่นไม้นั่นมีล่องสลักเป็นภาษาที่เขาสามารถอ่านได้ สลักเอาไว้ว่า

เกลื่อนกล่นแลเกลื่อนกลาด        กลีบบางบาดหัวใจสลาย

กลิ่นแก้วขจรขจาย                 ผลิจะร่วมจะโรยรา

ว่อนว่อนลมพัดพลิ้ว                ใจหวิวหวิวคะนึงหา

เหี่ยวไปไร้ราคา                     เสียดายกลิ่นอนงค์นาง

ทัพเที่ยงหัวใจเต้นแรง หัวหมุนติ้ว เขารู้สึกเหมือนโกรธใครบางคน ซึ่งน่าจะเป็นตัวเอง ที่ไม่เคยคิดจะเข้าใกล้คันฉ่องหลังนี้มาก่อนเลย

เขาตัดสินใจรวดเร็วรีบลุกขึ้นไปอาบน้ำ ทัพเที่ยงรู้ว่าทุกวันคุณหญิงลำเจียกจะตื่นแต่เช้าออกไปใส่บาตร เขาจะใช้โอกาสนี้ใส่บาตรให้แม่กลิ่นพร้อมทั้งหาความจริงเรื่องนี้

เรื่อง…ที่เขาคงจะปล่อยเอาไว้ไม่ได้อีกแล้ว



Don`t copy text!