การเดินทางของเด็กน้อยหัวใจครึ่งดวง ตอนที่ 16 : คำปลอบใจ

การเดินทางของเด็กน้อยหัวใจครึ่งดวง ตอนที่ 16 : คำปลอบใจ

โดย : อลิสา กัลยา

Loading

อ่านเอา มี นิยายออนไลน์ ให้คุณได้อ่านเพลิดเพลิน มีคอลัมน์หลากหลายให้ได้เปิดโลก และ “การเดินทางของเด็กน้อยหัวใจครึ่งดวง” เรื่องราวของคุณแม่ชาวไทยในโอซาก้าที่พบว่าลูกน้อยที่กำลังจะลืมตาออกมาดูโลกนี้มีเพียงหัวใจแค่ครึ่งดวง จะเต็มไปด้วยความสุข ความทุกข์และความรู้สึกต่างๆ ที่ถาโถมจนทำให้การเดินทางครั้งนี้ประทับใจไม่รู้ลืม

…………………………………………………

-16-

๑.

เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่กระทบกระเทือนจิตใจ ไม่ว่าจะเศร้า ผิดหวัง หรือสลดใจ มนุษย์มีกลไกภายในตัวที่จะตอบสนองต่อสิ่งเหล่านี้ออกมาเสมอ เราจึงแสดงออกและส่งต่อความรู้สึกร่วมต่อเหตุการณ์นั้นผ่านทั้งคำปลอบใจและน้ำตา

บางครั้งเราทำไปเพราะเรารู้สึกร่วมกับสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ และบางครั้งก็เพื่อให้เรารู้สึกดีกับตัวเองว่าเราได้แสดงความรู้สึกร่วมบางอย่างออกมาแล้ว

ตั้งแต่มิอุเกิดจนถึงปัจจุบัน เป็นช่วงเวลาที่ฉันได้รับคำปลอบใจมากที่สุดตลอด ๓๐ กว่าปีของการมีลมหายใจอยู่ เอาที่จริง ชีวิตที่ผ่านมา ฉันไม่ใช่คนที่ยี่หระต่อคำปลอบใจนัก ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะก่อนหน้านี้ฉันไม่ได้รับการทดสอบของชีวิตเสียเท่าไหร่ น้อยครั้งที่จะผิดหวังกับบางสิ่ง หรือหากเกิดเหตุการณ์น่าผิดหวังหรือเสียใจขึ้นมา ฉันมักจะไม่ฟูมฟาย เรียกร้องให้คนมาสนใจหรือเห็นใจ เพราะรู้ดีว่าสามารถปลอบประโลมให้กำลังใจตัวเองได้ในระดับหนึ่ง

โลกทัศน์ที่มีต่อคุณค่าของคำปลอบใจเริ่มเปลี่ยนแปลงตามเวลาที่ผันเปลี่ยน เมื่อมิอุเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของฉัน หนึ่งในบททดสอบที่สำคัญในชีวิตก็ได้เริ่มต้น บททดสอบที่มาพร้อมกับโอกาสในการเรียนรู้ชีวิตที่เต็มไปด้วยองค์ประกอบอันละเอียดอ่อน

๒.

การผ่าตัดครั้งที่สามของมิอุ ถือเป็นอีกหนึ่งช่วงแสนสาหัสของชีวิต หลังผ่าตัดแล้วมิอุต้องอยู่ในห้องไอซียูสักพักใหญ่ จะว่าไปแล้ว เป็นการฟื้นตัวในห้องไอซียูที่ยาวนานที่สุดของมิอุเลยก็ว่าได้

ห้องไอซียูของโรงพยาบาลเด็กที่มิอุเข้ารับการรักษาจะอนุญาตให้เฉพาะพ่อแม่และปู่ย่าตายายเข้าเยี่ยมได้เท่านั้น โดยจะจำกัดจำนวนไม่ให้เกินสามคนต่อหนึ่งครั้งของการเข้าเยี่ยม ปู่ย่าตายายยังถูกจำกัดว่าสามารถเข้าไปเยี่ยมได้เพียงสิบห้านาทีอีกด้วย

ถ้าจะถามว่า ช่วงไหนเป็นช่วงเวลาที่เหนื่อยที่สุดเวลามิอุผ่าตัดก็สามารถพูดได้เต็มปากว่า เป็นช่วงเวลาที่อยู่ในห้องไอซียูนี่แหละ การเหนื่อยกายนั้นไม่เท่าไหร่ แม้ว่าจะต้องนั่งอยู่บนเก้าอี้ไร้พนักเฝ้ามิอุตั้งแต่เช้าจรดเย็น แต่ความเหนื่อยใจนั้นรุนแรงยิ่งกว่า

หลังการผ่าตัด เป็นระยะเวลาที่เด็กจะอ่อนแอและต้องการความเอาใจจากพ่อแม่มากที่สุด หากใครมีลูก

คงเข้าใจความรู้สึกเมื่อลูกไม่สบายได้เป็นอย่างดี

๑๐ กว่าวันในห้องไอซียู ฉันต้องนั่งจับมือมิอุไว้ตลอด เธอร้องขอกุมมือฉันอยู่ทุกวินาที ด้วยความกลัวว่าแม่จะกลับบ้าน ทิ้งให้เธออยู่คนเดียว ในห้องสี่เหลี่ยมที่เต็มไปด้วยคนไม่คุ้นเคย และเสียงอุปกรณ์การแพทย์ที่ดังอยู่ล้อมรอบตัว

ร่างกายหลังผ่าตัดย่อมต้องการการพักผ่อน แต่สำหรับมิอุแล้ว ฉันรู้สึกได้ว่าเธอกลัวการผล็อยหลับอย่างที่สุด ฉันมักจะอาศัยช่วงที่เธอหลับเพื่อออกไปกินข้าวหรือทำธุระส่วนตัวจิปาถะ แต่หลายครั้งที่ฉันคิดว่าเธอหลับสนิทดีแล้ว วินาทีที่ฉันเลื่อนมือตัวเองออกจากมือน้อยๆ ของมิอุ มิอุจะลืมตาและร้องไห้ขึ้นมาทันที

ฉันคิดถึงสภาพตัวเอง เดินสะโหลสะเหลท่ามกลางอากาศหนาวเหน็บกลับที่พักที่ทางโรงพยาบาลจัดไว้ให้ สมองว่างเปล่าปราศจากความคิดอันใด มีแต่เสียงเรียกของจิตใจบอกกับตัวเองว่าต้องเข้มแข็ง เดี๋ยวมันจะผ่านไปได้เอง

๓.

ในการผ่าตัดครั้งที่สามนี้ ฉันพยายามจะเขียนสเตตัสในเฟซบุ๊กเพื่ออัพเดตผลการผ่าตัดของมิอุอยู่บ่อยๆ หัวใจเต็มไปด้วยความซาบซึ้งต่อความปรารถนาดี ความเอื้ออาทรของมิตรสหายรอบข้าง แต่ก็ดูเหมือนว่า มีบางอย่างยังขาดหายไป…

จนกระทั่ง ฉันได้รับข้อความจากเพื่อนสนิทคนหนึ่ง

เธอเขียนมาสั้นๆ บอกว่า “เหนื่อยหน่อยนะแก”

หลังจากอ่านข้อความนี้เสร็จ อยู่ๆ น้ำตาก็ไหลออกมา

ฉันนั่งนิ่งร้องไห้อยู่หน้าห้องไอซียู น้ำตาพรั่งพรูเหมือนน้ำที่ทะลักออกมาจากเขื่อนที่พังทลาย

ใช่แล้ว ฉันโหยหาคำพูดเหล่านี้มาตลอด

ในสังคมญี่ปุ่นที่คนมักจะพูดกันติดปากเสมอว่า “พยายามเข้านะ” ในอีกทางหนึ่ง มันได้ขีดวงจำกัดให้ทุกคนในสังคมนี้ต้องแสดงให้คนรอบข้างเห็นเสมอถึงความพยายามของตัวเอง แม้ว่าในความเป็นจริงเราจะเหนื่อยแสนทน ถึงขั้นที่ว่าอยากจะวิ่งหนีออกจากสถานการณ์นั้นก็ตามที

บางขณะ คำพูดที่เข้าใจความรู้สึกนึกคิดของเราก็เป็นสิ่งที่เราต้องการ พอๆ กับถ้อยคำให้กำลังใจที่เป็นพลังผลักดันพลังชีวิตของเราต่อไป

๔.

แต่เรื่องราวของข้อความสั้นๆ แต่สะเทือนไปถึงหัวใจของฉัน ไม่ได้จบอยู่แค่ ณ วันนั้น เจ็ดถึงแปดเดือนถัดมา ฉันได้รับรู้ถึงฉากหลังของข้อความนั้น

เพื่อนสาวคนนี้เป็นหนึ่งในเพื่อนสนิทที่สุด เพื่อนที่ฉันมักจะปรับทุกข์ด้วยอยู่เสมอ แม้ว่านิสัยพื้นฐานของเราสองคนจะต่างกันอยู่ แต่เป็นความต่าง ที่เธอสามารถรับความเวิ้นเว่อเพ้อเจ้อของฉันได้อย่างลงตัว

ฉันมารู้ภายหลังว่าก่อนหน้าที่มิอุจะเข้ารับการผ่าตัดนั้น เธอก็ได้ผ่านช่วงเวลาที่คล้ายๆ กับฉันมา เพราะแม่ของเธอต้องเข้ารับการผ่าตัดเหมือนกัน

มันเป็นการยากที่จะมาชั่งน้ำหนักว่าความแสนสาหัสระหว่างฉันกับเพื่อน ของใครมากมายกว่ากัน แต่ในขณะที่ฉันมักจะบ่น ระบายความทุกข์ให้เธอรับรู้อยู่บ่อยๆ เธอกลับไม่ระบายอะไรให้ฉันได้รับรู้เลย ที่สำคัญตัวฉันเองแทบจะไม่เคยถามเธอด้วยซ้ำ

ความรู้สึกผิดเล็กๆ ติดตัวฉันมาตลอดนับตั้งแต่ฉันได้รับรู้เรื่องทั้งหมด ฉันรู้ดีว่า เธอไม่ต้องการคำขอโทษอะไรจากฉัน ซ้ำอาจจะตำหนิฉันอยู่ในใจถึงความรู้สึกผิดที่เว่อร์เกินไปนี้ แต่ฉันก็ต้องขอบคุณเธอที่ได้เติมเต็มจิตใจฉันด้วยใจจริง

๕.

“ทุกคนมีสงครามชีวิตเป็นของตัวเอง” ประโยคนี้ผ่านตาจากในเฟซบุ๊ก หลายครั้งฉันใคร่ครวญถึงบทสรุปสุดท้ายของสงครามหรือบททดสอบชีวิตของฉัน ฉันจะผ่านมันไปได้หรือเปล่า หรือฉันจะถอดใจยอมแพ้เสียกลางสมรภูมิ แต่ก็รู้ว่ามันเปล่าประโยชน์ที่จะติดตัวเองกับความฟุ้งซ่านกับอนาคตที่ยังไม่เกิด

เพื่อนหลายคนมักบอกว่าฉันเป็นแม่ที่เข้มแข็ง เปล่าเลย ฉันไม่ได้เข้มแข็งขนาดนั้น สถานการณ์และเงื่อนไขของชีวิตต่างหากที่แผ้วถางทางให้ฉันได้รับคำยกยอเช่นนั้น

ที่จริงแล้วมันเป็นความรู้สึกที่ช่างซับซ้อนนัก ฉันปรารถนาให้ตัวเข้มแข็งมากกว่านี้ มากขึ้นไปเรื่อยๆ แต่ในขณะเดียวกัน ฉันก็เปิดรับความอ่อนแอของตัวเอง เพียงเพราะหวาดกลัวว่า การเฝ้าบอกให้ตัวเองเข้มแข็ง มันจะทำร้ายตัวฉันเองในที่สุด

เพราะต่อให้มนุษย์แข็งเแกร่งเพียงใด แต่เราก็ต้องการสิ่งเติมเต็มสำหรับจิตใจเสมอ คำปลอบใจเป็นหนึ่งในสิ่งเหล่านี้

เราต้องการคำปลอบใจーทั้งจากตัวเองและมิตรรอบข้างーในยามที่เราต้องหลบไปฟื้นฟูบาดแผลทางจิตใจ เพื่อจะกลับมาเผชิญกับบททดสอบที่เกิดขึ้นตรงหน้าเราอีกครั้ง

***

 

Don`t copy text!