ฝุ่นในสายลม บทที่ 33 : ไร้ร่องรอย

ฝุ่นในสายลม บทที่ 33 : ไร้ร่องรอย

โดย : ม.มธุการี

Loading

ฝุ่นในสายลม โดย ม.มธุการี เรื่องราวของลัทธิประหลาดกับความเชื่อของคนที่กระตุ้นสัญชาตญาณนักข่าวของภาวิน เขาจึงแฝงตัวเข้าไปสืบความลับของลัทธินี้ แต่ตัวคนเดียวอาจทำไม่สำเร็จ มีเพียงฝนดาว หญิงสาวที่สูญเสียญาติสนิทไปกับลัทธินี้ที่อาจจะช่วยเขาไขปริศนาอันดำมืดนี้ได้ อ่านนิยายสนุกๆ เรื่องนี้ได้ที่เพจอ่านเอาและเว็บไซต์ anowl.co

แทบจะกินอะไรไม่ลง  การหายตัวไปของลูกสมุนอีกคนยังยากที่เขาจะทำใจรับ

“อ่านข่าววันนี้  เห็นว่าพี่ชายนนยังปฏิเสธไม่ยอมรับรู้อะไรทั้งสิ้น” เขาเอ่ยออกไปลอยๆ “ป่านนี้ก็ยังไม่ได้เบาะแสอะไรเพิ่มเติม  เลือดที่พบจะเป็นเลือดของใครก็ยังไม่รู้อีก”

“ฝนก็ยังไม่ค่อยจะแน่ใจนะคะว่าพี่ชายจะเป็นคนทำ  แต่มาคิดอีกที  คนติดยาทำอะไรก็ทำได้  เห็นกันมาแล้ว บางทีทำไปแบบไม่รู้ตัวก็มี ทำไปแล้วจำอะไรไม่ได้”

“ถ้าตายจริงมันก็น่าจะเจอศพ” เขาว่า

“บางรายสิบปียังหาไม่เจอเลยค่ะ  อีกอย่างถ้าไม่เจอศพตำรวจเขาคงไม่ดำเนินคดีใช่ไหมคะ  คนร้ายถึงได้มุ่งทำลายหลักฐานกันเสียจริง นั่นคือหาทางทำลายศพ”

“เมื่อก่อนอาจจะใช่นะ  แต่สมัยนี้มันไม่ใช่แล้ว  ถึงไม่เจอศพแต่ถ้าเจอพยานแวดล้อมมัดตัวให้แน่นๆ  ก็หนีไม่รอดเหมือนกัน  บางทีขนแค่เส้นเดียวก็มัดตัวผู้ร้ายได้แล้วสมัยนี้ไม่ต้องอะไรมาก”

“แสดงว่าตำรวจสมัยนี้เก่งกว่าสมัยก่อนมากเลยนะคะ”

“เก่งกว่าอะไรกัน แย่กว่าน่ะไม่พูดมั่ง เพราะสมัยก่อนใช้สมองและกลยุทธ ความสามารถเฉพาะตัวในการสืบสวนจริงๆ  แต่สมัยนี้เอะอะอะไรต้องพึ่งเทคโนโลยี ถ้าไม่มีกล้องวงจรปิดหรือโทรศัพท์มือถือก็ทำอะไรแทบไม่ได้ ว่าแต่วันนี้ไปคุยกับตุณจันทรามาได้ความคืบหน้าอะไรมั่ง”

“ฝนก็ถามไปตามที่หัวหน้าสั่งมาทั้งหมดค่ะ  เดี๋ยวฝนจะเปิดให้ฟัง”

ภาวินมานั่งฟังการสัมภาษณ์ที่ฝนดาวอัดมาให้ฟังตั้งแต่ต้นจนจบ  ถอนใจลึกอย่างสิ้นหวัง

“เท่ากับว่านี่คือเคสที่ไม่มีความหวังอะไรอีกแล้วนะที่จะไปช่วยเหลือเขา คือเชื่อมั่นอย่างลึกซึ้งมาก  ไม่เคยเห็นมนุษย์ต่างดาว แต่ก็เชื่อตามที่เจ้าลัทธิสั่งสอนมา  แถมมีเสียงแว่วเข้าหู น่าจะเข้าข่ายจิตเภทเต็มขั้น”

“ฝนเองก็มีเสียงแว่วมาเข้าหูบ่อยๆ”

“นั่นแหละ ไปให้จิตแพทย์เช็คประสาทซะมั่ง”

“แล้วที่พระนั่งทางในคุยกับจิตวิญญาณได้ คุยกับเทพยังได้เลย ฝนรู้จักร่างทรงมีเทพมาลง พูดจาภาษาเทพทุกอย่าง”

“มันเป็นยังไงภาษาเทพ  ประเภทลิ้นพันกันวุ่นไม่เป็นภาษามนุษย์นั่นรึเปล่า บอกแล้วไงว่ากฎเหล็กข้อแรกสอนไว้ว่ายังไง”

“ไม่ให้เชื่อสิ่งที่เห็น ถึงแม้จะน่าเชื่อสักเพียงไหนก็ตามที หรือแม้ว่าจะได้รับการพิสูจน์มาแล้วตามหลักวิทยาศาสตร์ก็อย่าเพิ่งเชื่อ” ฝนดาวแถมท้ายให้

“ถามจริงๆ  เคยมีนักวิทยาศาสตร์คนใดในประเทศนี้มั่งที่เชื่อเรื่องพวกนี้  ทุกปรากฏการณ์ในโลกของเรา ต้องสามารถอธิบายได้หมดไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร  ฉะนั้นจงเลิกงมงายก่อนที่จะกู่ไม่กลับอย่างคุณจันทราคนนี้”

“ฝนก็ยังอยากไปคุยกับเธอนะคะ”

“ให้มันได้อะไร เพราะจะมอบหมายงานใหม่ให้ทำแล้ว เคสนี้เป็นอันพับไป”

“จะให้ฝนสัมภาษณ์ใครอีกล่ะคะ”

“มีกลุ่มคนที่เข้าแชร์ประสบการณ์กันเกี่ยวกับการพบเห็นมนุษย์ต่างดาว ผมอยากให้เราสวมรอยเข้าไปฟังกับเขาด้วย  จากนั้นก็ตามสัมภาษณ์รายตัว  อยากจะจับโกหกด้วย  เพราะเท่าที่ไปตามฟังดู ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องมุสา หาความจริงอะไรไม่ได้เอาเลย”

“หัวหน้าเคยไปฟังมาแล้วหรือคะ”

“เรียบร้อย  แต่ละคนโกหกได้ถ้วย  คนก็ฟังกันตาใส  มีเพื่อนบ้านเป็นหุ่นยนต์ เป็นมนุษย์ที่มาจากต่างดาวยังงี้  มันเป็นไปไม่ได้เลย ภาพถ่ายอะไรก็ไม่มี หลักฐานอะไรก็ไม่มี  แล้วจะให้เราเชื่อจากคำบอกเล่า  สไตล์เดียวกับดอกเตอร์เอกภพคนนี้ไม่มีผิด  ก็ดีได้ดีเอ็นเอมาแล้ว เดี๋ยวก็จะได้รู้กันว่าอะไรเป็นอะไร  ว่าแกเป็นลูกครึ่งจากต่างดาวจริงหรือไม่”

เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้นถี่ๆ และหล่อนกับภาวินก็มองหน้ากัน ภาวินลองเดินไปส่องดูที่ประตูจากนั้นก็รีบเปิดออก

เจ้าหน้าที่ในเครื่องแบบสองคนยืนอยู่ที่นั่น เอ่ยออกมาเรียบๆ ว่า

“เรากำลังตามเช็คเส้นทางการเดินทางของคุณกานนจากกล้องวงจรปิด เห็นว่าเขาเคยมาที่นี่…”

“ครับ เราทำงานด้วยกัน”

ภาวินเบี่ยงกายให้เจ้าหน้าที่คนหนึ่งเดินเข้ามาก่อน  อีกคนยังคงยืนคุมเชิงอยู่หน้าห้อง

“คือคืนก่อนที่เขาจะหายไป  เขามาพักที่นี่…อย่างนั้นใช่ไหม”

ภาวินอ้ำอึ้ง  มองตามสายตาของเจ้าหน้าที่ที่มองกวาดไปรอบห้องเล็กๆ  ที่มีแค่เตียงเดียว  กับโซฟา

“ค่ะ  เขามานอนค้างที่นี่  เราปรึกษาเรื่องงานกันจนดึก”

ฝนดาวลุกขึ้นมาตอบแทน

“แล้วเขาออกไปตอนไหน”

“ประมาณตีห้า  ผมตื่นมาตีห้าก็ไม่เจอเขาแล้ว” ภาวินรีบอธิบาย

“อ้อ”  พยักหน้ารับรู้  แต่ยังเดินสำรวจไปรอบๆห้อง

“ตอนนี้เรายังไม่ได้เบาะแสอะไรมากมาย  ยังไม่เจอตัว  ดูจากกล้องวงจรปิด เขามาที่นี่จริง  แต่วันต่อมากล้องวงจรปิดของโรงแรมเกิดเสีย  ทางเราเลยไม่มีข้อมูลว่าเขาออกไปจากที่นี่เมื่อไหร่แน่  เพราะหลังจากนั้นเราก็ไม่มีภาพเขาในกล้องวงจรปิดอีก จนกระทั่งไปเจอรถ”

ภาวินเงียบ จะให้หมายความว่ายังไง ว่าที่นี่เป็นที่สุดท้ายก่อนที่ฝ่ายนั้นจะหายตัวไปอย่างนั้นหรือ…

และตำรวจกำลังหาทางจับต้นชนปลายว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่…

“ก็เท่านั้น ในเมื่อทางคุณยืนยันมา”

สรุปเรียบๆ ก่อนจะเดินไปที่ประตู  หันมาถามอีกทีว่า

“พวกคุณคงมาจากกรุงเทพฯ”

“ครับ  เรามาอยู่แค่อาทิตย์เดียวก็จะกลับ”

พยักหน้ารับรู้ก่อนที่จะพากันเดินจากไป  ภาวินถึงกับปล่อยลมออกจากปาก

มองตาผู้ช่วยที่ยืนงงไม่แพ้กัน

“หมายความว่ายังไงคะที่ว่าที่นี่เป็นที่สุดท้าย  ในเมื่อพี่นนขี่จักรยานยนต์ออกไป จะไม่มีกล้องในตลาดหรือว่าที่ไหนจับได้มั่งเลยหรือ  กล้องที่นี่เสียก็ไม่ว่ากัน  แต่กล้องที่อื่นมันมีนี่คะ”

“บางทีคนเราก็หลบเร้นกล้องไปได้เหมือนกันในบางครั้ง” ภาวินพยายามหาคำตอบ ในสิ่งที่เขาเองก็ยังไม่มีคำตอบ…

 



Don`t copy text!