ดินแดนแห่งอามาริเทสึ เทพีแห่งแสงอาทิตย์ และ หุบเขาทาคาชิโฮะ อุทยานแห่งทวยเทพ [Amano Iwato & Takachiho Gorge]

ดินแดนแห่งอามาริเทสึ เทพีแห่งแสงอาทิตย์ และ หุบเขาทาคาชิโฮะ อุทยานแห่งทวยเทพ [Amano Iwato & Takachiho Gorge]

โดย : พิมพ์อักษรา

Loading

คอลัมน์ที่บอกเล่าเรื่องราว อารมณ์ ความรู้สึก ประสบการณ์ และเกร็ดความรู้ประวัติศาสตร์บ้าง ไม่ประวัติศาสตร์บ้าง วิถีชีวิตของผู้คนในแต่ละเมือง แต่ละดินแดนที่ได้ประสบพบเจอ เสมือนให้ผู้อ่านได้ท่องเที่ยวดื่มด่ำไปด้วยกัน ผ่อนคลายจากวันที่เหนื่อยล้า เปิดโลก เปิดตา และเปิดใจ และที่สำคัญคือเพลิดเพลิน เหมือนชื่อของผู้เขียนนั่นเอง

มาเที่ยวญี่ปุ่นหน้าร้อน…ไม่ว่าใครได้ยินก็ทำหน้าสยดสยอง ราวกับฉันกำลังทำเรื่องที่เสียสติที่สุดที่คนหนึ่งจะทำได้ เนื่องจากเป็นที่ทราบกันดีว่าฤดูร้อนของญี่ปุ่นนั้นร้อนสาหัสสากรรจ์เพียงใด เป็นความร้อนที่ทั้งอบอ้าวและแผดเผา ร้อนจนสามารถเป็นฮีตสโตรกและเสียชีวิตได้ ร้อนทรมานกว่าอากาศร้อนในประเทศไทยเสียอีก

ฉันเองก็ไม่เคยชอบอากาศร้อน หรือแดดแผดเผาเลย แต่สุดท้ายก็มีเหตุที่ทั้งบังเอิญและตั้งใจให้ได้มาเที่ยวญี่ปุ่นในฤดูที่ใครต่อใครบอกว่าโหดร้ายทารุณ

ทริปเจ็ดวันในฟุกุโอกะกลางเดือนกรกฎาคมที่ขึ้นชื่อว่าร้อนที่สุดก็ได้ถือกำเนิดขึ้น!

ฟุกุโอกะเป็นจังหวัดที่ใหญ่ที่สุดแห่งเกาะคิวชู ซึ่งเป็น 1 ใน 4 เกาะหลักของประเทศญี่ปุ่น ตั้งอยู่ทางตะวันตก ฉันยังไม่เคยเที่ยวแถบคิวชู ก็เป็นโอกาสดีจะได้ลองเส้นทางใหม่ๆ บ้าง

ฉันกับพี่ตั้งใจให้เป็นทริปสบายๆ โปรแกรมหลวมๆ ไม่หนักมาก จะได้บรรเทาจากอากาศที่ไม่สู้จะเหมาะกับการเที่ยวเท่าไร โดยเราจะตั้งหลักอยู่ในฟุกุโอกะเป็นหลักตลอดเจ็ดวันจะได้ไม่ต้องเหนื่อยย้ายโรงแรม มีเดินเล่นในตัวเมือง สลับกับออกนอกเมืองไปชมเส้นทางหรือสถานที่ท่องเที่ยวธรรมชาติแบบไปเช้าเย็นกลับ ซึ่งสถานที่ท่องเที่ยวธรรมชาติเหล่านี้เองที่เป็นไฮไลต์สำคัญของทริปนี้

บอกตามตรงว่าตอนแรก ฉันถูกไอร้อนฉ่าสี่สิบสององศาของฟุกุโอกะข่มขวัญจนไม่รู้สึกตื่นเต้นกับไฮไลต์ที่ว่า ออกจะกลัวหน่อยๆ ด้วยซ้ำเพราะจะต้องเดินกลางแดดแผดจ้ากลางคลื่นความร้อนระอุแบบไร้ร่มเงากำบังในสถานที่ธรรมชาติที่อยู่กลางแจ้ง หลังจากที่ตรากตรำเดินเที่ยวในเมืองร้อนๆ มาสองสามวัน ฉันก็เริ่มงอแงไม่อยากไป ‘ทัศนศึกษา’ แต่พี่ก็ปลอบแกมขู่ว่าเราจองทัวร์กันไปแล้ว อย่างไรก็ต้องไป

เนื่องจากทริปนี้เราสองคนไม่เช่ารถขับ ก็เลยตัดสินใจกันว่าวันที่ต้องออกต่างจังหวัดไปที่ธรรมชาติ วิธีเดินทางที่สะดวกที่สุดคือการซื้อแพ็คเกจทัวร์แบบหนึ่งวันเป็นแบบไปเช้าเย็นกลับ ร่วมรถโดยสารกับนักท่องเที่ยวคนอื่น ข้อดีคือไม่ต้องเสียเวลาเดินทางขึ้นรถไฟ ต่อรถ หรือเดินไกลหาเส้นทางแต่ละจุด เพราะรถบัสของทัวร์จะแวะส่งเราถึงที่ทุกที่ อีกทั้งยังมีมัคคุเทศก์คอยอธิบายและอำนวยความสะดวกให้ด้วย

พวกเราจองแพ็คเกจทัวร์แบบหนึ่งวันไปจังหวัดมิยาซากิไว้แล้ว ก็เลยยึดตามนั้น ฉันก็ทำได้แต่ฮึดสู้ เตรียมอุปกรณ์ เครื่องแต่งกายให้พร้อม ทั้งหมวก แว่นตากันแดด เสื้อคลุมกันแดด น้ำ ยาดม พัดลมพกพาและข้าวปั้นสามเหลี่ยมเป็นเสบียง!

ครึ่งเช้าแรกเราไปน้ำตก ศาลเจ้า และสวนป่าอะไรต่อมิอะไรมากมายที่ร้อนจนฉันเริ่มงอแง จนล่วงเข้าบ่าย เราก็มาถึง ‘สถานที่ท่องเที่ยวธรรมชาติ’ อีกแห่งที่มีความเป็นศาลเจ้า สวนป่า น้ำตกและถ้ำ ชื่อ “ศาลเจ้าอามาโนะ อิวาโตะ” และ “ถ้ำอามาโนะ อิวาโตะ”

ทันทีที่เท้าผ่านประตูศาลเจ้าเข้าไป ก็ราวกับได้ก้าวล่วงสู่อีกโลกหนึ่งโดยสิ้นเชิง ภายในแวดล้อมด้วยต้นไม้สูงชะลูดเขียวขจี แผ่ร่มเงาปกคลุมคล้ายหลังคา ทุกแห่งหนเขียวชอุ่มหลายเฉดสี ตัดกับสีฟ้าสดของท้องฟ้าเบื้องบนที่มองเห็นรำไรผ่านรูเล็กรูน้อยของหลังคาใบไม้ และแม้อากาศจะยังมิคลายความอบอ้าว แต่ก็เริ่มสัมผัสถึงไอเย็นชื้นของสายน้ำได้บ้าง ตลอดทางเดินหินที่ผ่าน เริ่มได้ยินเสียงสายน้ำและน้ำตกชัดขึ้นเรื่อยๆ คราวนี้ฉันสังเกตว่ามีกองหินเรียงซ้อนกันเป็นชั้นๆ เรียงรายเลียบตลอดลำธาร เมื่อจับใจความจากมัคคุเทศก์ที่ไม่ค่อยจะยอมอธิบายภาษาอังกฤษเท่าไร ได้ความว่าเป็นการสักการะขอพรจากทวยเทพ และอีกนัยหนึ่ง เป็นการแสดงการชุมนุมของเหล่าเทพที่จะให้เทพีอามาเทราสึออกจากถ้ำ

ฉันผู้ไม่ทำการบ้านมาเลยว่าที่นี่คือที่ไหน มีประวัติความเป็นมาอย่างไร ได้ยินชื่ออามาเทราสึก็สะดุดหูเพราะเคยได้ยินมาก่อน ก็พอดีเรามาหยุดอยู่ ณ ปากถ้ำแห่งหนึ่ง มีกองหินเรียงซ้อนกันหนาแน่นกว่าทุกที่ คราวนี้ได้รับคำอธิบายเพิ่มเติมว่าถ้ำนี้ละ ที่เทพีอามาเทราสึเข้าไปหลบซ่อนตัวอยู่ ทำให้โลกมืดมิด จนเหล่าเทพเทวดาต้องมาชุมนุมกันหาวิธีต่างๆ ให้พระนางออกมาจากถ้ำสักที

ตามตำนานศาสนาชินโตของญี่ปุ่นนั้น เทพีอามาเทราสึ เป็นมหาเทพีผู้ยิ่งใหญ่แห่งสรวงสวรรค์และยังเป็นเทพีแห่งแสงอาทิตย์ ซึ่งแสงก็ถือเป็นจุดกำเนิดของสรรพสิ่ง ว่ากันว่าจักรพรรดิแห่งญี่ปุ่นได้สืบทอดเชื้อสายมาจากเทพีอามาเทราสึโดยตรง

ด้วยความอยากรู้อยากเห็น แต่มัคคุเทศก์ไม่ยอมอธิบาย ก็เลยไปหาอ่านเพิ่ม มีตำนานเกี่ยวกับเทพีองค์นี้หลากหลาย ตำนานหนึ่งเล่าว่าหลังจากที่โลกได้ถูกสร้างขึ้นและเกาะต่างๆ อันเป็นที่อยู่ของมนุษย์ชาวญี่ปุ่นได้ถูกเนรมิตขึ้นแล้วก็มีการแบ่งเขตการปกครองกัน โดยเทพีอามาเทราสึได้ปกครองด้วยอาทิตย์และสรวงสวรรค์ ส่วนเทพจันทราสึคุโยมิผู้เป็นพี่ชายได้ปกครองช่วงเวลายามค่ำคืน ในขณะที่เทพซูซาโนะ น้องชายได้ปกครองท้องทะเล

เทพีอามาเทราสึและเทพซูซาโนะชอบแก่งแย่งแข่งขันกัน ในศึกครั้งหนึ่งซูซาโนะเกิดแพ้และไม่ยอมรับผล แต่กลับอาละวาดทำลายดินแดนสวรรค์และดินแดนมนุษย์ รวมถึงทำลายนาข้าวของอามาเทราสึด้วย ซูซาโนะขว้างม้าตัวหนึ่งลงบนเครื่องทอผ้าของพระนางและฆ่าคนรับใช้ที่เธอรักคนหนึ่งด้วยความโกรธ เทพีอามาเทราสึรู้สึกเศร้าและคับแค้นใจเป็นอย่างมากแต่ไม่รู้จะทำอย่างไร จึงไปซ่อนตัวอยู่ในถ้ำหินแห่งหนึ่งในแดนสวรรค์ แต่การที่เทพีแห่งแสงอาทิตย์ไปซ่อนตัวในถ้ำ แสงอาทิตย์ที่เคยส่องมาบนโลกและสวรรค์จึงหายไป เมื่อขาดแสงอาทิตย์ทั้งเทวาและมนุษย์ก็เกิดความเดือดร้อนครั้งใหญ่ พืชผักนานาชนิดแข็งตาย โลกทั้งโลกตกอยู่ในความมืดมิดและความโกลาหล จนทวยเทพต้องช่วยกันวางแผนให้อามาเทราสึออกมาจากถ้ำให้จงได้

ในตอนแรกเหล่าเทพพากันจัดเลี้ยงใหญ่หน้าถ้ำ ทว่าพระนางไม่ยอมออกมา ทวยเทพจึงวางแผนกันใหม่ คราวนี้เทพีแห่งรุ่งอรุณ อาโมะโนะอุซุเมะ ได้มาเต้นระบำหน้าถ้ำจนเทพีอามาเทราสึสนใจและออกจากถ้ำได้ในที่สุด

แต่บางตำนานเล่าว่ามีผู้นำกระจกไปวางหน้าถ้ำด้วย เมื่อพระนางออกจากถ้ำเลยได้เห็นว่าตนสวยงามเพียงใด และจำเสียงหัวเราะแห่งความสุขที่สถิตบนโลกนี้ได้ ระลึกได้ว่าพระนางและทุกคนเป็นผู้เปล่งเสียงหัวเราะแห่งความสุขนั้นเอง  พระนางจึงกลับออกจากถ้ำ มาสู่โลกและสรวงสวรรค์ ลืมเลือนความโกรธและความท้อแท้ของตน และจึงร่วมการเต้นรำที่เทพีอาโมะโนะอุซุเมะริเริ่มขึ้น

ฉันว่าตำนานเรื่องนี้ดูมีพลังและมีความหมายที่ดี สะท้อนถึงความอ่อนโยนแบบสตรีของเทพีผู้เป็นต้นกำเนิดสรรพสิ่งด้วยลักษณะเหมือนมารดา ขณะเดียวกันก็มีความเข้มแข็งที่ซ่อนไว้ข้างใน

เทพีแสงอาทิตย์ ช่างพอดีพอเหมาะกับทริปหน้าร้อน… หรือเปล่านะ

ไม่ไกลจากถ้ำและศาลเจ้าอามาโนะ อิวาโตะ เราก็เดินทางมาถึงจุดที่เขาว่ากันว่าเป็นไฮไลต์และสถานที่ Unseen เพราะยังไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวรู้จักเท่าไร เพิ่งโปรโมตกันได้ไม่นานนี้ แต่เชื่อว่าต่อจากนี้คงไม่ใช่ที่ Unseen อีกแล้วละ นั่นก็คือ หุบเขาทาคาชิโฮะ (Takachiho Gorge)

ใช่ว่าลงรถแล้วเราจะถึงจุดไฮไลต์ที่ว่านั่นเลย ยังต้องเดินเข้าป่า ผ่านเส้นทางธรรมชาติไปอีกสักพักหนึ่ง ความเขียวชอุ่มรอบด้านหลอกตาว่าอากาศคงเย็นสบาย แต่กลับสวนทางกับความเป็นจริงที่เริ่มอบอ้าวขึ้นเรื่อยๆ เหงื่อไหลอาบทั่วทุกขุมขนจนเปียกโชกไปทั้งตัวราวกับกระโดดลงน้ำ กดปุ่มเร่งพัดลมห้อยคอเบอร์แรงสุดก็เอาไม่อยู่ ฉันรู้สึกเหมือนกำลังจะเป็นลมในอีกไม่กี่อึดใจนี้

แต่ก่อนที่จะเป็นลมลงไปจริงๆ พี่ก็สะกิดแล้วบอกด้วยเสียงตื่นเต้นแบบเบาๆ ว่า “ถึงแล้วๆ”

ภาพตรงหน้าทำให้ฉันนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ ธารน้ำสีฟ้าอมเขียวใสสะอาดไหลผ่านคั่นกลางสองช่องเขา ที่มีน้ำตกตกลงมาอย่างต่อเนื่อง ก่อเกิดคลื่นกระเพื่อมวงน้ำสีเทอร์ควอยซ์นั้น เงื้อมเขาทั้งสองด้านเป็นสีเข้มมีลักษณะเป็นชั้นๆ ซ้อนเหลื่อมกันดูแปลกตา

เหมือนเดินผ่านมรสุมแห้งแล้งกันดารแล้วลืมตาขึ้นมาพบสรวงสวรรค์อย่างไรอย่างนั้น

เข้าใจแล้วว่าทำไมถึงคะยั้นคะยอให้มาให้ได้ เข้าใจแล้วว่าทำไมถึงเรียกจุดไฮไลต์และ Unseen

ภูมิประเทศสวยงามแปลกตาของหุบเขาแห่งนี้เกิดจากภูเขาไฟอะโสะ (Mount Aso) ระเบิดแล้วกัดเซาะเป็นช่องหินรูปทรงต่างๆ สะสมกันมาหลายพันปี อีกทั้งยังมี แม่น้ำโกคาเซะ (Gokase) ไหลผ่านตรงกลาง ทำให้วิวตรงนี้ที่มองจากเรือเวลาล่องแม่น้ำ เราจะเห็นทั้งสองข้างเป็นหินสูงชันที่สวยงาม ส่วนน้ำตกที่เห็นพวยพุ่งออกจากเงื้อมผาเป็นน้ำที่ไหลมาจากบ่อน้ำพุธรรมชาติที่อามานิ จุดที่กล่าวกันว่าเป็นแหล่งน้ำแห่งแรกที่เทพเสด็จมาสู่โลกมนุษย์ ในตอนกลางคืน น้ำตกจะสว่างไสว เหมือนภาพวาดจำลองอุทยานในสรวงสวรรค์

คงต้องมีตำนานเทพเจ้าสร้างหุบเขาทาคาชิโฮะขึ้นมาแน่ๆ

ถึงฉันจะยังร้อนและไม่สบายตัวอยู่ แต่ภาพตรงหน้าก็ทำให้มีเรี่ยวแรงมากขึ้น ชะโงกมองเบื้องล่างเห็นมีคนพายเรือกันอยู่หลายกลุ่ม มองจากตรงนี้เป็นภาพที่สวยตรึงตราตรึงใจเอามากๆ แต่พอทราบว่าถ้าอยากล่องเรือบ้างจะต้องพายเอง ไม่มีบริการพายให้นักท่องเที่ยว ฉันก็เลิกสนใจทันที ไม่ไหวหรอก ร้อนขนาดนี้ เก็บภาพสวย ๆ นี้เป็นความทรงจำก็เพียงพอแล้ว

ก็อาจเป็นเหตุผลเพียงพอแล้วก็ได้ ที่ได้มาเยือนดินแดนแห่งเทพีแสงอาทิตย์ในฤดูที่แสงแดดแผดจ้าที่สุด และได้เห็นความงามที่เทพเจ้ารังสรรค์ผ่านหุบเขาทาคาชิโฮะอย่างชัดเจน แจ่มแจ้งในวันฟ้าใสที่สุดวันหนึ่งของฤดูร้อน

Don`t copy text!