ยายทวด

ยายทวด

โดย : ทรรศิตา

Loading

อ่านเอาขอแบ่งปันเรื่องเล่าจากเงาสนธยา เรื่องลี้ลับจากประสบการณ์ตรงของ ภัทรภร มนุษย์ฟรีแลนซ์ ที่ตระเวนเดินทางทำงานไปทั่วทิศและมักได้ของแถมเป็นการพบปะทักทายจากเหล่าเพื่อนต่างมิติ และ ทรรศิตา มนุษย์ผู้ใช้ชีวิตเป็นจาริกชนคนเดินทางแสวงหาความหมายชีวิตระหว่างอดีตกับปัจจุบัน และมักผูกพันกับเรื่องลี้ลับบางอย่างเกินคาดเดา

ท่ามกลางความมืดสลัวลาง ยายทวด เดินหลังค่อมสักไม้เท้าเสียงดังกึกๆ ออกมาจากดงกล้วยข้างบ้านตรงที่เคยเป็นทางฝ่าดงกล้วยซึ่งจะลัดผ่านต้นมะตูมใหญ่ไปยังสวนที่มีต้นมะขามเฒ่าอันยืนต้นอยู่ริมทางรอบหมู่บ้านที่เขาลือกันว่าผีดุนักหนา!

ฉันเห็นตนเองยืนอยู่ใต้ต้นฝรั่งต้นโปรดที่ชอบไปปีนขึ้นเล่นจนถูกแม่ดุเป็นประจำ ยายทวดเดินมาหยุดตรงหน้าแล้วก้มหน้าลงมาจนเกือบชนหน้าฉัน พูดอะไรสักอย่างที่ฟังไม่ชัด ขณะที่พูด ผมของยายทวดหลายเส้นปลิวมาระใบหน้าฉันจนรู้สึกได้ จู่ๆ ดวงตาทั้งคู่ของยายทวดก็กลับกลายเป็นดวงตาของแมวดำที่แม่เคยเลี้ยงเมื่อก่อน ยายทวดพูดอะไรบางอย่างที่ฟังไม่ชัดเจน คล้ายๆ  เสียงแว่วผ่านมาเหมือนเสียงคนตะโกนอยู่ไกลๆ แล้วยายทวดก็เดินจากไป ในฝันนั้นฉันร้องไห้และพยายามตะโกนเรียกยายทวด “ยายทวดพูดอะไร หนูไม่ได้ยิน!” แล้วก็พลันมีแสงสว่างส่องวาบลงมา

ฉันตื่นขึ้นมาด้วยความแปลกใจ ภาพในฝันยังติดตาอยู่ในความรู้สึกไม่ทันจางหายไปกับแสงยามเช้า แปลก! ฉัน ฝันเห็นยายทวดขึ้นมา ทั้งที่ยายทวดได้จากไปนานแล้ว จากไปตั้งแต่ฉันยังเป็นเด็กเล็กๆ และลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าเคยมียายทวดอยู่

หรือว่า… ยายทวดกำลังสื่ออะไรบางอย่างกับฉัน? เหมือนเช่นเหตุการณ์ในอดีตที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว…

แม่เคยเล่าให้ฟังว่า วันดับเดือนสิบหลายปีมาแล้ว ตระกูลเราเลี้ยงผีประจำปีที่เรียกว่า “แซนโดนตา” จู่ๆ พ่อก็ล้มลงต่อหน้าญาติๆ ตาเหลือกดิ้นพรวดพราดไปมาแล้วลุกขึ้นนั่ง ตาจ้องเขม็งมายังลุงแสงซึ่งเป็นสามีของป้าวันอันเป็นพี่สาวของแม่ แล้วพูดเสียงต่ำๆ ซึ่งทำให้ทุกคนในที่นั้นถึงกลับตะลึงจนเข่าอ่อนยวบ เพราะเสียงที่พูดออกมานั้นไม่ใช่เสียงพ่อ แต่เป็นเสียงยายทวด พูดด้วยภาษาเขมรท้องถิ่นชัดเจนทั้งที่พ่อเป็นคนเผ่าลาวและไม่เคยพูดเขมรได้

“ไอ้แสง กูรู้ว่ามึงจะทำอะไร!” พอพูดจบพ่อก็ล้มพับลงไปอีกและหลับไปทั้งวันจนมาตื่นอีกทีตอนเย็น แล้วก็จำเหตุการณ์อะไรไม่ได้เลย

วันต่อมาฉันเห็นลุงแสงและป้าวันถือพานขันห้าใส่ดอกไม้ธูปเทียนขึ้นมาบนเรือน ซึ่งเป็นวันที่ญาติผู้ใหญ่หลายคนมารวมตัวกันราวกับนัดไว้ ส่วนฉันและเด็กๆ พี่น้องทุกคนถูกไล่ลงจากเรือนให้ไปเล่นที่อื่น ซึ่งแม่สั่งกำชับว่า “ผู้ใหญ่เขาจะคุยกัน อย่ามาเล่นซนแถวนี้” เรื่องนี้ฉันมารู้เอาตอนโตเป็นผู้ใหญ่แล้วว่า “ผียายทวดโกรธลุง เพราะลุงจะขายที่นาให้คนอื่นเลยมาทักท้วง!”

ตระกูลยายทวด ถือว่าเป็นกลุ่มชนแรกๆ ที่อพยพมาจากเมืองสุวรรณภูมิในยุคสมัยอาณาจักรล้านช้างจำปาศักดิ์ มาอยู่ในเขตเมืองร้างที่เคยเป็นเมืองขอมเก่าแก่มาก่อนอันเป็นตำบลสถานบ้านเมืองเก่าของฉันเองในปัจจุบัน

ยายทวดเคยเล่าให้ลูกหลานฟังว่า บรรพบุรุษปู่ตาย่าทวดกว่าจะเดินทางฝ่าดงมาถึงที่แห่งนี้ได้ก็ต้องใช้เวลาเป็นเดือน บุกป่าฝ่าดงสร้างบ้านสร้างเรือนต้องผจญทั้งสัตว์ร้ายต่างๆ นานา รวมไปถึงภัยจากโจรป่าเจ้าถิ่นเจ้าที่เดิมด้วยกว่าจะสงบร่มเย็นกลายเป็นหมู่บ้านได้ ส่วนที่นาที่ไร่ทำอยู่ทำกินนั้น ยายทวดเล่าว่าต้องตามพ่อแม่ออกไปช่วยกันถากถางพงหญ้าคาป่าหญ้าหวายและดงหญ้าป่ารกอื่นๆ กว่าจะได้ที่นาแต่ละแปลงมาทำอยู่ทำกินเลี้ยงลูกหลานได้ก็ให้เหน็ดเหนื่อยแสนยากจนแทบจะขาดใจ และเรือนหลังเดิมที่ฉันเคยอยู่ตอนเป็นเด็กๆ ซึ่งเป็นเรือนแฝดหลังใหญ่มีชานเรือนลดกว้างขวางด้านหนึ่งเป็นโรงครัว

ส่วนอีกด้านเป็นชานบันได มีบันไดแบบอีสานโบราณอันมีขั้นบันไดแต่ละขั้นกลมเกลี้ยงเป็นมันปลายงอนสวยพาดชานระเบียง และเมื่อขึ้นเรือนแล้วสามารถยกขึ้นไปไว้บนชานเรือนได้ ซึ่งเรือนหลังนี้ ตาของยายทวดซึ่งเป็นจ่าบ้านต้องระดมคนทั้งหมู่บ้านออกไปตัดไม้จากดงมาเลื่อยเป็นเดือน กว่าจะลงหลักปักเสาสร้างเป็นเรือนได้อยู่อาศัยนานถึงสามชั่วอายุคน จึงไม่แปลกใจเลยที่ยายทวดจะหวงแหนที่ไร่ที่นาและบ้านเรือนนักหนา จนห้ามหวงไม่ยอมให้ลูกหลานโหลนเหลนคนใดปล่อยให้ไปตกเป็นสมบัติของคนตระกูลอื่นเด็ดขาด!

มีอยู่ช่วงหนึ่ง ป้าทอง พี่สาวของแม่อีกคน เกิดล้มเจ็บป่วยลงอย่างไม่รู้สาเหตุ แม้ว่าจะพยายามรักษาที่โรงพยาบาลประจำอำเภอสักเท่าใดก็ไม่หายสักที มีแต่อาการจะทรุดหนักลงเรื่อยๆ จนลุงสิง สามีของป้าวิ่งไปขอยายเฒ่าแม่มวดหรือแม่มดคนทรงผีมาทำพิธีทรงรักษาดู ในวันทรงนั้นมีการล้อมรั้วไม้ไผ่ทำโรงพิธีและมีชาวบ้านผู้เฒ่าผู้แก่มาร่วมหลายคน และที่ไม่เคยพลาดได้เลยคือ บรรดาเด็กๆ อย่างพวกฉัน

วันนั้น ป้าวัน ยอมเข้าเป็นคนทรงเองเลย เพราะผีไม่ยอมเข้าคนอื่นที่ไม่ใช่ลูกหลานในสายเลือดยายทวด และทันทีที่ป้าวันจับขันครู อันมีข้าวสารลำเทียนดอกไม้ขึ้นจบหน้าผาก ก็เกิดอาการสั่นพับๆ อย่างแรงจนขันหลุดมือดอกไม้ข้าวสารหล่นกระจายทั่วพื้น แล้วลุกขึ้นรำ ทั้งรำทั้งร้องไห้ทั้งบ่นงึมงำไปด้วย เสียงแคนเสียงซอและเสียงกลองเคล้าไปกับเสียงร้องโหยหวนและเสียงพร่ำบ่นของผีในร่างทรงป้าวันฟังดูน่ากลัวมาก จนฉันต้องนั่งเกาะแขนแม่ไว้แน่น

“ลูกหลานมันไม่รักกู…กูจะเอามันไปอยู่ด้วย!” เสียงยายทวดบ่นซ้ำๆ วนอยู่อย่างนั้นไปมาทั้งแม่และคนเฒ่าคนแก่ต่างพยายามต่อรองขอชีวิตไว้ โดยถามสาเหตุที่ผิดผีปู่ตาและจะขอแก้บนตามที่บอกทุกประการไม่ขืนขัดอีก จนในที่สุดผียายทวดก็ยอมและออกจากร่างทรงไป ฉันไม่รู้ว่าพ่อแม่และญาติๆ ผู้ใหญ่ทำอย่างไรกันบ้าง รู้แต่ว่าหลังจากนั้นไม่ถึงสัปดาห์ป้าทองก็หายเป็นปลิดทิ้งลุกออกมาทำงานได้ตามปกติเหมือนไม่เคยป่วยมาก่อน และได้แยกเรือนออกไปอยู่อีกคุ้มของหมู่บ้านบนที่ที่ยายทวดได้ยกให้เป็นมรดกตกทอดในปีถัดมา

หลายปีก่อนพี่สาวคนโตมาเล่าให้ฉันฟังว่า…มีอยู่วันหนึ่งพี่เขยป่วยไม่สบายนอนอยู่บนเก้าอี้หวายริมหน้าต่างเรือนชั้นล่าง ขณะกำลังจะเคลิ้มหลับสายตาก็พลันเหลือบไปเห็นใบหน้าของใครคนหนึ่งโพล่ขึ้นมาตรงหน้าต่างด้านนอกเรือนเหมือนพยายามจะมองหาอะไรสักอย่างในห้อง แล้วก็หันมาจ้องดูพี่เขยก่อนจะเดินผละออกจากหน้าต่างไป พี่เขยเล่าว่าพยายามจะลุกตามไปดู แต่ก็ลุกไม่ขึ้นดูเหมือนว่าจะไม่มีแรงลุกเอาเสียเลยแล้วก็หลับไปจนกระทั่งพี่เขยได้มาเห็นภาพเก่าๆ ของยายทวดในภายหลัง ก็ถึงกับขนลุกซู่ด้วยความตกใจเพราะมารู้แจ้งว่า เป็นยายทวดนั่นเอง ที่ได้สบตากันในวันนั้น!

ตอนพ่อรื้อเรือนใหญ่หลังเก่าเพื่อเอามาทำให้เป็นเรือนหลังใหม่ให้พี่สาวและพี่ชายคนละหลังนั้น ฉันกำลังจบชั้นประถมพอดี ตอนนั้นพ่อได้พาแม่ ฉันและน้องอีกสามคนออกมาซื้อที่ตั้งเรือนอีกหลังหนึ่งนอกหมู่บ้าน เพราะพ่อจะตั้งโรงสีข้าวค้าขายกับคนจีนในอำเภอ พ่อกลัวว่าเสียงโรงสีจะไปรบกวนชาวบ้าน คืนแรกบนเรือนหลังใหม่ข้างโรงสีข้าว ฉันฝันเห็นยายทวด

ในฝัน ฉันยืนอยู่ใต้ต้นฝรั่งริมดงกล้วยหันมองไปรอบๆ กายด้วยความรู้สึกสุขปนเศร้าอย่างแปลกประหลาด  เรือนไม้หลังใหญ่หลังเดิมที่เคยอยู่ในวัยเด็กปรากฏอยู่ตรงหน้า ค้างพลูของยายยังเขียวชอุ่ม ต้นยออันเอนต้นลงเกือบจรดพื้นดินจนแม่ต้องเอาไม้ไปค้ำไว้ ทั้งหมู่ต้นน้อยหน่าที่ฉันชอบนักหนา  ต้นมะกล่ำข้างบ้านป้า และต้นฝรั่งต้นโปรดยังมีอยู่เหมือนเดิม

“น้อย…น้อย!” เสียงทวดเรียกดังออกมาจากดงกล้วยลึก ฉันเดินตามเสียงเรียกนั้นเข้าไปตามทางที่ยังจำได้ดี ทางเดินนั้นฝ่าเข้าไปในดงกล้วยที่ยืนต้นสูงลิ่วบรรยากาศมืดสลัวลางเหมือนอยู่ท่ามกลางแสงจันทร์วันเพ็ญ และคล้ายจะมืดลงเรื่อยๆ จนแทบจะมองหาอะไรไม่เห็น ฉันเริ่มกลัวและส่งเสียงเรียกยายทวดดังๆ หลายครั้ง แต่ไม่มีเสียงยายทวดตอบกลับมา มีเพียงเสียงเรียกของฉันที่ดังก้องกังวานวนไปมาเหมือนยืนอยู่ตรงหน้าผาใหญ่จนกระทั่งฉันสะดุ้งตื่นขึ้นตอนรุ่งเช้า นั่นเป็นครั้งสุดท้ายในวัยเด็กที่ฉันฝันเห็นยายทวด นับจากคืนนั้นเป็นต้นมา ฉันไม่เคยฝันเห็นยายทวดอีกเลย…หากทว่า เมื่อคืนนี้จู่ ๆ ฉันก็ฝันเห็นยายทวดอีกครั้ง!

ฉันพยายามมานั่งคิดหาสาเหตุ ไม่ใช่ว่าตนเองจะงมงาย แต่คงเกี่ยวกับเรื่องที่ฉันได้โอนที่ไร่ที่นาทั้งหมดที่พ่อแม่แบ่งให้เป็นมรดกก่อนตายจากไป มอบให้น้องสาวและน้องชายและยกที่บ้านโรงสีให้หลานชายจนไม่เหลืออะไรไว้เลย ยายทวดคงห่วงฉัน ห่วงเหลนคนโปรดคนสุดท้ายที่ยังได้ทันอุ้มก่อนจะละไปเป็นผีเรือน…ไม่เป็นไร…คืนนี้ก่อนนอน ฉันจะไหว้พระอธิษฐานขอให้ยายทวดมาพบฉันอีกครั้งในฝันตรงที่เดิม แล้วฉันจะเล่าให้ยายทวดฟัง…

เกือบเที่ยงคืนแล้ว…ฉันยังนอนไม่หลับ แม้จะพยายามปิดเปลือกตาลงสักเท่าไรก็ยังตื่นเหมือนเดิม สายลมเย็นๆ วูบหนึ่งพัดผ่านหน้าต่างเรือนเข้ามา…ท่ามกลางความมืดสลัวลางๆ นั่น! มีเสียงอะไรบางอย่างดังขึ้นที่ตรงหน้าต่าง ! 

 

Don`t copy text!