การเดินทางของเด็กน้อยหัวใจครึ่งดวง ตอนที่ 9 : ริกะจัง สาวน้อยผู้มีริมฝีปากคล้ำตลอดเวลา

การเดินทางของเด็กน้อยหัวใจครึ่งดวง ตอนที่ 9 : ริกะจัง สาวน้อยผู้มีริมฝีปากคล้ำตลอดเวลา

โดย : อลิสา กัลยา

Loading

อ่านเอา มี นิยายออนไลน์ ให้คุณได้อ่านเพลิดเพลิน มีคอลัมน์หลากหลายให้ได้เปิดโลก และ “การเดินทางของเด็กน้อยหัวใจครึ่งดวง” เรื่องราวของคุณแม่ชาวไทยในโอซาก้าที่พบว่าลูกน้อยที่กำลังจะลืมตาออกมาดูโลกนี้มีเพียงหัวใจแค่ครึ่งดวง จะเต็มไปด้วยความสุข ความทุกข์และความรู้สึกต่างๆ ที่ถาโถมจนทำให้การเดินทางครั้งนี้ประทับใจไม่รู้ลืม

…………………………………………………

-9-

ฉันรู้จักริกะจังครั้งแรก เมื่อปลายฤดูใบไม้ร่วง ปีเฮเซที่ ๒๔ ระหว่างที่มิอุพักฟื้นจากการผ่าตัดครั้งที่สอง

เธอเป็นสาวมัธยมปลาย หน้าตาสะสวย ดวงตาของเธอกลมโต ผมยาวดำขลับ จะมีแต่ริมฝีปากของเธอเท่านั้น ที่มีสีแดงม่วงผิดกับริมฝีปากของสาวในวัยนี้ที่ควรจะมีสีแดงระเรื่อ

คนที่ไม่รู้เรื่องราวของเธออาจคิดว่าเธอสูบบุหรี่จัด

แต่แหงล่ะ เด็กสาวมัธยมปลายที่ไหนจะติดบุหรี่เสียขนาดนี้

เพราะในความเป็นจริงแล้ว ความคล้ำของริมฝีปากของเธอเกิดจากโรคหัวใจที่ทำให้ออกซิเจนที่ไหลเวียนในตัวเธอต่ำกว่าคนทั่วไปต่างหาก

ฉันรู้จักริกะจังโดยไม่ได้ผ่านการพูดคุยกัน

เธอเองอาจจะไม่รู้จักชื่อฉันเลยด้วยซ้ำ

แต่เรารู้เรื่องของกันและกัน ผ่านการอยู่ร่วมห้องผู้ป่วยเดียวกัน

ฉันไม่รู้ว่าริกะจังต้องมาอาศัยอยู่ในห้องเล็กๆ ของโรงพยาบาลเด็กแห่งนี้ตั้งแต่เมื่อไร แต่เมื่อมิอุถูกย้ายมาอยู่ห้องผู้ป่วยปกติ หลังจากรับการผ่าตัดครั้งที่ ๒ แล้ว ริกะจังก็ได้ถือครองพื้นที่ครึ่งหนึ่งของห้องเล็กๆ นี้มาก่อนหน้านี้แล้ว

ริกะจังก็เหมือนเด็กสาววัยรุ่นทั่วไป

เธอชอบดูทีวีจนถึงดึกดื่น เธอติดสมาร์ตโฟน และเธอรักสวยรักงาม (ดูจากกระเป๋าเครื่องสำอางใบเบ้อเริ่มและนิตยสารแฟชั่นหลายเล่มที่วางอยู่ข้างหัวเตียง)

เธอดูจะชอบคุยกับบุรุษพยาบาลหนุ่มยานางิดะผู้คอยมาคุยเป็นเพื่อนเธออยู่บ่อยๆ ฉันสังเกตได้ว่า แววตาของเธอดูเป็นประกายและเสียงหัวเราะของเธอจะต่อกระซิกมากกว่าปกติเวลาคุยกับนายพยาบาลคนนี้

แต่เธอก็ยังเป็นเพียงเด็กวัยรุ่นที่กำลังเตรียมก้าวสู่โลกอันกว้างใหญ่นี้

แม้ว่าโลกของเธออาจจะกว้างกว่าเพื่อนรุ่นเดียวกัน ในแง่ที่ว่าเธอผ่านประสบการณ์ที่เพื่อนเธออาจไม่เคยพบเจอ และอาจจะไม่ต้องพบเจอในชีวิตนี้เหมือนเธอ ประสบการณ์ที่ทำให้ชีวิตปกติของเธอกับชีวิตที่ต้องเกี่ยวข้องกับโรงพยาบาลเป็นสองด้านของเหรียญเดียวกัน

บ่ายแก่วันหนึ่ง ชายในชุดกาวน์สีขาวสามคนเปิดประตูเข้ามาให้ห้องของพวกเรา พวกเขาทั้งสามเดินผ่านเตียงของมิอุ เดินฉับๆอย่างรวดเร็ว ไปที่เตียงของริกะจังซึ่งอยู่ติดริมหน้าต่าง

ดูเหมือนเขาทั้งสามจะพยายามรักษาระดับเสียงของบทสนทนา เพื่อไม่ให้ ‘ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้อง’ อย่างฉันได้ยิน แต่เสียงร้องไห้ของริกะจังที่เปล่งออกมาหลังจากบทสนทนาสิ้นสุดลง ก็ทำให้ฉันพอจะทราบได้ว่า เขาทั้งสามน่าจะพาเรื่องไม่อภิรมย์เท่าไรนักมาให้กับริกะจัง

“ฉันไม่อยากอยู่โรงพยาบาลแล้ว ฉันอยากกลับบ้าน” เป็นเพียงประโยคเดียวที่ฉันสามารถได้ยินและปะติดปะต่อเองได้ คืนนั้นฉันไม่ได้ยินเสียงทีวีจากอีกฟากของเตียงนอนของมิอุเหมือนเช่นเคย

 

หลังจากวันนั้น เหตุการณ์คล้ายๆ กันก็เกิดขึ้นอีก คุณหมอสองสามคนเดินเข้ามาคุยกับริกะจัง และทุกครั้งก็จะจบลงด้วยเสียงร้องไห้ของเธอ

จนกระทั่งเช้าวันหนึ่ง คุณหมอคาวาตะเดินเข้ามาพร้อมกับคุณแม่ของริกะจัง ปกติแล้วคุณแม่ของริกะจังจะมาเยี่ยมลูกไม่กี่ชั่วโมงในเวลาค่ำเท่านั้น ฉันเดาว่าคงเป็นเพราะคุณแม่ต้องทำงาน และลูกสาวเองก็โตพอที่จะดูแลตัวเองได้แล้ว

เสียงจากบทสนทนาข้างหลังม่านดังขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับเสียงร้องไห้ของริกะจัง “ทำไมดื้อแบบนี้ คิดถึงแม่บ้างมั้ย ห้ะ คิดถึงบ้างมั้ย ทำแบบนี้ไปเพื่ออะไรกัน” เสียงของคุณแม่ริกะจังลอดผ่านผ้าม่านออกมา

“ถ้าไม่ผ่าตัดตอนนี้ ออกซิเจนในร่างกายจะลดลงเรื่อยๆ นะ ยังไงหมอก็ให้กลับบ้านไม่ได้อยู่ดี” สิ้นเสียงของคุณหมอคาวาตะ เสียงร้องไห้ดั่งฝนตกห่าใหญ่ของริกะจังก็ดังไปทั้งห้อง ปกติฉันจะได้ยินแต่เพียงเสียงร้องไห้สะอื้นของเธอเท่านั้น แต่คราวนี้เธอร้องไห้เสมือนโลกกำลังจะถล่มใช่ โลกทั้งใบของเธอกำลังจะถล่มบรรยากาศในห้องร้อนแรงแผดเผา เสียจนกระทั่ง นางพยาบาลคนหนึ่งเดินมาขอร้องให้ฉันและมิอุออกจากห้อง ไปอยู่ที่ห้องของเล่นสักพัก

โอก้าซังมักเล่าให้ฉันฟังอยู่บ่อยๆ เกี่ยวกับหลานของเพื่อนสนิทของเธอที่เกิดมาพร้อมความผิดปกติของระบบทางเดินอาหาร เด็กคนนี้ไม่ต่างจากมิอุที่ต้องรับการผ่าตัดสองสามครั้งและชีวิตต้องวนเวียนอยู่กับโรงพยาบาลอยู่เสมอ ความเคยชินทำให้หลานของเพื่อนโอก้าซังไม่กลัวหมอ ไม่กลัวเข็มฉีดยา ไม่กลัวความเจ็บปวด และไม่กลัวโรงพยาบาลเหมือนเด็กคนอื่น (แต่แน่นอน อาจจะมีเด็กแข็งแรงบางคนที่อาจไม่กลัวสิ่งเหล่านี้เหมือนกัน)

แต่ก็นั่นแหละ พอถึงจุดหนึ่งของชีวิตที่กำลังเติบโต ความเข้มแข็งทางจิตใจก็เริ่มถูกซัดเซาะด้วยความคิดและความรู้สึกที่ว่าตัวเองแตกต่างจากคนอื่น

หลังจากเหตุการณ์วันนั้นไม่กี่วัน ฉันและมิอุก็ย้ายไปอยู่ห้องผู้ป่วยห้องอื่น

เวลาเดินไปเข้าห้องน้ำ และต้องผ่านห้องของริกะจัง ฉันจะคอยเมียงมองอยู่เสมอว่า

ป้ายชื่อของริกะยังแปะอยู่ที่หน้าห้องหรือเปล่า

ก่อนที่มิอุจะออกจากโรงพยาบาล กระดาษแผ่นน้อยเขียนชื่อของริกะจัง ก็ยังคงติดอยู่หน้าห้องของเธอ แม้พวกเราสองแม่ลูกจะกลับมาอยู่บ้านแล้วก็ตาม แต่หลายครั้ง เมื่อสมองเกิดความว่างเปล่า ฉันก็อดคิดถึงริกะจังไม่ได้ เธอจะคงดื้อรั้นอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆ นั้นอยู่หรือเปล่า หรือว่าตอนนี้เธอกำลังสลบสไลอยู่บนเตียงในห้องไอซียูกันนะ

ฉันรู้ดีว่าอะไรคือสาเหตุหลักที่ทำให้เรื่องของริกะจังยังคงวนเวียนอยู่ในห้วงความคิดและความรู้สึกของฉัน มันไม่ใช่ความเป็นห่วงอะไรที่มากไปกว่าความอาทรในฐานะเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน หากแต่ ในก้นบึ้งของความรู้สึกดังกล่าว มีความหวาดกลัวของมนุษย์แม่คนหนึ่งซ่อนอยู่

แน่นอน ฉันรู้ดีว่าการคิดกังวลไปเองล่วงหน้าเป็นสิ่งที่ดูจะไม่เกิดประโยชน์อะไร แต่ในความเป็นจริง ความกังวลก็ถือเป็นธรรมชาติอย่างหนึ่งของคนเป็นแม่ บางครั้งบางตอนของชีวิต ฉันจะปล่อยให้ความกังวลเหล่านี้เข้ามาครอบงำ และพยายามอย่างสุดกำลังที่จะบังคับให้มันไม่ไปไกลถึงระดับที่เรียกว่า ‘สติแตก’

ฉันคิดถึงมิอุในอีกสิบหรือยี่สิบปีข้างหน้า

“ฉันจะสามารถเข้าใจความรู้สึกของลูกสาวตัวเองได้ขนาดไหนกัน?

เป็นคำถามที่ยังไม่มีคำตอบในเร็ววัน แต่บางทีความกังวลในลักษณะนี้ กลับเป็นเครื่องช่วยให้ตัวเองมองอะไรในความเป็นจริง ตามสภาพของมันได้ดีละเอียดยิ่งขึ้น

สามเดือนหลังจากมิอุออกจากโรงพยาบาล

วันหนึ่งในฤดูใบไม้ผลิที่เป็นวันตรวจร่างกายประจำเดือนของมิอุ ฉันได้พบกับริกะจังอีกครั้ง ที่หน้าห้องตรวจผู้ป่วยนอกห้องเดียวกัน ริกะจังนั่งอยู่กับแม่ของเธอ วันนั้นเธอใส่เสื้อคาร์ดิแกนสีหวาน กระโปรงยาวถึงพื้น หน้าตาเกลี้ยงเกลา ผมยาวดำขลับ ดวงตาโตสวย และริมฝีปากสีแดงชมพูระเรื่อ

 

Don`t copy text!