แรมสิบห้าค่ำนี้มีปาฎิหาริย์ บทที่ 4 :  คนหลอกลวงเลี้ยงไม่เชื่อง (2)

แรมสิบห้าค่ำนี้มีปาฎิหาริย์ บทที่ 4 : คนหลอกลวงเลี้ยงไม่เชื่อง (2)

โดย : ณรัญชน์

Loading

แรมสิบห้าค่ำนี้มีปาฎิหาริย์ นวนิยายเรื่องล่าสุดจาก ณรัญชน์ ที่อ่านเอาคัดสรรมานำเสนอ กับเรื่องราวของกระจกโบราณที่สามารถทำนายอนาคตมนุษย์ทุกคนได้อย่างแม่นยำ ‘วิศรุต’ จึงใช้มันมาลิขิตชะตาชีวิตตัวเอง แม้นั่นจะหมายถึงการทำลายล้างคนรอบข้างอย่างโหดเหี้ยม ไม่เว้นแม้แต่ผู้หญิงที่เขารัก นวนิยายออนไลน์จาก www.anowl.co

รอยยิ้มลึกลับติดอยู่ที่ริมฝีปากของวิศรุตตลอดเวลาที่ยืนมองธิปกหิ้วกระเป๋าเดินออกไปเรียกรถรับจ้างนอกบ้าน จนกระทั่งอีกฝ่ายลับหายไปจากสายตา หลานชายของนายมงคลก็หยิบลูกกุญแจที่เก็บไว้ในลิ้นชักข้างหัวนอนออกมาไขประตูตู้ไม้สักที่อยู่ข้างเตียง หยิบวัตถุทรงกลมชิ้นหนึ่งออกมาประคองไว้อย่างทะนุถนอม

คันฉ่องทองเหลืองบานนั้นยังอยู่ในสภาพดี แต่ก็ดูออกว่าเป็นของเก่า บานทองเหลืองล้อมด้วยกรอบสำริดสีเขียวอมฟ้าหม่น ด้านหลังสลักอักษรจีนโบราณตัวเล็กๆ เรียงถี่ยิบเป็นแถวยาวลงไปจนถึงด้ามจับ หากมองจากสายตาของคนทั่วไปมันคงมีราคาอยู่บ้างในฐานะวัตถุโบราณชิ้นหนึ่ง แต่สำหรับวิศรุตกระจกบานนี้มีคุณค่าล้นพ้นประมาณจนไม่อาจตีราคาเป็นตัวเงินได้เลย

ถ้าไม่เพราะอำนาจลี้ลับของมัน เขา…นายกันต์ เด็กกำพร้าเร่ร่อนไม่มีหัวนอนปลายเท้า คงไม่กลายเป็นคุณวิศรุต หลานชายของนายมงคล กิตติไกรสีห์ เศรษฐีใหญ่เจ้าของกิจการมากมายในพระนครอย่างทุกวันนี้

นับตั้งแต่ที่กันต์จำความได้ เพื่อนใกล้ชิดที่สุดของเขาก็คือความหิว…หิวท้องกิ่วจนตัวงอเหมือนไส้จะขาด แม้ขณะที่แม่ยังมีชีวิตอยู่ เขาก็แทบจำไม่ได้ว่าครั้งสุดท้ายที่ได้กินอิ่มท้องเกิดขึ้นเมื่อไร ยิ่งต่อมาเมื่อโรคร้ายคร่าชีวิตแม่ของเขาไป เด็กชายกับความหิวก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน

หลังจากแม่ตาย ขาดรายได้การการรับจ้างเย็บเสื้อของแม่มาจ่ายค่าเช่าบ้าน กันต์ก็ไม่มีแม้แต่หลังคาคุ้มหัว เขาต้องเร่ร่อนของานทำเพื่อแลกเศษอาหารประทังชีวิต ถึงยามค่ำกันต์จะยึดตรอกเล็กๆ ใกล้กับโรงงิ้วเป็นที่นอน เงยหน้ามองเวิ้งฟ้าสีนิล มันมืดมนอ้างว้างไร้แสงสว่างไม่ต่างจากชีวิตของเขาเอง

ในเวลานั้นเด็กชายมักสงสัยว่าบนท้องฟ้ามีเทพเทวาอยู่จริงหรือ หากว่ามี เทวดาเหล่านั้นจะยอมรับฟังเสียงอ้อนวอนจากมนุษย์ตัวเล็กๆ อย่างเขาบ้างไหมหนอ

และแล้ววันหนึ่งเทพเจ้าบนฟ้าก็ตอบคำถามของเขา…

‘ไอ้หนูช่วยขนของพวกนี้ไปส่งที่ร้านให้อั๊วหน่อยสิ ไม่ต้องห่วงอั๊วไม่ให้เหนื่อยเปล่า เดี๋ยวมีรางวัลให้’

เจ้าของเสียงเป็นชายชรารูปร่างผอมสูง ผมสีเงินยวงทั้งศีรษะถักเป็นเปียเดี่ยวทิ้งตัวยาวถึงกลางหลัง หนวดเคราขาวโพลนบวกกับเสื้อคอจีนตัวยาวจรดข้อเท้าที่สวมอยู่ ทำให้แกดูคล้ายภาพวาดชาวจีนเมื่อกึ่งศตวรรษที่แล้ว ดวงตาในกรอบหน้าเหี่ยวย่นทอประกายแรงกล้าระคนลี้ลับที่กันต์ไม่เคยเห็นจากใคร ก่อให้เกิดความพรั่นพรึงขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

กระนั้นเด็กชายก็ลุกขึ้นอย่างว่าง่าย ตรงเข้ารับถุงผ้าจากมืออีกฝ่ายแล้วเดินตามไป ลูกค้าของเขาเดินนำเข้าซอยนั้นออกซอยนี้อย่างคล่องแคล่ว เส้นทางวกวนเสียจนกันต์ซึ่งมั่นใจว่ารู้จักเส้นทางละแวกนั้นทะลุปรุโปร่งอดแปลกใจไม่ได้

ยิ่งเดินไปบรรยากาศรอบด้านก็ร้างผู้คนขึ้นทุกที จนกระทั่งไปถึงก้นซอย…

ที่นั่น…ร้านเล็กๆ ชั้นเดียวก่อด้วยไม้สีเข้มเกือบดำ ตั้งหลบเร้นอยู่ในมุมเงียบสงัดและมืดครึ้มไม่ต่างจากมังกรโบราณที่กำลังจำศีล ตัวอักษรจีนบนป้ายเหนือกรอบประตูถูกกาลเวลากัดเซาะจนซีดจาง มองไม่เห็นเค้าเดิมว่ามันเคยมีความหมายใด

กันต์หิ้วห่อผ้าเข้าไปเก็บในร้านตามคำสั่งของชายชรา ภายในร้านกว้างกว่าที่คิดทว่าเย็นเฉียบราวกับถ้ำน้ำแข็ง เพียงย่างเท้าเข้าไปเด็กชายก็ขนลุกเกรียว รอบด้านมืดสลัวแม้จะติดไฟดวงเล็กๆ ไว้หลายดวง มีชั้นวางของสูงท่วมศีรษะตั้งอยู่ชิดผนังทั้งสี่ด้าน วางตะเกียงจีน เครื่องกังไส และข้าวของที่เขาไม่รู้จักอีกหลายอย่างมากมายจนละลานตา

จะเพราะยังไม่มีข้าวตกถึงท้องมาตั้งแต่เช้า หรือด้วยอิทธิพลของสิ่งลี้ลับบางอย่างก็สุดจะเดา แต่ฉับพลันกันต์ก็รู้สึกเหมือนห้องทั้งห้องหมุนคว้าง เขามึนหัวทรงตัวไม่อยู่จนเซไปปะทะตู้ที่ตั้งอยู่ใกล้ๆ เจ้ากรรมที่มุมตู้หักอยู่ในลักษณะคล้ายปากฉลาม เศษไม้จึงครูดข้อศอกของกันต์ กรีดเนื้อเป็นทางยาวเกือบคืบ ทำเอาเขาร้องลั่น

ข้างตู้ใบนั้นมีชั้นเตี้ยๆ ด้านบนวางกล่องไม้ไว้ใบหนึ่ง โลหิตข้นเหนียวของเด็กชายหยดเปาะแปะลงไปบนฝากล่องซึ่งแตกเป็นรูใหญ่ เปิดโอกาสให้ของเหลวสีเข้มไหลผ่านลงไปอย่างง่ายดาย

กันต์ใจหายวาบ รีบเปิดกล่องหยิบสิ่งที่อยู่ภายในออกมาดู มันเป็นคันฉ่องทองเหลืองล้อมด้วยกรอบสำริดแบบโบราณ กรอบด้านหลังยาวลงไปจนถึงมือจับสลักลวดลายเป็นตัวอักษรจีนถี่ยิบ เด็กชายจุปากเมื่อเห็นว่าแผ่นทองเหลืองเปื้อนเลือดของเขาเป็นวงใหญ่

ลงว่าเป็นของโบราณอย่างไรก็ต้องมีราคาพอตัว ถ้าอาแปะเจ้าของร้านมาเห็นเข้าเขาคงไม่พ้นถูกดุเป็นแน่…

ฉับพลันสรรพสิ่งรอบตัวเขาก็พลันมืดสนิท คล้ายโลกทั้งใบถูกคลุมทับด้วยม่านดำหนาทึบ เหลือเพียงกันต์จมอยู่ในความอนธการเพียงลำพัง ลำแสงสีเงินยวงพุ่งวาบออกมาจากวัตถุทรงกลมในมือตรงเข้าสู่ดวงตาที่เบิกกว้างของเขา ก่อนที่สิ่งมหัศจรรย์ที่สุดในชีวิตของเด็กชายจะปรากฏขึ้น

ท่ามกลางแสงสว่างมลังเมลือง ภาพเหตุการณ์บางอย่างกำลังเคลื่อนไหวอยู่ในนั้น…มันเลื่อนไหลผ่านสายตาของตื่นตะลึงกันต์ไปเรื่อยๆ…ภาพแล้วภาพเล่าราวกับฉายด้วยเครื่องฉายภาพยนตร์…

กันต์เห็นตัวเองยืนอยู่หน้าบ้านหลังหนึ่ง…มีผู้ชายผิวสองสีหน้าตาใจดีมองมาจากใต้ต้นชัยพฤกษ์ ก่อนจะพยักหน้าเป็นทำนองเชิญชวนให้เขาเดินตามเข้าไป…ภายในบ้านหลังนั้นกันต์เห็นเด็กชายอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเขาหันมายิ้มทักทายอย่างเป็นกันเอง…

‘คุณวิศรุต’ สำนึกที่ไม่รู้ที่มาบอกเขาว่านั่นเป็นชื่อของเด็กคนนั้น

นิมิตประหลาดยังคงเคลื่อนตัวต่อไป…เร็วรี่เพียงเสี้ยววินาทีทว่าชัดเจนในห้วงรับรู้ของผู้มอง…กันต์เห็นตัวเขาอาศัยอยู่กับวิศรุต ค่อยๆ เติบโตขึ้นเป็นชายหนุ่ม ทำงานเป็นลูกจ้างของวิศรุตที่โตเป็นผู้ใหญ่เช่นกัน เขาไม่ได้แต่งงานไม่มีลูกเมีย พอแก่ตัวลงก็พักอยู่ในเรือนเล็กๆ ที่วิศรุตจัดให้ มีเด็กรับใช้คอยดูแลเพียงคนเดียว…

‘อ้าวๆ! นั่นทำอะไรล่ะไอ้หนู!’

อาแปะเจ้าของร้านมายืนอยู่ข้างตัวตั้งแต่เมื่อไรกันต์ไม่อาจรู้ได้ แกฉวยคันฉ่องทองเหลืองไปจากมือของเขา คิ้วขาวโพลนขมวดมุ่นเมื่อเห็นคราบโลหิตสีชมพูจางๆ กำลังเลือนหายเข้าไปในเนื้อวัตถุ ไม่ต่างจากปากของสัตว์ร้ายที่กำลังกลืนกินอาหาร

‘ลื้อกลับไปได้แล้ว’ อาแปะยัดธนบัตรจำนวนหนึ่งใส่มือกันต์ ‘เอาเงินนี่ไปซื้อยาทำแผล แล้วลืมเรื่องในวันนี้ซะ เรื่องบางอย่างรู้เท่านี้พอแล้ว ถ้ารู้มากเกินไปมันจะเป็นอันตราย’

กันต์ยังมีคำถามอีกมากมายที่ต้องการคำตอบ แต่เมื่อเจ้าของสถานที่แสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่ต้อนรับเขาก็จำใจต้องผละจากมา

ซอยแคบๆ นั้นคดเคี้ยวเอาการ กันต์กุมข้อศอกที่บาดเจ็บเดินวนเวียนหาทางกลับอยู่ครู่ใหญ่ มารู้ตัวอีกทีก็พบตัวเองยืนอยู่หน้าบ้านหลังหนึ่งตั้งอยู่บนสนามหญ้าเขียวขจี ที่รั้วหน้าบ้านมีต้นชัยพฤกษ์ออกดอกเหลืองพราวดูกระจ่างสดใสท่ามกลางแสงตะวัน ชายผิวสองสีรูปร่างสูงโปร่งเปิดประตูออกมาพอดี พอสายตาสองคู่ประสานกันกันต์ก็ตกตะลึง

เขาเพิ่งเห็นผู้ชายคนนี้จากนิมิตประหลาดในร้านขายของเก่าเมื่อหนึ่งชั่วโมงที่ผ่านมานี่เอง!

ครั้นพิจารณาดูตัวบ้าน เห็นเป็นอาคารสูงสองชั้นทาสีขาว รั้วก่อด้วยอิฐสูงท่วมศีรษะ บวกกับความร่มรื่นของไม้ใหญ่ริมรั้ว ก็พบว่าเป็นบ้านหลังเดียวกับที่เห็นในนิมิตอีกนั่นละ

เด็กชายรู้สึกเหมือนสายลมที่รำเพยพัดมาต้องผิวกายเย็นเฉียบราวกับเกล็ดน้ำแข็ง พาให้ขนลุกเกรียวไปทั้งร่าง ตระหนักได้โดยไม่ต้องบอกว่าผู้ชายผิวสองสีคนนี้ชื่อคุณบพิตร ไม่เพียงเท่านั้น ยังรู้ด้วยว่าอีกไม่กี่อึดใจข้างหน้าคุณบพิตรจะพูดอะไรกับเขา…

‘หนูหลงทางหรือ มายืนเหม่ออะไรตรงนี้’

‘ผมมาหางานทำ น้ามีงานอะไรที่ผมพอจะทำได้บ้างไหม ผมขอค่าจ้างนิดๆ หน่อยๆ พอซื้อข้าวกินเท่านั้น’

กันต์ตอบกลับไปอย่างที่รู้ว่าตนเองจะต้องตอบ และปฏิกิริยาที่ได้กลับมาก็ไม่ผิดจากความคาดหมาย อีกฝ่ายยิ้มอย่างใจดี เอ่ยว่า

‘ดีเลย ฉันกำลังอยากได้คนมาช่วยของอยู่พอดี ตามมาสิ’

นั่นเป็นวันแรกที่กันต์ได้เข้าไปในบ้านของวิศรุต และเป็นจุดเริ่มของการเดินทางสายใหม่ในชีวิตของเขา…

หลังจากช่วยทำแผลให้เด็กชาย บพิตรก็สั่งให้กันต์ไปขนของที่เขาต้องการจะขนย้ายและให้เงินตอบแทนจำนวนหนึ่ง เดินมาอีกไม่ไกลเท่าไรกันต์ก็พบโรงเจเล็กๆ เหมาะที่เขาจะไปอาศัยหลับนอนในตอนกลางคืน ราวกับโชคชะตาจะเป็นใจเกื้อหนุนให้เขาได้ปักหลักอยู่ใกล้ครอบครัวบพิตรก็ไม่ปาน

นับจากนั้นกันต์จึงหมั่นแวะไปของานทำที่บ้านบพิตร ไปช่วยเจ้าของบ้านดายหญ้า ทำงานจิปาถะต่างๆ เท่าที่เรี่ยวแรงของเด็กชายวัยสิบสองปีจะอำนวย แต่งานที่เขาทำบ่อยที่สุดคือไปนั่งเป็นแบบให้วิศรุต ลูกชายคนเดียวของเจ้าของบ้านวาดรูป

วิศรุตไม่แข็งแรงมาตั้งแต่เกิด ยิ่งโตเขาก็ยิ่งป่วยบ่อยขึ้น จนกระทั่งทุกวันนี้สุขภาพของเขาอ่อนแอถึงขั้นที่พ่อแม่ไม่กล้าปล่อยให้ไปเรียนหนังสือร่วมกับเด็กอื่นๆ บพิตรต้องแก้ปัญหาด้วยการจ้างครูไพศาล ครูจากโรงเรียนประจำตำบลมาสอนลูกชายในวันหยุด ส่วนวันธรรมดานั้นวิศรุตแก้เหงาด้วยการอ่านหนังสือและหัดวาดภาพเหมือน โดยเฉพาะภาพสีน้ำมันที่เขาถนัดเป็นพิเศษ กันต์จึงต้องไปเป็นนายแบบให้ครั้งละหลายชั่วโมง

วาดรูปไปก็คุยกันไปจนรู้ประวัติของของครอบครัวนี้ ว่าบพิตรเป็นทายาทคนหนึ่งของนายมงคล กิตติไกรสีห์ เศรษฐีใหญ่ในพระนคร แต่เพราะมีเรื่องขัดแย้งกับพ่อเขาจึงพาครอบครัวอพยพมาอยู่ไกลลิบและไม่เคยติดต่อกลับไปอีกเลย

การมีเด็กชายอายุเท่ากันมาเป็นเพื่อนพูดคุยระหว่างวันช่วยให้วิศรุตสดชื่นขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ต่อมาพอคุ้นเคยกันนานวันเข้า บพิตรก็รับกันต์ไว้เป็นเด็กรับใช้ มีหน้าที่ช่วยอรสาทำงานบ้านและดูแลวิศรุต ตกกลางคืนก็พักในห้องเก็บของหลังบ้าน แทนที่จะต้องไปขดตัวนอนบนพื้นแข็งๆ ในโรงเจอย่างเดิม

ทุกวันระหว่างที่วิศรุตงีบหลับในตอนบ่าย กันต์จะหลบออกจากบ้านไปครั้งละหนึ่งชั่วโมง หากอรสาถามเขาก็จะบอกว่า

‘ผมออกไปเดินเล่นแถวๆ นี้เอง ไม่ได้ไปไหนไกลหรอกครับ’

แต่ความจริง สิ่งที่กันต์ทำคือการเตร็ดเตร่ไปตามซอยต่างๆ เพื่อตามหาร้านขายของเก่าลึกลับและอาแปะเจ้าของร้าน หลังจากมั่นใจแล้วว่าภาพนิมิตที่เขาเห็นจากที่นั่นไม่ไช่เพียงจินตนาการชั่วครู่ชั่วยาม หากแต่เป็นอนาคตที่จะเกิดขึ้นของตัวเขาเอง

ก็หมายความว่าคันฉ่องโบราณบานนั้นสามารถเปิดเผยเหตุการณ์ในวันข้างหน้าได้ ที่สำคัญไม่ใช่การทำนายสะเปะสะปะอย่างหมอดูทั่วไป แต่เป็นการบอกอนาคตที่แม่นยำจนน่ากลัว!



Don`t copy text!