ดาราอรุณ บทที่ 33 : ฟุ้ง…เพื่อนยาก

ดาราอรุณ บทที่ 33 : ฟุ้ง…เพื่อนยาก

โดย : กฤษณา อโศกสิน

Loading

ดาราอรุณ โดย กฤษณา อโศกสิน เรื่องของ ‘ลมเย็น’ หญิงสาวที่เกิดในช่วงเวลาที่ดาวประกายพรึกปรากฏบนฟากฟ้าและ ‘หิ้ง’ ชายหนุ่มที่โชคชะตาพัดพามาให้ได้ใกล้ชิดกัน…เมื่อดาวศุกร์ ดารายามแรกอรุณได้นำทางความรักให้ทุกคนที่เกี่ยวข้อง ดาวศุกร์จึงพาให้ชีวิตของเธอเปล่งประกายไม่ต่างไปจากดาราอรุณและนี่คือนวนิยายที่อ่านเอาภูมิใจนำเสนอ

จริงดังที่อีกฝ่ายว่า…คนทั้งหลายกลัวโควิด-19 ยิ่งกว่าความไม่มีเงิน เนื่องจากเงินนั้น…ยังพอจะหาได้จากการกู้หนี้ยืมสิน เอาของไปจำนำจำนองดังเช่นเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา ลมโชยลองเข้าไปให้เจ้าของโรงจำนำตีราคาแหวนวงนี้ วงที่ถึงอย่างไรก็ยังอยู่ในนิ้วนางซ้ายนี่…แหวนที่ลุงป้าคู่นั้นบอกว่าแม้จะเป็นเพชรซีกที่ไร้ราคา มิอาจเทียมเท่าเพชรลูกที่เขาจัดเกรดกันไว้อย่างสง่างามได้ แต่ก็ไม่ถึงกับต้องร้องยี้เสียทีเดียว

ถ้าสองคนนั่นรับจำนำ ก็ตีราคาแค่สองหมื่นสอง

สำหรับหล่อน…ผู้ใช้เงินเปลืองเหมือนธนบัตรแต่ละใบไร้ราคา รับมาพริบตาเดียว ก็อาจหมดตัวตามเดิม

แต่มีแหวนหนึ่งวงอยู่ในนิ้ว ถึงอย่างไรก็ยังช่วยให้มือเรียวยาวมีราศี

จนกระทั่งเมามันเกือบได้ที่…ทิฐิมานะที่มีตั้งแต่เช้าจึงเปลี่ยนแปลง กลายเป็นอยากลองอยากแกล้งอยากแก้ลำคนที่บ้านพ่อ บ้านเขา บ้านพ่อหล่อนให้ไม่เป็นอันกินอันนอน เนื่องด้วยหล่อนหายไป

ฟุ้งนั้น…ก่อนโรคร้ายจะมาเยือนบรรดามนุษย์ในโลกหล้า หล่อนก็มีชีวิตอยู่ด้วยอาชีพนางแบบนี่ละ เพียงแต่เป็นนางแบบหน้าใหม่วัยเยาว์ที่มาจากต่างจังหวัด นัยว่าได้รับการคัดเฟ้นจากโมเดลลิ่งระดับกลางให้เข้าสู่รันเวย์ราวสองสามงาน ก็พลันถูกผลาญเรียบด้วยการระบาดของโรคใหม่เมื่อ 12 มกราคม 2563 แล้วค่อยๆ รุนแรงขึ้นเป็นลำดับ จนกระทั่งทำลายงานที่ต้องการผู้คนคับคั่งไปจนหมดสิ้น การทำมาหากินของพวกเขามิว่าด้านไหน ก็ล้วนแล้วติดขัดด้วยภัยจากโรคร้ายที่แรกๆ ก็ล้มตายไม่เว้นแต่ละวัน

แต่โชคของฟุ้งก็ยังดีที่ก่อนหน้านี้หล่อนสามารถซื้อห้องบนคอนโดเก่าๆ มาได้ห้องหนึ่งในราคาแค่สามแสนบาท จึง ‘พอมีที่ซุกหัวนอน’

แล้วก็จริงดังนั้น

ฟุ้งเคยพาลมโชยขึ้นไปที่ห้องของหล่อนบนชั้น 5 และเห็นเตียงแคบๆ ผ้าปูที่นอนลายดอกขึงฟูกบนเตียงคู่ ข้าวของเกะกะเรี่ยราดไม่เก็บงำนำเข้าชั้นที่เขามีไว้ให้แล้ว ยังเคยเอ็ด

‘นี่แกอยู่ได้ยังไงฮะ เหมือนหมูเหมือนหมา’

แต่เพื่อนของหล่อนก็ยักไหล่อย่างไม่มีกังวลใดในโลกนี้

“ก็กูกลุ้มไม่มีจะกินไง โรคห่าอะไรไม่รู้กว่าจะได้เข้าแถวฉีดวัคซีน ก็รอไปเฮอะ”

ครั้นแล้วค่ำนี้หล่อนนี่น่ะหรือจะขึ้นไปค้างกับฟุ้ง

เออ…จะค้าง…ใครจะทำไม…แกล้งพวกมันซะงั้น

จึงเมื่อจิบวิสกี้แก้วสุดท้ายที่ลมโชยเป็นผู้จ่ายเงิน สองหญิงต่างก็เดินจูงกันโซซัดโซเซออกจากบาร์เก่าๆ ข้ามฟากไปยังคอนโดมิเนียมแสนเน่าที่แลเห็นรำไรรวมเก้าชั้นอยู่ตรงหน้า

พากันไปขึ้นลิฟท์ดังกึงกังขึ้นชั้นบนเดินดุ่มๆ ไปจนถึงห้องสุดท้ายหัวมุมที่ดูจะค่อยยังชั่วที่มีหน้าต่างด้านหนึ่งเปิดไว้ มองลงไปแลเห็นสวนสวยของตึกใหญ่หรูหราที่อยู่ถัดไปท่ามกลางแสงไฟอันฉายฉาบอยู่ทุกมุมบ้าน

ลมโชยได้แค่เดินสะลึมสะลือเปิดประตูที่ติดกับระเบียงออกไป แต่ฟุ้งลากเสียงเบาๆ คอยปราม

“แกอยู่เฉยๆ เป็นไหม…เดี๋ยวได้ตกลงไปตายห่าหรอก…เราเลยซวยหนักไปอีก”

“อยากรู้แค่นั้นว่า ไอ้ห้องบ้าๆ ของแกนี่ทำไมมันยังอยู่”

“ไม่ดีเหรอ…คนไม่มีจะแหลกจะได้มีหอคอยให้ขึ้นกับเค้ามั่งไง” ฟุ้งหัวเราะๆ พลางหันไปค้นผ้าเช็ดตัวผืนใหม่ แต่เล็กบาง ใช้มาจนช้ำชอกให้ลมโชย

หญิงสาวผู้เเม้ว่าตนเองจะไม่เคยหยิบจับจัดแต่งมิว่าสิ่งใดในบ้าน แม้แต่เสื้อผ้าเตียงนอนของตนเอง เพราะมีน้าเยี่ยมเยือนกับมารดาคอยทำคอยจัดให้ก็ตาม หากเมื่อแลเห็นสภาพห้องของเพื่อนร่วมอาชีพผู้เสมือนกับ ‘มีชีวิตไปวันๆ’ ก็ยังนึกติฉินความเป็นหญิงของอีกฝ่าย

“นี่แกก็ไม่ได้ทำที่นอนเลยนะ” ผู้จะมาอาศัยนอนออกปาก “อะไรกันวะ รกได้ไงขนาดนี้ หมอนเหม็นไหม…เหม็นละก็ไม่ไหวแล้วนะ…กูไปละ”

แต่เจ้าของห้องกลับเป็นฝ่ายไม่อยากให้ลมโชยผละไป

“ไม่เอาน่า-า-า…โชย…นั่งๆๆ…เราจะปูผ้าให้ตึงเป๊ะเลย…เอ้า…มานั่งนี่…ก็กู…เอ้ยเราไม่ใช่เศรษฐีนี่หว่า จะได้ห้องหับหรูหราร้อยล้านพันล้าน…”

ลมโชยค่อยๆ รู้สึกตัวฟื้นตื่นจากอาการมึนเมาพอประมาณเมื่อสักครู่ พร้อมกันนั้นก็นึกสงสารเพื่อนสงสารตนเองจนน้ำซึมเต็มขอบตา มองดูฟุ้งสาละวนปูผ้าขึงที่นอนจนเรียบร้อย ดึงปลอกเก่าออกจากหมอน เดินเซๆ ไปยังชั้นข้างหัวนอนอันเป็นที่วางผ้าเช็ดตัวและของใช้ประจำวัน นอกเหนือไปจากตู้สูงแคบติดผนังที่อยู่อีกด้านอันเป็นส่วนของตู้เย็นเล็กๆ โต๊ะเก้าอี้ ห้องน้ำ เนื้อที่ทั้งหมด 36 ตารางเมตร หากก็เพียงพอให้คนหนึ่งหรือสองคนใช้ชีวิตไป-กลับบนเส้นทางสาย ‘มีกินบ้าง-ไม่มีบ้าง’

จึงค่อยๆ นั่งลงปลดกระเป๋าสะพายไหล่ลงบนตัก มองดูแหวนในนิ้วอีกครั้งอย่างเกิดความน้อยใจรุนแรงขึ้นในอก

รู้สึกคล้ายถูกเตะต่อยจนฟกช้ำ

“ไปอาบน้ำเลยไป๊…เอาผ้าเช็ดตัวเราไป…เก่าหน่อย แต่ซักแล้วโว้ย” ฟุ้งบอกกล่าวเมื่อเห็นเพื่อนสาวยังคงนั่งนิ่งบนขอบเตียง

 

แม้จะเอือมระอาเพียงไร แต่น้องคนเล็กก็เป็นผู้ที่คนทั้งบ้านห่วงใยตลอดมา

ครั้นเลยสามทุ่มไปแล้ว หากก็ยังไม่มีวี่แววว่าลมโชยจะกลับ ทุกคนจึงเริ่มกระสับกระส่ายหลังจากหิ้งขอตัวไปกินข้าวบ้านตั้งแต่หัวค่ำ แต่ก็ยังไม่กลับมาอีกจนนาทีนี้ เพราะเมื่อสักครู่ เขาเพิ่งส่งเสียงมา

‘ขอพี่นอนพักสักคืนเต็มๆ ก่อนนะเย็น’

ลมเย็นกำลังเห็นใจเขาเหมือนกันที่ต้องมารับเรื่องเดือดร้อนของใครต่อใครโดยมิได้เกิดจากตนเอง นับแต่ย่างเท้าก้าวเข้าบ้านหลังจากห่างหายไปนาน จึงใคร่จะให้เขาได้พักสักวันสักคืน พอให้มีกำลังวังชาลุกขึ้นมาฟังเรื่องหลากหลายในเช้าวันใหม่ จึงตอบกลับอย่างเต็มใจ

‘พี่หิ้งนอนอิ่มๆ เลยนะคะ…ไม่ต้องห่วงที่นี่’

ครั้นแล้ว เข็มนาฬิกาแห่งค่ำคืนก็ค่อยๆ เคลื่อนไปโดยไม่มีแม้แต่เงาหรือเสียงของน้องสาวผ่านมา

“มันไปถึงไหนก็ไม่รู้” หล่อนนั่งลงตรงหน้าบิดาผู้กำลังคอยด้วยอาการกระสับกระส่ายมีกังวล

แม้จะรู้ลึกๆ ว่า ลมโชยมักจะปนการกลั่นแกล้งคนในบ้านตลอดมายามไม่พอใจ หากก็มิวายร้อนใจกันถ้วนหน้า

สามทุ่มคล้อยไปสี่ทุ่มเคลื่อนเข้ามา

ลมเย็นพยายามกดมือถือของอีกฝ่าย แต่ก็เงียบกริบ

“มันคงไปขอค้างคืนกับเพื่อนก็ได้พ่อ” หญิงสาวเพียรนึกถึงเพื่อนที่เป็นนางแบบด้วยกัน หากแต่บัดนี้เมื่อโลกทั้งโลกเกิด ‘โรค’ ที่ทำให้ติดกันโดยไม่เลือกมีจน งานที่เคยรวมคนจำนวนมากจึงพลอยต้องระงับไปพร้อมกัน

“คงไม่เป็นไร” นายชัดดูดวงแล้วบอกกล่าวทั้งๆ ใจมิสู้สบาย

ขณะที่ลูกคนโตโชคดี ลูกคนเล็กกลับมีแต่โชคร้ายเข้ามาเยือน

ทั้งๆ ที่เขาเองก็ล่วงรู้ถึงชะตา แต่ครั้นพานพบเรื่องจริงในระยะนี้ ก็กลับหมดชีวิตชีวาเรี่ยวแรง

“คือมันโดนดาวเสาร์กาลกิณีจรจรมาเบียนตั้งแต่คู่จนถึงงานเลยนะลูก” บิดาตอบเศร้าๆ เหงาๆ “ก็คิดดู… ราหูเป็นอายุจร…ตอนนี้ก็ขึ้นไปอยู่เรือนกัมมะ”

หากทายที่สุด เขาก็หยุดพูดพร้อมกับนิ่งอึ้งเมื่อนึกขึ้นได้ว่าอีกฝ่ายไม่รู้เรื่อง

จึงสรุปพอให้ได้ความว่า ขณะนี้ลมโชยมีแต่ร้ายกับร้ายเพราะดาวเสาร์เดิมกับพฤหัสเดิมก็อยู่ที่นั่น

“คืนนี้คงไม่มีใครนอนหลับ” ลมเย็นได้แต่พึมพำ

ความหึงหวงหมดสิ้น เหลือแค่ความรักความเอ็นดูและให้อภัยน้องในไส้คู่ทุกข์สุขที่ไม่เคยทิ้งกัน

“ถ้างั้นก็นอนได้แล้วพ่อ…คงไปขอค้างกับเพื่อนสักคนแค่นั้น…เพื่อนนางแบบมีตั้งหลายคน ทั้งเพื่อนรวยเพื่อนจน….คงไม่เป็นไรหรอกค่ะ ก็คงฉีดวัคซีนกันแล้วทั้งนั้น”

นายชัดเองก็นึกว่าคงไม่เป็นไร

แม้กระนั้นก็ใช่จะวางใจเสียทีเดียว

แต่ขณะที่กำลังจะเตรียมปิดไฟขึ้นชั้นบน ก็มีเสียงไลน์ดังเบาๆที่มือถือของลมเย็น

เมื่อก้มลงมอง จึงแลเห็นตัวอักษรจากเปรียว

“ราตรีสวัสดิ์นะฮะ…ขอให้หลับสบายนะครับ ผมเพิ่งกลับจากงาน คืนนี้เลยพาน้องสนไปดูงานด้วย”

ลมเย็นอ่านพลางสุดแสนจะดีใจ จึงเปิดโทรศัพท์ เอ่ยกับชายหนุ่ม

“กำลังกลุ้มกันอยู่น่ะค่ะคุณเปรียว”

“เรื่องอะไรหรือฮะ”

หล่อนก็เลยเล่าถึงการหายตัวของน้องสาวให้อีกฝ่ายรับรู้

“อ้าว…งั้นหรือครับ….แล้วคุณเหินล่ะ…ไปไหน…”

เมื่อรู้ว่าเลิกกันแล้ว เปรียวก็ได้แต่ถอนหายใจ

“ถ้างั้น ผมขอมาเยี่ยมเดี๋ยวนี้ได้ไหมครับ”

“อย่าเลยค่ะ…ออกจะรบกวนเกินไป…รอไว้พรุ่งนี้ค่อยตามใหม่”

แต่เปรียวไม่ฟัง…เขาอยากมาอยู่แล้ว มาเป็นเพื่อน มารับรู้ทุกข์ร้อนจุกจิกกวนใจเพื่อให้หล่อนซึมซับเข้าไปในดวงแดที่มิว่า หล่อนจะเกิดเรื่องยุ่งยากเพียงไหน…ย่อมมีเขาอีกคนหนึ่งที่จะตามช่วยเหลือได้ทุกย่างก้าว

เพียงไม่กี่นาที ลมเย็นก็ได้ยินเสียงกริ่ง

ได้ต้อนรับชายผู้ตนเองก็มีปัญหาชีวิตท่วมท้น

 



Don`t copy text!