ดาราอรุณ บทที่ 43 : ‘เลือกคู่’ – ‘เลิกคู่’

ดาราอรุณ บทที่ 43 : ‘เลือกคู่’ – ‘เลิกคู่’

โดย : กฤษณา อโศกสิน

Loading

ดาราอรุณ โดย กฤษณา อโศกสิน เรื่องของ ‘ลมเย็น’ หญิงสาวที่เกิดในช่วงเวลาที่ดาวประกายพรึกปรากฏบนฟากฟ้าและ ‘หิ้ง’ ชายหนุ่มที่โชคชะตาพัดพามาให้ได้ใกล้ชิดกัน…เมื่อดาวศุกร์ ดารายามแรกอรุณได้นำทางความรักให้ทุกคนที่เกี่ยวข้อง ดาวศุกร์จึงพาให้ชีวิตของเธอเปล่งประกายไม่ต่างไปจากดาราอรุณและนี่คือนวนิยายที่อ่านเอาภูมิใจนำเสนอ

คืนทั้งคืน หิ้งได้แต่หลับๆ ตื่นๆ เพราะมีกังวลอยู่กับงานใหม่ แม้มิใช่ของเขาโดยตรงแต่ก็จะต้องเข้าไปเป็นหนึ่งในหุ้นส่วนซึ่งคงไม่พ้นนายชัด นางยาใจ ลมเย็น ลมโชยและเขา…

เขาผู้ตั้งใจจะเข้าไปเป็นหนึ่งในการก่อตั้งบริษัทใหม่ที่ยังไม่ได้ตั้งต้นคิดชื่อถูกใจอันหวังไว้ว่าแบรนด์นี้จะต้องเป็นแบรนด์ใหญ่ของไทยสืบไปในวันหน้า

ดังนั้น แม้เอนกายลงนอน หากก็หาหลับไม่ จนอดรนทนไม่ได้ต้องกดมือถือไปหาลมเย็น

“เย็นกำลังจะหลับหรือเปล่า”

“ตาค้างอยู่พอดีเลยค่ะ…คือเย็นกำลังนึกว่า จะให้บริษัทชื่อ ‘ไชโย’ ดีไหม”

หิ้งก็เลยปล่อยก๊ากออกมา

“เหมือนชื่อวัดไชโยที่อ่างทองเลยนะ”

อีกฝ่ายก็เลยหัวเราะกิ๊ก

“พี่ไม่อยู่บ้านตั้งนานก็อุตส่าห์จำได้”

“เคยเห็นข่าวในเฟสนานแล้วไงเย็น” ชายหนุ่มเริ่มอารมณ์ดีบนที่นอน หมอนทั้งใบที่เคยเป็นหมอนร้อนค่อยๆ อุ่นขึ้น เลยพลิกตัวจากนอนเป็นนั่งพิงหมอนที่ยกขึ้นตามแนวตั้งโดยไม่รู้สึกง่วงงุนแม้แต่น้อย เหมือนตนเองกำลังค่อยๆ ฝึกเดิน…เดินออกไปเผชิญโลกกว้างที่บัดนี้ดูเหมือนจะทั้งกว้างและยาวไกลสุดลูกหูลูกตา โลกที่กำลังปรับเปลี่ยนจากระบบเก่าสู่ระบบใหม่ซึ่งมีทั้งดีและเสียคละกันอยู่ ผู้เลือกคือเรา – คือเขา – คือผู้คนที่จำเป็นต้องขัดเกลามันสมองให้สว่างใสจากตะเกียงที่แค่หมุนไส้เพื่อให้หรี่ลงหรือโชนขึ้น ไปสู่แสงไฟฟ้าและแสงจากพลังทางวิทยาศาสตร์อีกหลากหลายที่มนุษย์จะต้องรู้จักเลือกเก็บสิ่งที่ดีที่ใช้แล้วใช่ ทิ้งสิ่งที่เดือดร้อนเสียหายที่ไม่ใช่ออกจากกัน ซึ่งคนอย่างเขาผู้เล่าเรียนมาด้วยกำลังปัญญาของตนเอง จะต้องตามให้ทัน

ทันทั้งงานบริษัทที่กำลังจะเข้าไปเกี่ยวกับพลังงาน ทันทั้งการริเริ่มเล็กๆ ที่เกิดมาแล้วช้านานบนแผ่นดินนี้

แม้ว่างานเล็กๆ จะยังมิใช่งานที่ต้องเร่งรัด หากก็ต้องค่อยๆ จัดนับแต่นี้เป็นต้นไป

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หิ้งตั้งใจจะจัดให้ครอบครัวหญิงสาวในดวงใจอย่างสมบูรณ์ที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

“เย็นไม่มีหัวทางตั้งชื่อเอาเลยละพี่หิ้ง” หญิงสาวส่งเสียงอ่อยๆ มาตามสาย

“พี่ก็เหมือนกัน” เขาตอบพลางยังขำชื่อไชโยไม่หาย

“พี่มีชื่ออื่นไหมล่ะคะ”

“มี” อีกฝ่ายออกเสียงคล้ายกำลังยิ้ม

“ชื่อไรล่ะคะ”

“ยามเช้า”

“เพลงคุณชายถนัดศรีนี่” อีกฝ่ายได้แต่คิกคัก

“ก็มีทั้ง ย.ยักษ์ ของอายาใจกับ ช. ช้างของอาชัดทั้งสองคนไง”

“อ้อ…ใช่นะคะ…น่ารักดีเหมือนกัน”

“แต่คิดว่าก็ต้องฟังอาสองคนก่อนดีกว่าว่าอยากได้ชื่อแบบไหน…คือเรา…พี่กับเย็นก็ไม่คุ้นกับเรื่องตั้งชื่อ…ดูเหมือนง่ายนะ แต่ยาก…โดยเฉพาะจะต้องมีความหมายกระทบความรู้สึกคนฟังปังใหญ่ให้ได้”

“อื้อฮือ…ต้องปังด้วยหรือคะ”

“ต้องปัง” ชายหนุ่มยืนยัน “ชื่อสำคัญมาก บางชื่อฟังแล้วก็งั้นๆ ไม่ประทับใจ…บางชื่อ…อื้อฮือ…ใครตั้งนะ เด็ดจริงๆ”

“ต้องสั้นๆ หรือไงพี่หิ้ง” ลมเย็นไม่รู้สึกง่วงแม้สักนิด ไม่ว่านาฬิกาจะเดินถึงกี่ทุ่ม…เลยห้าทุ่มครึ่งไปแล้ว…แต่ทุกองคาพยพยังคงทำงาน…เป็นงานของกามเทพที่ไม่เคยยอมพักผ่อน

“ก็ไม่จำเป็น ถึงยาวหน่อยแต่สะเทือนใจ ใหม่หูก็ใช้ได้”

“พี่ลองตั้งอีกชื่อซิคะ” หล่อนก็เลยยั่วเย้า

“กำลังคิดอยู่ไงเย็น…เซ่อเอ๊ย…นักวิทย์น่ะเหรอจะมีปัญญาตั้งชื่ออะไรที่ช็อคใครได้…ยากจะตายเรื่องตั้งชื่อ มันลงตัวง่ายๆ ซะเมื่อไหร่”

“ไม่เป็นไรนี่คะ…ไม่ต้องรีบ…ยังมีเวลาอีกเยอะเลย” หญิงสาวบอกอย่างใจเย็นเมื่อเห็นอีกฝ่ายเริ่มร้อน “แล้วถึงตั้งชื่อได้ ทุกคนพอใจ ก็ยังมีเรื่องกฏหมงกฏหมายอีกเยอะที่เราต้องถามผู้รู้…แต่เราก็ไม่ถึงกับรีบ…เพราะที่จริงเงินก็ยังมาไม่ถึงมือ”

ท้ายประโยคจึงชวนกันขันขำไปด้วยกันจนหลับไป

 

แต่นายชัดเอนตัวลงนอนลืมตา…นางยาใจยังไม่ปิดไฟ ยังนั่งจัดเสื้อผ้าที่เพิ่งซักรีดของตนเองเข้าตู้พร้อมกับรู้สึกว่าสามีเงียบไป จึงถาม

“พ่อว่า…เหินมันจะชอบยายเด็กใหม่นั่นไหม”

“ชอบ” อีกฝ่ายตอบทันที “ดีแล้วไงที่มันเลิกกะไอ้โชยซะได้”

“ดวงไม่สมพงษ์ พ่อก็ไม่ยักบอกมัน” ผู้เป็นแม่ ณ บัดนี้แลเห็นเป็นเรื่องเล็ก

แต่เรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ก็กำลังจะวิ่งผ่านหน้านายชัดไป กลายเป็นเรื่องไม่สำคัญ

เพราะแน่ใจว่าลมโชยเองก็ไม่หันหลังกลับ

“พ่อกำลังคิดอะไรอยู่เหรอ” นางยาใจพับเสื้อเข้าตู้เรียบร้อยแล้จึงถามเมื่อเห็นอีกฝ่ายยังคงหลับตา แต่พลิกตัวเป็นระยะ

“กำลังหาชื่อให้บริษัทที่ว่าจะตั้งใหม่ไง”

“อ้อ…เหรอ…ดีนี่…ฉันก็อยากรู้ว่าจะให้ชื่ออะไร ชื่อเพราะๆ หน่อยนะพ่อนะ…ที่แน่ๆ ก็คือขออย่าได้เอาชื่อสมุนไพรมาตั้งละกัน”

“เช่นชื่ออะไร”

“ข้าวเย็นเหนือข้าวเย็นใต้ที่ดูเหมือนหิ้งจะเคยพูดถึง”

นายชัดได้แต่หัวเราะก๊ากออกมาทันที นางยาใจเลยขำไปด้วย

“เหงือกปลาหมอก็อีกชื่อนะ ต้องขอไว้”

ทั้งคู่ก็เลยพลอยบันเทิงไปด้วยกันก่อนหลับตา

 

ในที่สุด คุณปรียาก็หาหุ้นตัวที่กำลังขึ้นได้เพียงพอที่จะเทขายเพื่อนำเงินมาซื้อที่ดินของนายชัดได้ตามที่ตกลงกัน เพียงแต่ยังรั้งรอจนกว่าจะถึงวันที่ 31 สิงหาคมตามที่นายชัดบอกไว้ว่า ขอให้ซื้อขายกันเป็นผลสำเร็จอย่างช้าคือวันที่ 1 กันยายน

เธอก็เลยจะขอกักเงินไว้ก่อนเผื่อหุ้นจะขึ้นอีก

ขณะนี้ จึงมีเวลาหารือกับเปรียวเรื่องจะนำที่ดินที่ซื้อได้…ไปทำอะไร

ก็ดีไปอย่างที่งานของลูกชายไม่มีตารางไปกลับเหมือนลูกสะใภ้

ดังนั้น แม่กับลูกจึงมีเวลาคุยกันระหว่างที่เปรียวยังคงมีชั่วโมงว่าง

แม้ว่าจะดูเหมือนเขาเหงาหงอยสร้อยเศร้าอย่างไรชอบกล

“นี่…เปรียว…แม่ถามจริงๆ เลยนะว่า ตอนนี้ลูกไปติดใจลูกคนโตคุณชัดหรือเปล่า…ถ้าเพิ่งติดละก็…ต้องรีบตีตัวออกห่างได้แล้ว…ขืนไปมาถี่ๆ จะเอาตัวไม่รอดทีหลังนาลูกนา…”

“ผมก็กำลังคิดอยู่ฮะแม่…” อีกฝ่ายตอบอ่อยๆ “คือ…เรื่องของ ‘ความรู้สึก’ นี่ แม่ก็ทราบว่า บางทีเราก็บังคับไม่ได้…ไม่ใช่ผมไม่เห็นไม่รู้…ทั้งเห็นทั้งรู้ ถึงงั้นก็ควบคุมยาก…แต่พอดีมียายสนเป็นเพื่อน…ก็เลยค่อยยังชั่ว…แต่ก็เอาอีก…เจ้าเด็กนี่ก็ทำท่าจะติดกับไอ้น้องชายนายหิ้งเขาอีกคน…เลยชักจะเริ่มอยากไปแต่บ้านคุณชัด”

คุณปรียาฟังแล้วได้แต่ยิ้ม

เพียงเรื่องซื้อขายที่ดินก็บานปลายกลายเป็นการ ‘พบคู่’ หรือมิฉะนั้นก็ ‘เลือกคู่’ – ‘เลิกคู่’ ไปเสียได้ในเวลาอันรวดเร็ว

ชวนอัศจรรย์ใจมิรู้หาย จึงพยักหน้า

“แปลกดีเหมือนกัน” แม่ของเขาเองก็นึกเช่นนั้น “แล้วที่ลูกขอหย่าเมีย แม่ก็ว่า ไม่สำเร็จ…ถึงจะมีปาฏิหาริย์ หย่าสำเร็จ ก็ไม่มีทางได้หนูเย็น”

“ผมก็คิดอยู่แล้วล่ะฮะแม่…แต่ผมก็ยังอยากหย่าอยู่ดี…คือถึงจะอยู่อยู่กันไป มันก็บ่จอยแล้วไงล่ะฮะ คนเรา…พอมันเบื่อหน้ากันแล้ว…อยู่ไปก็เท่านั้น…แยกกันเสียอีก…ดีกว่า…ผมว่านะ…คือเดี๋ยวนี้เราต้องคิดใหม่ให้ได้ เพราะโลกข้างหน้านี้เป็นโลกที่เราจะต้องผจญกับความไม่เหมือนเดิมอีกมาก…ถ้าคิดจะรั้งบางอย่างไว้ ก็ต้องรู้ว่าบางอย่างที่รั้งไว้นั่น รั้งแล้วมีเรื่องเดือดร้อนอะไรตามมาไหม…ถ้ามี…ก็ไม่ควรรั้ง”

คุณปรียาจึงพยักหน้าเห็นด้วย

“บางที คนเรานี่ เป็นเพื่อนกัน จะดีกว่า”

“ครับ…แต่ ‘เขา’ มีนิสัยชอบเอาชนะ เพราะงั้นผมก็ไม่หวังว่าเขาจะยอมง่ายๆ” เปรียวจบประโยคท้ายด้วยเสียงถอนหายใจยาว “ถึงไง…เราก็ต้องสู้กันต่อไปจนกว่าเขาจะเหนื่อย…”

พลางเจ้าตัวก็หัวเราะเย้ยหยัน

“นี่คือคนโง่อันดับหนึ่ง”

ผู้เป็นมารดามิรู้ว่าจะออกความเห็นอย่างไรดี เพราะเท่าที่ผ่านมา ต่างก็นำทิฐิมานะเข้ามาต่อกรกันอย่างถึงที่สุด

“แม่ว่า…ปล่อยให้เขาใจเย็นๆ ขึ้นอีกหน่อยดีไหม” คุณปรียานึกแล้วจึงแนะนำ “ระหว่างนี้ก็เฉยๆ กันไป…เขาจะว่ายังไงก็อย่าไปต่อปากต่อคำ…ที่เขาว่าแม่ชอบมากู้ดไนท์จูบลาอะไรตอนก่อนนอน แม่ก็งดแล้วนี่นาลูก…”

เมื่อเอ่ยลามมาถึงตรงนี้ ผู้สูงวัยจึงเริ่มมีอาการสะเทือนใจ

เปรียวแลเห็นน้ำตามารดาเอ่อขึ้นมาคลอก็ได้แต่สงสารสุดซึ้ง

แม่ของเขาอาจถือธรรมเนียมฝรั่งหรือเคยชินกับการจูบลาก่อนนอนมาตั้งแต่เขากับปราณยังเป็นเด็กชายเล็กๆ เท่านั้น ขณะที่แม่อื่นๆ คงเลิกจบไปนานแล้ว แต่แม่เขาไม่เลิก นี่คือสาเหตุเล็กน้อยหากก็ลุกลามจนกลายเป็นความร้าวฉานซึ่งแน่นอนที่ว่า…คือการ ‘แย่งชิง’ ความรัก

“แม่ครับ…กราบขอโทษแม่ด้วยนะฮะ” เปรียวพูดพลางพนมมือ ลุกขึ้นไปคุกเข่ากราบที่ตักมารดา

เธอจึงได้แต่กอดเขาไว้พร้อมเสียงสะอื้นไห้อย่างอาดูร

 



Don`t copy text!