การเดินทางของเด็กน้อยหัวใจครึ่งดวง ตอนที่ 12 : กลับสู่ชีวิตในโรงพยาบาลอีกครั้ง

การเดินทางของเด็กน้อยหัวใจครึ่งดวง ตอนที่ 12 : กลับสู่ชีวิตในโรงพยาบาลอีกครั้ง

โดย : อลิสา กัลยา

Loading

อ่านเอา มี นิยายออนไลน์ ให้คุณได้อ่านเพลิดเพลิน มีคอลัมน์หลากหลายให้ได้เปิดโลก และ “การเดินทางของเด็กน้อยหัวใจครึ่งดวง” เรื่องราวของคุณแม่ชาวไทยในโอซาก้าที่พบว่าลูกน้อยที่กำลังจะลืมตาออกมาดูโลกนี้มีเพียงหัวใจแค่ครึ่งดวง จะเต็มไปด้วยความสุข ความทุกข์และความรู้สึกต่างๆ ที่ถาโถมจนทำให้การเดินทางครั้งนี้ประทับใจไม่รู้ลืม

…………………………………………………

-12-

 

ฤดูหนาวปีเฮเซที่ ๒๗ ฉันและมิอุกลับมาใช้ชีวิตในโรงพยาบาลอันยาวนานอีกครั้งเป็นครั้งที่สาม

คราวนี้จะว่าเป็นการพักฟื้นที่หนักหนาก็ไม่ใช่ จะราบรื่นง่ายดายก็ไม่เชิง ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะการทำใจมาล่วงหน้าว่า การผ่าตัดครั้งที่สามจะเป็นครั้งที่หนักหนาที่สุดอย่างที่หมอเรียวเคยบอก ฉันจึงเตรียมใจมารับมืออย่างเต็มที่

เหมือนการผ่าตัดที่ผ่านมา ช่วงเวลาอ่อนล้าที่สุดคือ ช่วงมิอุพักฟื้นในห้องไอซียู ที่กินเวลาสิบสองวัน จากนั้นจึงย้ายไปอยู่ห้องข้างในสุดในแผนกโรคหัวใจเด็กที่จัดไว้สำหรับคนไข้ที่ยังต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์เป็นพิเศษแม้จะออกจากห้องไอซียูของโรงพยาบาลมาแล้ว

ความกลัวที่จะถูกทิ้งไว้คนเดียวเกิดขึ้นอย่างรุนแรงเหมือนคราวผ่าตัดครั้งที่สอง แต่คราวนี้มิอุโตพอที่จะสื่อสารได้อย่างเข้าใจแล้ว ทุกครั้งที่ฉันไปเยี่ยมเธอที่ห้องไอซียู มิอุจะกำมือฉันไว้แน่น เธอมักพูดด้วยเสียงอันแหบแห้งว่า

“หม่าม้าอยู่นี่นะ ไม่กลับบ้านนะ”

ถ้อยคำโกหกเป็นสิ่งที่ทำได้ง่าย แต่มันจะเป็นสิ่งที่ทำร้ายความรู้สึกเมื่อพบกับความจริง

ด้วยเหตุนี้ ฉันจึงได้เพียงตอบเธอไปว่า

“ตอนนี้หม่าม้าอยู่กับมิอุแหละ แต่พอมิอุหลับ หม่าม้าก็ต้องไปพักผ่อนเหมือนกันนะ จะได้มีแรงมาหามิอุไง”

พอได้ยินมิอุเบ้ปาก ทำหน้าจะร้องไห้  “ไม่เอาอะ ไม่เอา หม่าม้าอยู่นี่ ต้องอยู่นี่!”

“ก็เวลามิอุตื่นหม่าม้าอยู่กับมิอุไง เนี่ย คราวนี้หม่าม้าไม่ได้กลับบ้านนะ หม่าม้านอนอยู่ตึกข้างๆ เอง หม่าม้าอยู่ได้ตลอดจะกว่าคุณหมอจะบอกไม่ให้หม่าม้าอยู่” ฉันพยายามอธิบายให้มิอุรู้สึกอุ่นใจขึ้นมาบ้างว่า การผ่าตัดคราวนี้ฉันมาพักที่ตึกพักอาศัยสำหรับญาติที่โรงพยาบาลจัดไว้ให้

เช่นเดียวกัน เวลามิอุต้องเจาะเลือดหรือฉีดยา ฉันจะบอกเธอเสมอว่า “มันเจ็บนะ แต่เจ็บนิดเดียว เดี๋ยวก็หาย”

ตั้งแต่มิอุสามขวบจนทุกวันนี้ พอถึงกำหนดต้องตรวจเลือดเพื่อดูการทำงานของหัวใจ มิอุสามารถเดินไปห้องเจาะเลือดคนเดียวได้ โดยไม่มีเสียงร้องไห้ออกมาสักแอะ

ดูเหมือนฉันจะเป็นแม่ที่ไม่ใจดี ไม่อ่อนโยนเอาเสียเลย ฉันมักถูกโอก้าซังเอ็ดเอาบ่อยๆ ว่าทำไมไม่รู้จักปลอบลูกเอาเสียเลย ทำไมต้องไปพูดแบบนั้นกับลูก แต่เหตุการณ์หนึ่งระหว่างมิอุพักฟื้นอยู่ในห้องข้างในสุดของแผนกโรคหัวใจเด็ก ทำให้ฉันตั้งใจมาตั้งแต่ตอนนั้นว่า จะไม่พูดโกหกเพื่อความสบายใจของตัวเองหรือเพียงเพื่อปลอบให้มิอุหยุดร้องไห้เพียงช่วงขณะนั้น

น่าจะเป็นหลังการผ่าตัดครั้งที่สอง ข้างๆ เตียงมิอุ มีเด็กผู้ชายวัยประถมปลายอยู่ข้างๆ ฉันจำชื่อเด็กชายคนนั้นไม่ได้แล้ว จำได้เพียงว่า เตียงคนไข้ของเด็กคนนี้มีขนาดเท่าเตียงผู้ใหญ่ ทำให้เห็นเด่นชัดมากตั้งแต่เดินเข้ามาในห้อง ใครเดินเข้ามาจะต้องอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองเป็นแน่

คุณแม่ของเด็กชายคนนี้มาเยี่ยมลูกชายเกือบทุกวัน และทุกครั้งสิ่งแรกที่เธอให้กับลูกชายเธอก็คือ กุญแจรถของเธอเอง

เด็กชายเอื้อมมือรับกุญแจรถแล้วเอาไปวางไว้ข้างหมอน เพื่อความอุ่นใจของตัวเองว่าแม่จะไม่กลับบ้าน แต่ทุกเย็น หลังจากเด็กชายผลอยหลับไป คุณแม่จะค่อยๆ เยื้องกรายด้วยอย่างเบา เพื่อให้เกิดเสียงน้อยที่สุด ค่อยๆ หยิบกุญแจและกลับบ้านไป

ปกติแล้วฉันจะกลับบ้านก่อนที่เด็กชายจะตื่น แต่วันหนึ่ง ฉันตั้งใจมาอยู่กับมิอุถึงค่ำ เพื่อรอสามีมาเยี่ยมมิอุ จะได้กลับบ้านพร้อมกัน ค่ำวันนั้น เด็กชายเตียงข้างๆ ตื่นขึ้นมา ทันใดนั้น เสียงร้องไห้ฟูมฟายก็ดังขึ้นสนั่นห้อง

“แม่ แม่อยู่ไหน แม่กลับไปอีกแล้ว แม่โกหก!”

เด็กชายกรีดร้อง น้ำตาไหลอาบทั้งสองแก้ม เวลานั้นตรงกับช่วงเปลี่ยนเวรพยาบาลพอดี พยาบาลและหมอเวรกลางคืนจะประชุมเป็นเวลาสั้นๆ ที่เนิร์สสเตชันข้างนอก มีเพียงฉันและพยาบาลอีกคนที่กำลังดูแลเด็กทารกเตียงฝั่งตรงข้ามของห้อง

ก่อนที่ฉันจะตัดสินใจว่าควรจะทำอย่างไรดี ควรจะเข้าไปปลอบเด็กชายหรือเปล่า หนุ่มน้อยก็ดึงเข็มน้ำเกลือและสายยางที่โยงยางรอบตัวเองออกหมด  ก่อนพยายามปีนออกมาจากเตียง เสียงอุปกรณ์การแพทย์รอบเตียงของเด็กชายแผดดังแข่งกับเสียงร้องไห้

แม้ฉันจะตกใจถึงขั้นทำอะไรไม่ถูก แต่ก็ลุกจากเก้าอี้ ไปหยุดเด็กชายไว้ พยาบาลจากฝั่งตรงข้ามห้องวิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว กดปุ่มฉุกเฉินข้างเตียง เรียกไปยังเนิร์สสเตชันเพื่อแจ้งให้เพื่อนร่วมงานที่กำลังประชุมกันอยู่ทราบ เธอโอบกอดเด็กน้อยไว้แน่น พลางปลอบว่า “ไม่เป็นไรนะ ไม่เป็นไร เดี๋ยวพรุ่งนี้แม่ก็มาหาอีก” แต่เด็กชายก็ยังคงร้องไห้สะอึกสะอื้น

พยาบาลเวรกลางคืนเดินมาแนะนำตัวกับฉันและขอโทษที่เกิดเรื่องวุ่นวายขึ้น เธอยังขอบคุณที่ฉันส่งเสียงเรียกพยาบาลอีกคน ฉันจึงได้รู้ว่า เด็กชายเตียงข้างๆ มักอาละวาดแบบนี้อยู่เป็นประจำ แต่ไม่เคยรุนแรงถึงขั้นถอดเอาสายยางรอบตัวเองออกหมดเหมือนที่เกิดขึ้นในวันนี้

ระหว่างการพักฟื้นครั้งที่สามนี้ ฉันจึงมักจะบอกมิอุไปตามความเป็นจริงตลอด เธออาจร้องไห้ กลัวเจ็บ กลัวไม่ได้อยู่กับแม่บ้าง แต่ฉันมักจะให้รางวัลความอดทนกับเธอเสมอในภายหลัง เอาเข้าจริงๆ แล้ว ตัวฉันเองก็ไม่รู้ว่าสิ่งที่ทำไปนั้นเป็นสิ่งถูกต้องหรือเปล่า ทั้งไม่ได้ชี้นิ้วบอกว่าสิ่งที่คุณแม่คนอื่นทำต่างจากฉันนั้นผิด แต่มันเป็นสิ่งที่หากฉันทำลงไปแล้ว ฉันสามารถรับมือกับสิ่งที่จะตามมาได้ดีมากกว่า

กว่ามิอุจะย้ายมาอยู่ห้องเตียงรวมข้างนอกก็ปาไปสามสัปดาห์กว่าๆ นับว่าเป็นการพักฟื้นในไอซียูของโรงพยาบาลและของแผนกโรคหัวใจเด็กที่ยาวนานที่สุด จากเริ่มแรกเดิมที คุณหมอโทมินางะ คุณหมอผู้รับผิดชอบมิอุระหว่างการผ่าตัดครั้งนี้คาดคะเนจำนวนเวลาที่อยู่โรงพยาบาลเพียงแค่หนึ่งเดือนเศษๆ เท่านั้น

ย้ายออกมาอยู่ห้องเตียงรวม มิอุสามารถเริ่มใช้ชีวิตประจำวันเหมือนเด็กคนอื่นๆ ในแผนกโรคหัวใจได้เสียที และดูเหมือนเธอจะชอบเสียด้วย เพราะได้เล่นกับเด็กคนอื่นเกือบทุกวัน การพักฟื้นในช่วงหลังจึงค่อนข้างเรียบง่าย โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับคราวผ่าตัดครั้งก่อน ที่แม้จะย้ายออกมาอยู่ห้องพักฟื้นข้างนอก เธอยังหวาดผวากับสิ่งรอบข้างและติดแม่เป็นตังเม

หนึ่งเดือนผ่านไป ยังคงไม่มีวี่แววได้ออกจากโรงพยาบาล การผ่าตัดรอบนี้เหมือนการผ่าตัดที่แล้วมาที่มิอุมีอาการแทรกซ้อนเกิดขึ้น ทำให้ต้องยืดเวลาการพักฟื้นออกไปอีก คราวนี้ เราต้องเผชิญกับภาวะน้ำคั่งรอบหัวใจมิอุที่ไม่สามารถระบายออกไปให้หมดได้เสียที คุณหมอเพิ่มยาระบายของเหลวออกจากร่างกายและตามด้วยการตรวจอัลตราซาวด์ในสี่ห้าวันถัดมา ดำเนินไปเช่นนี้อยู่หลายครั้ง แต่สุดท้ายก็ยังคงมีน้ำหลงเหลืออยู่ดี

ตอนมิอุยังเล็กๆ ฉันอาจจะรู้สึกดีใจกับการได้เข้ามาใช้ชีวิตในโรงพยาบาล เพราะมีทั้งพยาบาลและเจ้าหน้าที่เลี้ยงเด็กคอยช่วยเหลือเสมอ แต่เมื่อมิอุโตขึ้น ฉันกลับรู้สึกอยากให้วันที่สามารถออกจากโรงพยาบาลมาถึงในเร็ววัน แต่ละวันช่างผ่านไปอย่างยาวนานนัก อาหารการกินที่ต้องพึ่งแต่อาหารจากร้านสะดวกซื้อภายในโรงพยาบาล อีกทั้งไม่สามารถใช้อินเทอร์เน็ตได้ง่ายๆ เพราะแผนกโรคหัวใจเด็กนั้น เครื่องมือสื่อสารทั้งหลายถือเป็นสิ่งต้องห้าม ชีวิตที่เหมือนถูกตัดขาดจากโลกภายนอกเมื่อไรจะสิ้นสุดลงเสียที ความไม่สบายกายผสมปนเปกับความไม่สบายใจเกี่ยวกับอาการของมิอุกลายเป็นความเครียดสะสมมากขึ้นทุกวัน

ค่ำวันหนึ่ง หลังจากฝากมิอุไว้กับนางพยาบาล ฉันเดินออกมาที่ห้องส่วนกลางนอกแผนกโรคหัวใจ เป็นห้องจัดไว้สำหรับญาติของคนไข้ ภายในมีเก้าอี้และโซฟาสำหรับนั่งพักผ่อนและกินข้าว นอกจากนี้ ยังมีเครื่องทำน้ำร้อน ไมโครเวฟ ตู้เย็น และล็อกเกอร์หยอดเหรียญ

ฉันจัดแจงอุ่นอาหารกล่องที่ซื้อมาตั้งแต่ตอนบ่าย โยนเข้าไปในไมโครเวฟ กดปุ่มสองสามครั้งเพื่ออุ่นข้าว ระหว่างรอก็มองออกไปนอกหน้าต่าง มองดูหิมะที่กำลังตกอย่างหนัก ปกติหิมะจะไม่ค่อยตกที่โอซาก้ามากนัก หรือถ้าตกก็มักจะละลายอย่างรวดเร็วในอีกไม่กี่ชั่วโมงถัดมา แต่ปีนี้หิมะกลับตกหนักเป็นพิเศษ ติดกันหลายวัน หิมะทับถมกันจนข้างนอกขาวโพลนไปทั่ว สำหรับชาวโอซาก้าผู้ไม่คุ้นเคยกับหิมะ หลายคนจึงตื่นเต้นเป็นพิเศษ ฉันเองได้แต่คิดในใจว่า ถ้ามิอุได้ออกจากโรงพยาบาลไปเล่นปาหิมะอย่างที่เธอเคยบอกก็คงดี นึกแล้วก็มีแต่เรื่องที่ทำให้หัวใจห่อเหี่ยว ไหนจะเรื่องที่ว่าอาทิตย์หน้ามิอุก็ครบสามขวบ ซึ่งครอบครัวเราคงต้องฉลองวันเกิดมิอุที่โรงพยาบาลเป็นแน่

เสียง ตึ๊ง จากไมโครเวฟดังขึ้น ฉันหยิบเอากล่องข้าวออกมา เดินไปโต๊ะว่างข้างๆ  เงยหน้าขึ้นมาเห็นแม่ลูกคู่หนึ่งนั่งอยู่ข้างๆ ฉันไม่คุ้นหน้าคุณแม่เท่าไร คงเป็นญาติคนไข้จากแผนกเด็กทั่วไปฝั่งตรงข้าม เด็กชายวัยอนุบาล อายุประมาณห้าหกขวบกำลังนั่งเล่นกินขนมและเล่นกับคุณแม่อยู่ ทั้งคู่ร้องเพลงอย่างสนุกสนาน สักพัก ฉันก็สะดุ้งตกใจ เพราะอยู่ๆ คุณแม่ลุกขึ้นมาเต้นให้ลูกชายดู เธอร้องเพลงไปเต้นไปอย่างจริงจัง ปราศจากความเขินอายเสมือนฉันไม่ได้นั่งอยู่ตรงนั้นด้วย  ฉันได้ยินสองแม่ลูกคุยกันหลังจากซ้อมเต้นกันเสร็จ ได้ความว่าลูกชายจะต้องไปเต้นที่งานโรงเรียน คุณแม่เลยลุกขึ้นซ้อมเต้นพร้อมกับลูกชาย

สักพัก ชายผู้เป็นพ่อเดินเข้ามารับลูกชายกลับบ้าน ทั้งสามล่ำลากัน  เสร็จแล้วคุณแม่ก็เดินกลับเข้าไปในแผนกผู้ป่วยเด็กทั่วไป ตอนนั้นฉันถึงเข้าใจว่า คุณแม่มาเฝ้าไข้ลูกอีกคนที่รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลนี้นี่เอง ฉันตักข้าวใส่ปากพลาง มองดูเด็กชายกับคุณพ่อรอลิฟต์ไปพลาง พอทั้งสองเข้าลิฟต์ไปเรียบร้อย ข้าวในกล่องก็หมดพอดี มื้อเย็นค่ำคืนนี้ให้กำลังกายและพลังใจกับฉันยิ่งนัก

Don`t copy text!