ชมา 5 ชีวิต บทที่ 12 : จูบนั้นคืนสนอง

ชมา 5 ชีวิต บทที่ 12 : จูบนั้นคืนสนอง

โดย : คีตาญชลี แสงสังข์

Loading

ชมา 5 ชีวิต เรื่องราวของลูกแมวขาวดำทักซิโด้ที่ได้ไปเจอเจ้าของในชาติที่แล้วและชาติที่สอง รวมถึงชาติที่หนึ่ง แถมยังพบว่าแขกที่มาเที่ยวฟาร์มเสตย์ก็ดันเป็นเจ้าของตัวมันในชาติที่สาม! ชมารู้ทันที่ว่าเรื่องไม่ธรรมดากำลังจะเกิดขึ้น! พบกับนวนิยายเรื่อง ชมา 5 ชีวิต โดย คีตาญชลี แสงสังข์ ที่อ่านเอานำมาให้ทุกคนได้อ่านใน anowl.co

จู่ๆ เป้ก็เก็บกระเป๋าและคว้าตัวผมมาสวมสายรัดตัวแล้วยัดเข้ากรง เขาเข้าไปลาโอและโตบอกว่าจะไปดูแลพ่อสักสัปดาห์หนึ่ง โอทำท่าเห็นอกเห็นใจและอวยพรให้พ่อของเป้หายไวๆ

ผมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ก็ต้องประหลาดใจจนความอยากรู้อยากเห็นพุ่งพล่าน เพราะการออกจากโอโตซังฟาร์มสเตย์ครั้งนี้ มีฟ้าใสเก็บกระเป๋าตามออกไปด้วย

ผมเข้าไปดมกระเป๋าเธอ นี่ฟ้าใสจะไปที่ไหน เธอยังอยู่ที่นี่ไม่ครบ 5 สัปดาห์เลย เธอจะกลับบ้านของเธอแล้วหรือ

เมื่อเราเข้าไปนั่งในรถของฟาร์มโดยมีบุญรอเป็นผู้ขับ ผมเอาตีนหน้าวางบนตักฟ้าใส ส่งเสียงร้องถาม หวังว่าเธอจะพูดอะไรให้ผมได้รู้บ้าง อย่างเช่นการร่ำลาหรือไม่ก็เหตุผลที่เธอจะต้องไป

“อะไรชมา กลัวเหรอ ไม่ต้องกลัวนะจ๊ะ เราจะไปด้วยกัน”

ฮะ…ผมยิ่งงงเป็นไก่ตาแตก เรา…หมายถึง ผมกับเธอ หรือผมกับเธอกับเป้

คำตอบนั้นมาถึงในอีกหลายชั่วโมงต่อมา

บุญรอไปส่งพวกเราในโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง เบญจมินทร์รออยู่ที่บ้านพักแพทย์ พวกเขาให้ผมรอในบ้านแล้วหายกันออกไปพักใหญ่ ระหว่างตื่นที่และสำรวจไปทั่วพวกเขาก็กลับมาพร้อมผู้หญิงที่ผมเห็นในหน้าจอที่ฟ้าใสเปิดดูเป็นประจำ

ให้ตายเถอะ…ผมได้ยินฟ้าใสเรียกหล่อนว่าบอนนี่ เบญจมินทร์เรียกหล่อนว่าพี่ ส่วนเป้เรียกเขาว่าพ่อ

ผมรอให้คำพูดเหล่านั้นซึมซาบเข้าไปในหัว แล้วก็ต้องร้องเสียงดังขึ้นมาอีกครั้ง

บอนนี่…บอนนี่ก็คือบรรพตพ่อของเป้!

นั่นคือพ่อของเป้จริงๆ หรือ ผมเคยอยู่กับเขาหลังจากแปลงเพศแล้ว แต่ใบหน้าของเขา…

มันคนละคนกับผู้หญิงคนนี้นี่…

 

เราออกจากบ้านพักแพทย์ไปที่บ้านของเป้และพ่อของเขาซึ่งอยู่ในซอยวัดร่ำเปิงในชั่วโมงต่อมา

เมื่อสายตาปะทะกับบรรยากาศเดิมๆ ของชีวิตที่ 4 ภาพในหัวของผมก็ย้อนกลับ

ในชีวิตที่ 4 นั้น ผมเริ่มรู้จักเป้ตอนที่เขาเรียนอยู่ชั้น ม.5 ตอนนั้นเขาอาศัยอยู่ลำพังกับพ่อในแฟลต 2 ห้องนอนแถวสามเสน พวกเขาย้ายขึ้นเชียงใหม่เมื่อเป้สอบติดมหาวิทยาลัยที่นั่น และตัดสินใจซื้อบ้านหลังนี้จากเงินประกันชีวิตที่แม่ของเป้ทิ้งเอาไว้ให้

เวลาเดียวกันนั้นเบญจมินทร์เพิ่งกลับจากเมืองนอก เขาต้องกลับมาใช้ทุนที่เชียงใหม่ สามหนุ่มสายเลือดเดียวกันจึงใช้ชีวิตร่วมกันระยะหนึ่ง ซึ่งผมจำไม่ได้จริงๆ ว่านานเท่าไร อาจจะสองเดือน สามเดือน ครึ่งปี หรือมากกว่านั้น แล้วเบญจมินทร์ก็แต่งงาน

ระหว่างเรื่องราวของเบญจมินทร์และก้อย บรรพตพ่อของเป้ก็มีปัญหาใหญ่ที่ต้องขบคิดเป็นของตัวเอง

ในช่วงเวลาที่เป้ออกจากบ้านไปเรียนหนังสือ ในขณะที่ผมอยู่บ้านกับบรรพต ช่วงนั้นเขาเริ่มเอาเสื้อผ้าของภรรยาในกล่องจักสานออกมาคลี่ดู ผมเห็นเขาลองสวมแต่ตัวมันเล็กเกินไป บรรพตจมอยู่กับเสื้อผ้าพวกนั้น บางครั้งเขาก็คร่ำครวญ บางครั้งเขาก็โกรธที่เธอทอดทิ้งเขาเอาไว้กับลูก

เขาโกรธคนตาย ผมก็ไม่ค่อยเข้าใจเหมือนกันว่ามันน่าโกรธตรงไหน แต่สิ่งหนึ่งที่ผมรับรู้ได้คือเขาอ้างว้างอย่างแสนสาหัส

ในที่สุดพัสดุกล่องหนึ่งก็ถูกส่งมา ในนั้นมีเสื้อผ้าผู้หญิงขนาดใหญ่ เขาเริ่มมีความสุขที่ได้สัมผัส และในที่สุดก็สวมใส่มัน บรรพตแตกตื่นหลบซ่อนทุกครั้งที่เป้หรือเบญจมินทร์โผล่เข้ามาในบ้านอย่างไม่ทันตั้งตัว

บรรพตคิดว่าทุกคนไม่รู้ แต่ทั้งเป้และเบญจมินทร์เห็นความผิดปกติ เพียงแต่พวกเขาไม่พูดคุยกัน

ระหว่างชายทั้งสาม มีบางอย่างเหมือนกล่องแก้วใสๆ ครอบแต่ละคนอยู่ กว่าครอบแก้วนั้นจะแตกออกบรรพตก็ต้องเข้าโรงพยาบาลเพราะอาการเหนื่อยหอบ เวียนหัว หายใจไม่ทัน ซึ่งเกิดจากผลข้างเคียงจากยาที่เขาแอบซื้อและกินเข้าไป

วันหนึ่งในห้องครัวซึ่งบรรพตรักมาก หลังจากเขาเข้าไปนอนโรงพยาบาลได้สองวัน ผมก็ได้เห็นเบญจมินทร์คุยกับเป้เรื่องของบรรพตเป็นครั้งแรกในห้องห้องนั้น

ห้องครัวประกอบไปด้วยหน้าต่างบานใหญ่ มองเห็นต้นไม้ในสวนข้างบ้าน ผนังด้านหนึ่งเป็นพื้นที่ทำอาหารแนบเป็นแนวยาว กับโต๊ะยักษ์ทำจากไม้แผ่นเดียวขนาด 12 ที่นั่ง ปลายข้างหนึ่งเป็นที่กินอาหารของคนบ้านนี้ ส่วนปลายอีกด้านวางอาหารแห้ง พวกของกินเล่น ของกระจุกกระจิกที่ใช้ในครัว รวมถึงกล่องใส่อาหารเม็ดของผม

ผมรู้ว่าทุกคนรักห้องครัว รวมถึงโต๊ะตัวนี้ด้วย

ความร้อนจากเตาอุ่นๆ กลิ่นอาหารตลบอบอวล และอวยไอบางอย่างของความเป็น ‘บ้าน’ มันดึงดูดผม รวมถึงทุกคน ให้วนเวียนไปไม่ไกลจากห้องห้องนี้

วันนั้นผมเห็นเบญจมินทร์ยืนที่ขอบประตู แอบมองเป้ซึ่งนั่งเหม่ออยู่บนโต๊ะอาหาร ก่อนจะตัดสินใจเด็ดขาดก้าวออกไปหาหลานตัวเอง

เขารินน้ำ เมื่อดื่มจนหมดแก้วแล้วเขาก็หันมาหาเป้ ซึ่งนั่งคอตกกุมแก้วน้ำในมืออยู่

“อาตรวจร่างกายของพี่บันแล้ว” เบญจมินทร์ว่า เป้เงยหน้ามอง

“มีการสะสมไขมันที่เต้านม แขน ขา ผิวพรรณของพี่บันก็อ่อนนุ่ม” เขามองหน้าเป้เหมือนอยากจะให้หลานชายถาม แต่เป้เงียบ เบญจมินทร์จึงเป็นฝ่ายพูดต่อ

“อาพบนี่…ในห้องนอนพี่บัน” เขายื่นถุงยาถุงหนึ่งให้เป้ “แอนโดรคัวร์ กินเพื่อกดฮอร์โมนเพศชาย ส่วนถุงนี้” เขายื่นให้อีกถุงหนึ่ง “เอสโตรเจน เป็นฮอร์โมนเพศหญิง แต่ถึงไม่พบยาพวกนี้หมอก็รู้อยู่ดีว่าพี่บันกำลังกินอะไรอยู่ อาการมันฟ้อง” เบญจมินทร์เม้มปาก ก่อนพูดเสียงเบาจนคำหลังหายเข้าไปในลำคอ

“…แต่อาก็ไม่อยากจะคิดไปเอง จนค้นห้องเจอพวกนี้นี่แหละ”

ในห้องอาหารเงียบงัน ระหว่างที่รอให้คำพูดเหล่านั้นซึมซับเข้าไปในสมองของเป้ เบญจมินทร์ก็เลื่อนเก้าอี้นั่งลงข้างหลานชาย เสียงหายใจหนักๆ ดังขึ้น แต่ผมไม่แน่ใจว่าเป็นของฝ่ายไหน

“ลิ่มเลือดอุดขั้วปอดเกิดจากยาพวกนี้หรือครับ” ในที่สุดเป้ก็เป็นฝ่ายเริ่มต้นถาม

“ใช่” เบญจมินทร์พยักหน้า “เอสโตรเจนปริมาณมากทำให้เกิดลิ่มเลือด ส่วนใหญ่พบในผู้หญิงตั้งครรภ์ ส่วนผู้ชายไม่ค่อยเกิดนอกจาก…” เบญจมินทร์ขยับถุงยาในมือ “ดีที่ผ่าตัดทัน”

ถ้าความเงียบมีร่างกายน่าขยะแขยงเหมือนงู ตอนนี้มันคงรัดรึงพวกเขาอยู่ รวมถึงปลายหางของมัน คงกระหวัดรัดรอบผม

ผมรู้สึกเครียดจนถึงกับยกตีนขึ้นเลียแล้วล้างหน้า อยากจะให้ใครพูดอะไรขึ้นมาสักคำ เพื่อขับไล่ความเงียบเหมือนงูน่ารังเกียจนั้นออกไปจากห้อง

พักใหญ่ๆ เป้ก็พูดโดยไม่เงยหน้าว่า เขาเคยเห็นบรรพตใส่ชุดผู้หญิง และรู้ว่าบรรพตสร้างเฟซบุ๊กเอาไว้ติดต่อกับคนที่ไม่รู้จักด้วยชื่ออื่นมาพักใหญ่ๆ แล้ว

“ผมแค่ไม่อยากรับรู้ ผม…” เป้พูดแล้วหัวเราะขื่น เบญจมินทร์พยักหน้า

“อาก็ดูออกมาพักหนึ่งแล้วเหมือนกัน ร่างกายของพี่บันมันฟ้อง”

ความเงียบกระโจนเข้ามาอีกครั้ง คราวนี้เนิ่นนานจนน่าอึดอัด ผมร้องอย่างทนไม่ไหว เป้เข้าใจว่าผมหิว เขาจึงเดินไปตักอาหารใส่ถ้วยให้ผมช้อนหนึ่ง การเคลื่อนไหวของเขาทำให้งูตัวนั้นเลื้อยออกไป เป้ถามเบญจมินทร์ว่า บรรพตเอาของพวกนี้มาจากไหน มันมีขายตามร้านขายยาอย่างนั้นหรือ

“ยากดฮอร์โมนเพศชายมีขายในตลาดมืด มันเป็นของที่แอบนำเข้ามาจากตะวันออกกลาง พวกเขาก็บอกต่อๆ กัน หาไม่ยากหรอก ส่วนเอสโตรเจนถึงจะไม่ได้ซื้อจากตลาดมืด มันก็มีอยู่ในยาคุมกำเนิด หาซื้อได้ตามร้านขายยาได้ง่ายๆ เหมือนกัน”

“กินยาคุมที่ผู้หญิงกินน่ะหรือครับ”

“ใช่”

“แล้วมันอันตรายไหมครับ”

“อันตราย” เบญจมินทร์สบตากับเป้ “อารู้มาว่าพวกเขามักจะกินกันเช้าหนึ่งเม็ดเย็นหนึ่งเม็ด เป็นสองเท่าของผู้หญิงที่ใช้ยาคุมปกติ เพื่อให้มีลักษณะของผู้หญิงอย่างหน้าอก ผิวพรรณ โครงหน้ากลมมนได้เร็วขึ้น

เวลากินยาพวกนี้เข้าไปพวกเขามักจะเวียนหัว โดยมากก็จะคิดกันว่ามันคืออาการแพ้ยา แต่จริงๆ มันเป็นผลกระทบจากยาที่พวกเขากินเข้าไป ไม่ใช่อาการแพ้

“มันเกิดผลอะไรหรือครับ”

“เอสโตรเจนทำให้เกิดลิ่มเลือด อาการปวดหัว วิงเวียนศีรษะ เกิดขึ้นเพราะลิ่มเลือดทำให้การไหลเวียนโลหิตไม่สะดวก ถ้าโชคร้ายมันก็อาจจะกระเด็นไปอุดตันปอด ทำให้เสียชีวิตได้ง่ายๆ”

เป้พยักหน้ารับ แล้วก็ต้องเบิ่งตากว้างขึ้นเมื่อเบญจมินทร์เอ่ยถึงชื่อ “เปเปอร์โรเซ่”

“คืออะไรหรือครับ”

“พวกเขามาเยี่ยมพี่บันตอนที่เป้ไม่อยู่”

เป้ทำหน้างง แต่ผมไม่งงเพราะเคยเห็นพวกเขาเข้ามาที่บ้านหลังนี้หลายครั้งแล้ว

เป้ไม่เคยรู้ว่าระหว่างที่เขาไปเรียนและมักจะนอนค้างในหอพักมหาวิทยาลัยสัปดาห์ละหลายวัน พ่อของเขามีเพื่อนใหม่ พวกนั้นเป็นกลุ่มผู้หญิงตัวใหญ่ เสียงแหบ สวยแบบหมอประทาน นานๆ ครั้งพวกเขาจะมารวมตัวกันที่บ้านหลังนี้ แต่บ่อยครั้งที่พวกเขาจะรับบรรพตออกไป

ในวันที่มีปาร์ตี้บรรพตจะแต่งตัวสวย แต่งหน้าจัด ใช้โทนเสียงสูงและหัวเราะดังเหมือนอย่างคนที่ไม่เคยมีความสุขเท่านี้มาก่อน

พวกเขาส่วนใหญ่อายุเท่าๆ กันคือไม่ต่ำกว่าสี่สิบ มีเพียงคนเดียวที่อายุน้อยกว่าเพื่อน ผมจำชื่อเขาไม่ได้เสียแล้ว แต่ที่จำได้แม่นเพราะนอกจากเขาจะอายุไม่มาก เขายังเป็นคนเดียวที่แต่งตัวอย่างผู้ชาย และยังคงมีกิริยาอย่างผู้ชาย

ในวันที่เป้ไม่อยู่ พวกเขาจะจัดปาร์ตี้มืดๆ เปิดไฟไม่กี่ดวง บางครั้งก็สร้างบรรยากาศด้วยแสงเทียนและโคมไฟหมุนได้ สีสันต่างๆ

เมื่อดื่มกินจนเมามายแล้ว พวกเขามักจะนอนรวมกันในห้องนั่งเล่น ซึ่งมีโซฟาตัวใหญ่ พรมผืนหนา และหมอนใบโต เพื่อที่จะหัวเราะ ร้องไห้ และเล่าความหลังของตัวเอง

ผมชอบเวลาอย่างนี้ นอกจากจะสงบจากเสียงเพลงอึกทึกแล้ว เรื่องเล่าของพวกเขาก็หวือหวายิ่งกว่าละครในโทรทัศน์ ส่วนเรื่องที่เรียบง่ายอย่างไม่น่าเชื่อกลับเป็นเรื่องของบรรพตเอง

เขาเล่าว่า ตัวเขาและภรรยาเป็นเพื่อนเล่นด้วยกันมาตั้งแต่ยังเด็ก บรรพตไม่เคยถามว่าตัวเองชอบผู้ชายหรือชอบผู้หญิง เขารู้แค่เพียงว่าตอนเป็นนักเรียนก็ต้องเรียน เรียนจบมาก็ต้องหางานทำ เมื่อมั่นคงแล้วก็ต้องแต่งงาน และภรรยาของเขาคือคนที่เขาอยู่ด้วยแล้วอบอุ่นใจที่สุด

ใช่…เขาให้นิยามว่าการอยู่กับแม่ของเป้คือความอบอุ่นใจ บรรพตบอกว่ามันมากกว่าสบายใจ เพราะเธอเป็นทุกอย่าง ไม่ว่าจะเพื่อน แฟน คู่คิด รวมไปถึงการเป็นเหมือนพี่สาวในบางครั้งที่เขาเอาแต่ใจและทำตัวเหมือนเด็ก

เมื่อเธอตายจากไป เขาก็รู้สึกเหมือนโลกถล่มใส่ เขาทนเลี้ยงดูลูกชายคนเดียวมาหลายปีเพราะรู้สึกว่า ภรรยาของเขายังอยู่เคียงข้างเขาและลูกเสมอ ระหว่างระยะทางอันยาวไกลนั้น พ่อแม่เพื่อนฝูงแนะนำผู้หญิงคนแล้วคนเล่าให้เขา แต่เขากับไม่รู้สึกอยากสร้างสัมพันธ์ใหม่ๆ กับใครเลย จนกระทั่งวันหนึ่ง….

เป้ลูกชายของเขาเอาชุดภรรยามาใส่ในการแสดงรับน้อง เขาเห็นแล้วรู้สึกว้าวุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก

เมื่ออยู่ในห้องนอนคนเดียว เขาเอาชุดนั้นมาลองสวมบ้าง แต่เขาใส่ไม่ได้เพราะอ้วนเกินไป

บรรพตไม่รู้ว่าตัวเองคิดอะไรอยู่ เขาพยายามยัดร่างหนาของตัวเองลงในชุดภรรยาจนมันขาด หลายเดือนต่อมาเขาลดน้ำหนักลงมาได้ถึงสิบกิโล แต่ก็ยังผอมไม่พอที่จะใส่ เขาจึงลองสั่งซื้อชุดทางทีวีช็อปปิงเพราะในตอนนั้นยังไม่ใช่ยุคของการค้าออนไลน์ แล้วเมื่อได้แต่งหน้าและสวมมัน เขาก็รู้สึกสุขสมราวกับได้ภรรยาของตัวเองกลับคืนมา

“อีดอก…มึงอยากเป็นผู้หญิง” มีคนตะโกนใส่บรรพตแบบนั้น แต่ผมสาบานได้ว่าไม่ใช่คำด่า มันเป็นคำปกติที่พวกเขามักพูดใส่กัน

“ไม่รู้สิ กูก็ไม่ทุกข์ร้อนที่ต้องนอนกับปริมจนมีลูกด้วยกันนะ”

“ตอนนอนมึงจินตนาการว่ามึงเป็นเมียตัวเองหรือเปล่าล่ะ” เสียงเดิมถาม หัวเราะร่วน “ตอนนี้มึงกล้านอนกับผู้หญิงคนอื่นอีกไหมล่ะ”

“ตอนนี้ไม่รู้ แต่ตอนนั้นกูมีความสุขดี”

“แล้วตอนนี้มึงอยากกอดผู้ชายไหม”

เมื่อคิดถึงตรงนี้ ผมก็รู้สึกว่าภาพและเสียงของคืนนั้นชัดเจนขึ้นราวกับมันลอยอยู่ตรงหน้า

ภาพปะติดลำดับต่อไป คือชายเพียงคนเดียวในกลุ่มของพวกเขาถูกผลักเข้ามา

ชายหนุ่มคนนั้นผมสั้น ขนตางอนยาว ริมฝีปากหนาของเขาให้ความรู้สึกบางอย่างที่น่าขนลุก มันเข้ากับดวงตาที่เหมือนจะสามารถสูบกินคนที่เขาจ้องมองลงไปได้

ชายผู้นั้นไม่ได้แต่งหน้า เรือนกายหนั่นแน่นอย่างที่เรียกกันว่าก้ามปูดูเป็นผู้ชายมากๆ และดูเหมือนเขาจะภูมิใจในข้อนั้นมากๆ เช่นกัน

ผมได้ยินเพื่อนๆ ในห้องนั้นตะโกนอย่างสนุกสนานว่า “กอดเลยๆๆๆ” เป็นจังหวะพร้อมการตบมือ

ด้วยบรรยากาศสนุกสนาน แสงสีส้มของเปลวเทียนวอมแวว นอกจากสร้างความรู้สึกหวิวไหวแล้วก็ทำให้บรรดาสาวร่างยักษ์เล่านั้นดูสวยและเด็กลงมาอีกหลายปี

ชายคนนั้นยิ้มกว้าง ก่อนจะโผไปกอดบรรพตตามคำยุยงที่โหวกเหวกอยู่ บรรพตกอดตอบ ผมได้ยินเสียงผิวเนื้อท่อนแขนของเขาเสียดสีกับชุดผ้าไหมที่บรรพตสวม ให้ความรู้สึกระคายหูและจั๊กจี้อย่างประหลาด

ไม่กี่วินาทีต่อมาทั้งคู่ก็ถอนร่างออกจากอกที่ล่ำพอๆ กัน บรรพตผายมือบอกทุกคนว่า ไม่เห็นจะเป็นอะไร เพื่อนกันทั้งนั้น

ชายผมสั้นยิ้มมุมปาก โน้มตัวไปกระซิบ “มันไม่พอหรอก พี่ต้องลองแบบนี้”

รวดเร็วอย่างสายฟ้าฟาด สิ้นคำนั้น ชายคนนั้นก็โน้มคอบรรพตไปประทับจูบ พวกเขาใช้ปากบดกันไม่เกินสามวินาทีท่ามกลางเสียงกรีดหวีดลั่นของบรรดาเพื่อนๆ

เมื่อเขาปล่อยคอบรรพต ชายกล้ามปูก็ถามว่า

“แบบนี้ล่ะ ดีไหม”

“ก็แค่จูบ” บรรพตตอบเสียงสั่น

“เหรอ” เขาว่าแค่นั้นก็โน้มตัวไปประกบปากกับพรรพตอีกรอบ คราวนี้ทั้งนานและดูดดื่ม บรรพตจิกไหล่ชายผู้นั้นแล้วพลักออก ชายก้ามปูถอนหน้าออกมาโดยดีแล้วบอกว่า

“พี่ก็เคยเป็นผู้ชาย ไม่รู้หรือไงว่าอย่าท้าผู้ชาย หึ…”

บรรพตอ้าปากค้าง ส่วนผมนั้นโดนเพื่อนสาวคนหนึ่งของบรรพตคว้าไปกอด เขาเอาหน้าตัวเองไถหน้าผมแล้วพูดด้วยน้ำเสียงชวนฝันว่า

“ฉันจิ้นอ่ะ พวกมึ้ง…ฉันจิ้นอะ อีบอนนี่หน้าแดงแล้ว”

คืนนั้นคงจะเป็นจุดเริ่มต้นของอะไรหลายอย่าง จนถึงเรื่องยาเถื่อนและหลิ่มเลือดอุดตันของบรรพตในวันเก่าๆ เหล่านั้นด้วย

หลังจากบรรพตออกจากโรงพยาบาลหลังการผ่าตัดโรคลิ่มเลือดอุดตันขั้วปอด ก็เข้าสู่ช่วงเวลาของความเปลี่ยนแปลง ความสับสน การปรับตัว ซึ่งเกิดขึ้นอย่างลับๆ ที่ว่าลับๆ เพราะผมยังไม่เคยเห็นชายบ้านนี้เปิดอกพูดคุยกันสักครั้ง

นึกย้อนไปแล้วพวกเขาก็มีบางอย่างเหมือนแมวอยู่กัน คือไม่ค่อยรวมฝูงและไม่ชอบยุ่งกับเรื่องของคนอื่น

เป้กลับมานอนบ้านแทบทุกวัน นานๆ ครั้งจึงจะกลับไปนอนที่มหาวิทยาลัย พวกเปเปอร์โรเซ่แสดงตัวต่อหน้าเป้มากขึ้น แต่บรรพตยังไม่ยอมใส่ชุดกระโปรงต่อหน้าลูก

แล้วบรรพตเปลี่ยนเป็นบอนนี่อย่างเต็มรูปแบบเมื่อไรน่ะหรือ ผมเองก็ไม่เคยรู้

อันที่จริงจังหวะเวลาที่ผมอยู่กับเป้มาตลอดนั้น ผมก็ไม่เคยรู้ด้วยซ้ำว่าเขาเป็นเพื่อนร่วมเรียนมากับฟ้าใส ผมอาจจะเคยรู้ว่าบรรพตมีอีกชื่อว่าบอนนี่ แต่ในชีวิตที่ 5 ผมก็จดจำรายละเอียดเล่านี้ไม่ได้เสียแล้ว

สิ่งเดียวที่ผมจำได้เกี่ยวกับบรรพตพ่อของเป้ คือหลังจากเขาตัดสินใจแปลงเพศเป้ก็เรียนจบ ผมย้ายที่อยู่ไปพร้อมกับเป้ และต้องจากชีวิตที่ 4 ไปด้วยเรื่องโง่ๆ ซึ่งตอนนี้ผมยังไม่พร้อมที่จะพูดถึง

 

 



Don`t copy text!