แรมสิบห้าค่ำนี้มีปาฏิหาริย์ บทที่ 19 : ความลับกับความจริง (1)

แรมสิบห้าค่ำนี้มีปาฏิหาริย์ บทที่ 19 : ความลับกับความจริง (1)

โดย : ณรัญชน์

Loading

แรมสิบห้าค่ำนี้มีปาฏิหาริย์ นวนิยายเรื่องล่าสุดจาก ณรัญชน์ ที่อ่านเอาคัดสรรมานำเสนอ กับเรื่องราวของกระจกโบราณที่สามารถทำนายอนาคตมนุษย์ทุกคนได้อย่างแม่นยำ ‘วิศรุต’ จึงใช้มันมาลิขิตชะตาชีวิตตัวเอง แม้นั่นจะหมายถึงการทำลายล้างคนรอบข้างอย่างโหดเหี้ยม ไม่เว้นแม้แต่ผู้หญิงที่เขารัก นวนิยายออนไลน์จาก www.anowl.co

ความรู้สึกปลอดโปร่งของธิปกและนายมงคลตรงกันข้ามเสียเหลือเกินกับอาการหัวเสียแทบจะเก็บอารมณ์ไม่อยู่ของกันต์ เนื่องจากเมื่อชั่วโมงก่อนนี้เอง นายมงคลได้ส่งลูกน้องคนหนึ่งไปกินตำแหน่งผู้จัดการห้างไดมอนด์ และมีหนังสือคำสั่งให้ลดตำแหน่งหลานชายลงเหลือเพียงรองผู้จัดการ

อันที่จริงช่วงหลังๆ มานี้นายมงคลก็หมางเมินใส่กันต์อย่างเห็นได้ชัดอยู่แล้ว แต่เขาก็ยังคิดในทางดีว่าถ้าทอดเวลาออกไปอีกระยะหนึ่ง ให้เขาได้เอาอกเอาใจ รวมถึงสร้างผลงานใหญ่ๆ สักสองสามชิ้น นายมงคลก็คงจะหายโกรธไปเอง เพราะถึงอย่างไรเขาก็เป็นหลานชายเพียงคนเดียว เป็นทายาทที่จะรับช่วงดูแลทรัพย์สมบัติต่อไปในอนาคต

ไม่คิดเลยว่าอีกฝ่ายจะยึดอำนาจเขาเอาดื้อๆ อย่างนี้!

ห้องทำงานของนายมงคลอยู่บนชั้นสองของบ้าน กันต์ก้าวขึ้นบันไดอย่างรีบร้อน แต่พอผลักประตูเข้าไปก็เห็นธิปกนั่งอยู่กับเจ้าของห้อง สีหน้านายมงคลเมื่อหันมามองเขาไม่ใช่เพียงเคร่งเครียด แต่ยังบอกความชิงชังโดยไม่ปิดบัง

กันต์นึกสะดุ้งอยู่ในใจ กระนั้นเขาก็ยังเดินไปนั่งลงตรงหน้าชายชรา พูดด้วยเสียงอ่อนโยน

“คุณปู่ครับ ผมได้รับจดหมายแต่งตั้งของคุณปู่แล้ว ผมรู้ว่าคุณปู่กำลังโกรธผมอยู่ ผมยินดีรับโทษทัณฑ์ทุกอย่าง แต่ขออย่างเดียวขอให้คุณปู่ให้โอกาสผมได้พิสูจน์ตัวเองว่าผมไม่เคยคิดร้ายคุณปู่หรือตระกูลของเราเลย ถึงอย่างไรผมก็เป็นกิตติไกรสีห์คนหนึ่ง ผมจะทำอย่างนั้นได้ยังไงกันครับ”

“แกเป็นกิตติไกรสีห์อย่างนั้นหรือ”

เสียงนายมงคลห้วนจัด พอเห็นหน้ากันต์ นึกถึงความปลิ้นปล้อนตลบตะแลงตลอดหลายปีที่ผ่านมา ความแค้นใจก็พวยพุ่งยิ่งกว่าไอน้ำเดือด

“ฉันว่าแกคงหลอกคนอื่นนานเกินไปจนตัวเองก็พลอยหลงเชื่อไปแล้ว แกไม่ใช่หลานชายฉัน นายกันต์ อรสาเอาแกมาอุปโลกน์เป็นหลานฉันทั้งๆ ที่ตัวจริงของแกมันก็แค่เด็กที่เขาเอามาเลี้ยง”

ถ้อยคำง่ายๆ ไม่ต้องตีความให้ยุ่งยากนั้น มีอานุภาพเทียบเท่าอสุนีบาตที่ผ่าเปรี้ยงลงมาตรงหน้า กันต์ตะลึงงัน นั่งตัวแข็งทื่อด้วยความมึนงงเพราะยังจับต้นชนปลายไม่ถูก สายตาเขาเหลือบมองไปบนโต๊ะโดยไม่ตั้งใจ แล้วก็เห็นรูปถ่ายที่คิดว่าเผาจนมอดไหม้ไปแล้วใบนั้นวางอยู่

ฉับพลัน ความคลางแคลงทั้งหมดก็พลันกระจ่างแจ้งทันที ชายหนุ่มใจเต้นรัว หูอื้อตาลาย เหงื่อเย็นเฉียบซึมออกมาทุกรูขุมขน

“คุณปู่ครับ โปรดฟังผมก่อน” กันต์ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเค้นเสียงแหบพร่าออกไปได้อย่างไร

“ไม่ต้องเรียกฉันว่าปู่ ฉันกับแกไม่ได้เป็นอะไรกัน” นายมงคลตะคอกอย่างเกรี้ยวกราด “ไอ้เด็กข้างถนนไม่มีหัวนอนปลายเท้า แกสวมรอยมาเป็นหลายชายฉัน มาเสวยสุขอยู่ในบ้านของฉันตั้งเป็นสิบปี เพราะอย่างนี้เองแกถึงไม่มีเยื่อใยกับฉันเลยสักนิด ไม่สนใจว่าฉันจะติดคุกติดตะราง กับธิปกแกก็ใส่ร้ายเพราะอิจฉากลัวเขาจะเก่งกว่า ที่ฉันพูดมามีตรงไหนไม่ถูกต้องบ้าง ยังมีอะไรจะให้ฉันฟังแกอีก”

คำว่า ‘เด็กข้างถนนไม่มีหัวนอนปลายเท้า’ ไม่ต่างจากมีดคมกริบที่แทงสวบเข้ามากลางหัวใจของกันต์ โทสะของเขาแล่นพล่าน แค้นจนอยากบีบคอคนพูดให้ตายคามือ แต่ที่มีมากยิ่งไปกว่าโทสะก็คือความประหวั่นพรั่นพรึงจนขนลุกซู่เมื่อคิดถึงอนาคตในวันข้างหน้า

นายมงคลพูดต่อไปด้วยสีหน้าดูถูก

“เท่าที่ฉันเลี้ยงแกมาอย่างดี ให้วิชาความรู้ติดตัวก็ถือว่าฉันทำทานไปมากแล้ว แกออกไปจากบ้านฉันเดี๋ยวนี้ ข้าวของในบ้านห้ามเอาไปแม้แต่ชิ้นเดียว”

“ไม่ได้นะครับคุณปู่ อย่าไล่ผมออกไปเลย”

กันต์พรวดพราดเข้าไปเกาะแขนนายมงคลไว้ แม้จะอยู่ในภาวะตื่นตระหนกสมองของเขาก็ยังเฉียบคมพอจะคิดได้ว่านอกจากรูปถ่ายเจ้ากรรมที่วางอยู่บนโต๊ะแล้ว ธิปกก็ไม่มีหลักฐานอื่นอีก พยานปากเอกอย่างอรสาตายไปแล้ว ใครเล่าจะมายืนยันความผิดของเขาได้

สิ่งเดียวที่เขาต้องทำคือยืนกรานกระต่ายขาเดียวไว้ก่อน!

จริงอยู่…ความรักที่นายมงคลมีให้เขาอาจจะลดเลือนลงไปมาก แต่คนเราอยู่ร่วมบ้านกันมาเป็นสิบปี และเขาเองก็คอยประจบเอาใจผู้เป็นปู่มาตลอด ไม่เคยทำให้ขุ่นเคืองเลยสักครั้ง อีกฝ่ายจะไม่เหลือเยื่อใยไม่เหลือความผูกพันบ้างเชียวหรือ

“ผมเป็นหลานชายคุณปู่นะครับ ทำไมคุณปู่ถึงไปเชื่อคนอื่นทั้งๆ ที่ไม่มีพยานหลักฐาน นายธิปก! แกมาใส่ร้ายฉันเพราะโกรธที่ฉันเปิดโปงที่แกเคยโกงบริษัทละสิ”

เขาคว้ารูปถ่ายบนโต๊ะขึ้นมาก่อนที่ธิปกจะทันห้าม ฉีกมันเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยด้วยความแค้นสุดขีด ก่อนจะหันกลับไปวิงวอนต่อ

“ผมรักคุณปู่นะครับ เราอยู่ด้วยกันมาเป็นสิบปี รักกันคอยดูแลกันมาตลอด คุณปู่ไม่เมตตาผมบ้างเลยหรือ”

หากว่ากันต์พูดถึงความหลังเพียงอย่างเดียว ไม่ได้ทำลายรูปถ่ายที่มีภาพลูกและหลานชายของเขารวมอยู่ด้วย นายมงคลก็อาจใจอ่อนลงบ้าง แต่การกระทำอุกอาจเพราะความร้อนรนของชายหนุ่มกลับยิ่งสุมฟืนเข้ามาในเพลิงอารมณ์ของชายชรา

นายมงคลยกมือตบฉาดลงไปบนใบหน้าที่เงยแหงนมองเขาอย่างอ้อนวอน จนกันต์หน้าหัน

“ไอ้สารเลว ออกไปจากบ้านฉันเดี๋ยวนี้ ต่อไปอย่ามาเหยียบบ้านฉันและห้ามไปที่บริษัทฉันด้วย ไม่อย่างนั้นฉันจะแจ้งความเอาแกเข้าตะราง จะอื้อฉาวเป็นขี้ปากชาวบ้านฉันก็ยอม”

จบคำนายมงคลก็กระแทกเท้าย่ำตึงๆ ออกไปจากห้อง เท่าที่เขาไม่แจ้งความเอาผิดกันต์ก็เพราะคำนึงถึงความยุ่งยากที่จะตามมา หากเป็นคดีความเมื่อไร เรื่องจะต้องแพร่กระจายไปทั่วพระนคร กลายเป็นข่าวใหญ่ให้ผู้คนวิจารณ์กันเซ็งแซ่ ทีนี้ใครต่อใครคงหัวเราะเยาะในความโง่ของเขาที่ถูกเด็กจรจัดไม่มีหัวนอนปลายเท้าเข้ามาล้วงตับถึงในบ้าน

นับเป็นความเสียหายใหญ่หลวงที่เศรษฐีผู้เชี่ยวชาญในการคำนวณผลได้ผลเสียเล็งเห็นว่าไม่คุ้ม

กันต์ลนลานจะคว้าตัวนายมงคลกลับมา แต่ธิปกกระชากแขนเขาไว้

“อย่ารบกวนท่านอีกเลยนายกันต์ นายทำร้ายท่านมามากพอแล้ว”

กันต์สะบัดเต็มแรง ผุดลุกขึ้นยืนประจันหน้ากับฝ่ายตรงข้าม

“อย่าคิดว่าแกจะชนะฉันได้ ฉันเป็นหลานคนเดียวของคุณปู่ ไม่ใช่ไอ้คนอาศัยที่เป็นกาฝากอย่างแก”

เขาตวาดก้อง ผลักธิปกไปทางหนึ่งแล้วผลุนผลันกระโจนตามนายมงคลไป พบอีกฝ่ายกำลังยืนกุมอกด้วยใบหน้าซีดเผือดอยู่ที่ชานพักบันไดพอดี

“คุณปู่ครับ ฟังผมก่อน” กันต์ถลาเข้าหา

นายมงคลกำลังแน่นหน้าอกอย่างรุนแรง ความเครียดและแรงโทสะที่ฮือโหมขึ้นมาจากเหตุการณ์ในห้องทำงาน ส่งผลใหญ่หลวงต่อหัวใจที่อ่อนแออยู่แล้วของเขา พอกันต์ปราดเข้ามาจับแขนเขาก็สะบัดออก ทว่าฝ่ายที่หนุ่มกว่ายึดไว้แน่น ไม่ต่างจากคนจมน้ำที่ไขว่คว้าหาขอนไม้เพื่อพยุงตัว

ธิปกที่ตามมารีบเข้ามาดึงกันต์ให้ออกห่างจากชายชรา กลายเป็นการยื้อยุดกันอยู่ที่ชานพักแคบๆนั่นเอง

เมื่อกันต์ไม่ยอมปล่อย เพลิงพิโรธของนายมงคลก็พุ่งขึ้นถึงขีดสุด เขาตะโกนลั่นเกือบจะเป็นคำรามพลางสะบัดตัวให้หลุดจากการเกาะกุม เป็นจังหวะที่มือของกันต์หลุดจากแขนเหี่ยวย่นข้างนั้นพอดี ร่างที่กำลังหอบหายใจจึงเสียหลักหงายหลังกลิ้งลงมาตามขั้นบันได กระแทกไปทีละขั้นๆ จนถึงพื้นห้องโถง แล้วฟุบหน้านอนแน่นิ่งอยู่ตรงนั้นเอง

“คุณท่าน”

ธิปกใจหายวูบ กระโจนพรวดมาถึงร่างที่นอนอ่อนปวกเปียกอยู่กับพื้น เขารีบประคองชายชราขึ้นมา มีกันต์โดดลงบันไดตามมาติดๆ ชายหนุ่มก้มลงมองนายมงคลที่เหมือนจะหยุดหายใจไปแล้ว ดวงตาแดงก่ำทั้งคู่วาวโรจน์อย่างตื่นเต้น

หากดวงใจที่สั่นระรัวสามารถเปล่งเสียงเป็นคำพูดได้ ธิปกจะได้ยินเสียงหัวใจของกันต์ตะโกนกึกก้อง

‘ตาย! ตายซะไอ้แก่!’

ปราศจากนายมงคลสักคน พายุที่กำลังโถมกระหน่ำเข้ามาทำลายชีวิตของกันต์จะผ่านพ้นไปทันที เพราะตอนนี้นอกจากธิปกก็ไม่มีใครอีกแล้วที่รู้ว่าเขาไม่ใช่วิศรุตตัวจริง

ที่ผ่านมาเขาอยู่ในฐานะหลานชายของตระกูลกิตติไกรสีห์มาโดยตลอด ผู้คนทั้งพระนครต่างรับรู้ แม้แต่ในทางกฎหมายก็ยังยอมรับ ฉะนั้นคนคนเดียวที่จะฉุดเขาลงจากฐานะอันทรงเกียรตินี้ได้ ก็มีแต่นายมงคลที่กำลังนอนหายใจรวยรินอยู่ในอ้อมแขนของธิปกเท่านั้น

ในช่วงเวลาที่กำลังโกลาหล ไม่มีใครสังเกตว่าชัชวาลมายืนอยู่ที่ประตูห้องโถงตั้งแต่เมื่อไร มารู้ก็เมื่อชายหนุ่มปราดเข้ามาช่วยธิปกพยุงชายชราไปขึ้นรถ ขับพาไปส่งโรงพยาบาลอย่างเร่งด่วน

นายมงคลถูกพาตัวเข้าห้องฉุกเฉินทันที ระหว่างนั้นธิปกได้แต่เดินวนไปมาอย่างกระวนกระวายอยู่หน้าห้องผ่าตัด ไม่ได้สนใจกันต์ที่ขับรถตามมาดูเหตุการณ์ด้วย เขาจึงไม่เห็นว่ากันต์ดึงตัวชัชวาลไปที่มุมหนึ่งซึ่งลับหูลับตาคน ปรึกษาหารือกันด้วยท่าทางมีลับลมคมใน

และไม่เห็นอีกนั่นละว่าเมื่อกันต์ย้อนกลับมาที่หน้าห้องฉุกเฉิน อีกฝ่ายก็ปรายตามองเขาด้วยสายตาของผู้ชนะ!

นาราถือแฟ้มใส่เอกสารประชาสัมพันธ์ที่เพิ่งเขียนเสร็จ ตั้งใจจะนำมาเสนอธิปก แต่พอไปถึงห้องทำงานของเขา ก็พบกุลธิดากำลังนั่งไขว่ห้างอ่านนิตยสารอยู่บนโซฟาสำหรับรับแขก อีกฝ่ายค้อนขวับอย่างหมั่นไส้ทันทีที่เห็นหญิงสาว

“เมื่อไรเธอจะเลิกมาวุ่นวายกับพี่ธิปกเสียที เธอก็รู้ว่าเขาจะแต่งงานกับฉัน”

นาราถอนใจ ตั้งแต่มัดมือชกให้ธิปกรับปากว่าจะแต่งงานด้วยได้สำเร็จ กุลธิดาก็ทำราวกับจะจับชายหนุ่มมาทากาวติดกันไว้ เด็กสาวบังคับให้เขาพาไปซื้อของ ดูภาพยนตร์ หรือไปเต้นรำด้วยกันทุกวัน แต่ว่าที่เจ้าบ่าวก็ปฏิเสธตลอดโดยอ้างว่างานยุ่ง กุลธิดาจึงใช้วิธีมาเฝ้าธิปกที่ห้างเพื่อคอยควบคุมไม่ให้เขาใกล้ชิดกับนารา และจะหาเรื่องแขวะคู่แค้นเมื่อมีโอกาสเสมอ

“ฉันเป็นพนักงานของห้างนี้ก็ต้องมาทำงาน ไม่ได้มาวุ่นวายอย่างที่คุณเข้าใจหรอกค่ะ”

นาราชี้แจง พยายามบอกตัวเองว่ากุลธิดาเป็นแค่เด็กที่ถูกพ่อแม่พะเน้าพะนอมากเกินไปเท่านั้น

“แต่ฉันไม่ชอบ” กุลธิดาสะบัดเสียง “พี่ธิปกจะแต่งงานแล้วไม่ควรมีเธอมาอยู่ใกล้ๆ อีก ถ้าเธอบริสุทธิ์ใจทำไมไม่ลาออกไปซะล่ะ”

อันที่จริงนาราก็ตั้งใจจะลาออกอยู่เหมือนกัน ไม่สนุกเลยที่จะต้องมาเป็นเป้านิ่งให้กุลธิดาเชือดเฉือน ติดที่นายปกรณ์ขอให้เธออยู่ช่วยงานต่อไปก่อน

‘ธิปกจะต้องหาทางออกจนได้ เชื่อฉันเถอะ’ ชายชราบอก

กุลธิดาค้อนคู่อริอีกทีหนึ่ง ส่งเสียงแหลมอย่างคนเจ้าอารมณ์ “พี่รพีกับพี่เนตรเตือนฉันแล้วว่าคนอย่างเธอไว้ใจไม่ได้ แล้วก็จริงเสียด้วย นี่ถ้าฉันเผลอเมื่อไรเธอคงรีบฉกพี่ธิปกไปละสิ”

กุลธิดายังติดต่อกับรพีพรรณและกมลเนตรอย่างสม่ำเสมอ เรื่องนี้นารารู้ดี และรู้ต่อไปอีกด้วยว่าเห็นทีเธอกับกุลธิดาคงไม่มีทางปรับความเข้าใจกันได้ ลงว่าเด็กสาวมีสองคนนั้นเป็นกองเชียร์คอยเป่าหูอยู่ละก็

เมื่อพูดกันไปก็ไม่มีประโยชน์นาราจึงเดินเลี่ยงไปเสีย เป็นจังหวะที่ธิปกออกมาจากห้องพอดี ชายหนุ่มใส่ชุดดำทั้งชุดเพื่อจะไปร่วมงานสวดอภิธรรมศพนายมงคลในตอนเย็น กุลธิดารีบวางนิตยสารแล้วปรี่ไปเกาะแขนว่าที่เจ้าบ่าว

ธิปกรู้ว่ากุลธิดาพยายามประกาศความเป็นเจ้าของเขาให้ทุกคนเห็น แต่เขาไม่อยากทำตัวประเจิดประเจ้อในที่ทำงานจึงค่อยๆ ปลดมือเด็กสาวออกอย่างละมุนละม่อม ขณะนั้นพนักงานของห้างคนหนึ่งเดินนำตำรวจสามนายมาถึง พอเห็นเจ้านายเขาก็รีบบอก

“คุณธิปกครับ มีตำรวจมาขอพบ”

เจ้าหน้าที่ก้าวออกมาด้านหน้า แจ้งความประสงค์กับชายหนุ่มด้วยเสียงฉาดฉาน

“เรามาขอเชิญตัวคุณธิปกไปโรงพักในข้อหาฆาตกรรมคุณมงคล กิตติไกรสีห์ครับ”



Don`t copy text!