ชมา 5 ชีวิต บทที่ 7 : โรคภัย

ชมา 5 ชีวิต บทที่ 7 : โรคภัย

โดย : คีตาญชลี แสงสังข์

Loading

ชมา 5 ชีวิต เรื่องราวของลูกแมวขาวดำทักซิโด้ที่ได้ไปเจอเจ้าของในชาติที่แล้วและชาติที่สอง รวมถึงชาติที่หนึ่ง แถมยังพบว่าแขกที่มาเที่ยวฟาร์มเสตย์ก็ดันเป็นเจ้าของตัวมันในชาติที่สาม! ชมารู้ทันที่ว่าเรื่องไม่ธรรมดากำลังจะเกิดขึ้น! พบกับนวนิยายเรื่อง ชมา 5 ชีวิต โดย คีตาญชลี แสงสังข์ ที่อ่านเอานำมาให้ทุกคนได้อ่านใน anowl.co

– 1 –

“มินิสโตรก”

ผมได้ยินโตบอกกับคนงานที่มารอฟังข่าวแบบนั้น

ผมมองตามร่างสูงของโต เขายังยิ้มได้แต่หลังค้อมลงเหมือนคนแก่

เมื่อโตเดินกลับบ้านพักของตัวเองไปแล้ว พวกคนงานก็กรูมาหาเป้และฟ้าใส เป้อธิบายให้ฟังว่ามันคือภาวะสมองขาดเลือดชั่วคราว อาการคล้ายคลึงกับโรคหลอดเลือดสมอง แต่มินิสโตรกจะมีความรุนแรงน้อยกว่า

พอพูดถึงตรงนี้เหล่าคนงานก็ถอนหายใจโล่ง

“ไม่เป็นอัมพฤกษ์อัมพาต ใช่ไหมคะ” อ้อยแม่ของต้นกล้าถาม หล่อนเป็นหญิงร่างใหญ่ ท่าทางเอาเรื่อง ไม่เหมือนสามีที่ดูใจเย็นและนิ่งกว่า

“ไม่ครับ” เป้ส่ายหน้า “อาโอฟื้นแล้ว ร่างกายปกติเพียงแต่…” เขาเว้นช่วง คนงานลุ้นจนต้องกลั้นหายใจ เป้อึกอักก่อนจะยอมบอกแค่ว่า “แต่…ตอนนี้อาโอยัง…ยังมึนๆ อยู่”

“ความจำเสื่อมหรือคุณ” อ้อยโพล่งขึ้น ทำคนงานคนอื่นแตกตื่น เป้รีบอธิบาย

“ไม่ขนาดนั้น แต่หมอบอกว่าโดยส่วนใหญ่แล้วจะหายได้เองอาจจะภายในยี่สิบสี่ชั่วโมง”

“แปลว่าตอนนี้ก็หายแล้ว” อ้อยสรุป เพราะนับจากวันที่โอล้มจนมาถึงวันนี้ ก็เป็นวันที่สามแล้ว แต่เรื่องมันคงไม่ง่ายแบบนั้น

เป้ใช้วิธีพูดปัดๆ ไปว่าโอกินข้าวได้ปกติ ไม่เป็นอะไรมาก ตอนนี้รอเวลากลับบ้านเท่านั้น อีกอย่างหมอเบญจมินทร์อาของเขาก็อยู่โรงพยาบาลนั้นและรับปากว่าจะดูแลอย่างดี เขาบอกให้ทุกคนไม่ต้องเป็นห่วง

ผมเป็นแมวยังรู้เลยว่ามันยังมีบางอย่างที่เป้พูดออกมาไม่หมด

คำตอบที่ไม่กระจ่าง และพวกคนงานก็ไม่ได้โง่ ส่วนใหญ่แก่กว่าเป้ มีประสบการณ์ชีวิตมากกกว่าเป้ ดังนั้นพวกเขาจึงยอมถอยกลับไป แต่ไม่ได้เชื่อ เพียงแต่สงบปากสงบคำเพราะไม่อยากจะเซ้าซี้จนกว่าโตหรือเป้จะยอมเล่าเรื่องนี้ขึ้นมาเอง

“น้าบุญรอ” เป้เอ่ยเรียกชื่อบุญรอที่ยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิม

“ครับ”

“ช่วงนี้อาโตคงจะต้องเข้าเมืองทุกวัน เหลือเราสองคน น้ามีอะไรจะใช้ผมบอกกันได้เลยนะครับ”

“ครับ…คุณไปพักผ่อนเถอะ” บุญรอบอกแล้วร้อง ‘อ้อ’ เหมือนนึกอะไรได้ “พรุ่งนี้คุณเตรียมคำตอบไว้ด้วยนะครับ ดูพวกนั้นไม่เชื่อที่คุณพูดนักหรอก คงจะหาทางซักไซ้ โดยเฉพาะนังอ้อยเมียผม”

เป้จ้องหน้าบุญรอ ถอนหายใจยาวแล้วพูดเสียงต่ำ

“อาโอจำได้หมดทุกคน แต่…คือ…หมอบอกว่าอาโอสับสน อาจจะยังจำอะไรได้ไม่หมด”

“แล้วจะหายไหมครับ”

“หายสิ หมอเขาบอกว่ายังไงก็ต้องหาย”

“แล้วทำไมพวกคุณถึงดูกังวลแบบนี้ล่ะครับ”

เป้ยิ้มเหนื่อย เหลือบสบตาฟ้าใส ผมเห็นฟ้าใสกัดริมฝีปากแน่น หลบตาเป้เหมือนคนหนีความผิด

“อาโอเป็นคนสำคัญของที่นี่…แรงงานคนสำคัญ” เป้พูดติดตลก “ไม่มีอาโอ อาโตก็ต้องเหนื่อยทั้งงานสวนผัก ทั้งงานรับแขก แต่ถ้าพวกเราช่วยๆ กัน อาโตคงจะคลายกังวล เดี๋ยวอะไรๆ ก็คงดีขึ้นเอง”

“ครับ” คราวนี้บุญรอเชื่อ เขายิ้มรับคำตอบที่น่าพอใจนั้นแล้วยอมหันหลังเดินกลับที่พักคนงาน

แต่ผมไม่เชื่อ บางอย่างมันไม่สอดคล้องกัน

คนมองโลกในแง่ดีอย่างโต ไม่เคยเหนื่อยหรือท้อง่ายๆ ถึงผมจะอยู่ที่นี่ได้เพียงไม่กี่เดือน แต่ก่อนหน้านี้ผมอยู่กับเด็กชายโตมาหลายปี โตเมื่อวัยเด็กเป็นอย่างไร โตในวัยต้นห้าสิบก็ยังคงเป็นอย่างนั้น เปรียบไปแล้วเขาเหมือนโคมไฟพลังงานแสงอาทิตย์ ตราบใดที่อาทิตย์ไม่สิ้นแสง โตก็จะยังคงส่องสว่างอยู่เสมอ และเขาจะส่องแสงไปจนกว่าจะหมดอายุการใช้งานและสูญสลายไปตามอายุขัยเอง

ที่ผมกล้าพูดได้อย่างนี้ เพราะในบรรดาเจ้าของผม โตเหมือนแมวมากที่สุด

พวกแมวอย่างเรารักสบาย ใช้เวลากับการนอนกลางวันมากกว่าการทำอย่างอื่น เราไม่ตะเกียกตะกายหาความรักเหมือนพวกหมา แต่รู้ว่าที่ไหนปลอดภัย และคนไหนที่รักเรา

ในขณะที่ดูเหมือนเราจะเอาแต่นอน แต่พวกเราก็เป็นนักล่าที่เชี่ยวชาญ ไม่ยอมแพ้ เพียงแต่เราฉลาดพอที่จะใช้พลังงานและความมุ่งมั่นในเวลาที่ต้องใช้จริงๆ พวกหมาอาจจะชอบส่ายก้น วิ่งวนรอบเจ้าของจนหอบแฮกๆ เพียงเพราะจะแสดงความดีใจออกมาเท่านั้น แต่เราแสดงความรักด้วยการจ้องและกะพริบตาช้าๆ เพื่อเอาพลังงานที่เหลือไปจับหนูในตอนกลางคืน

อย่างไรก็ตามเราจับหนูเพื่อตัวเรา ไม่ได้จับหนูเพื่อเจ้าของ แต่เราก็รู้ว่าพวกเขาจะพอใจและได้ประโยชน์ในการกระทำของเราด้วย

โตก็เหมือนแมว เขาทำทุกอย่างที่อยากทำ ไม่ได้คิดซับซ้อนว่าจะต้องทำเพื่อใคร หรือเพื่อสิ่งใด เขากินก็เพราะอร่อย ไม่ได้กินสิ่งนั้นสิ่งนี้เพราะอยากอวดประชากรในโลกโซเชียล เขาทำฟาร์มสเตย์ก็เพราะอยากจะทำ เขาสนุกที่จะทำ ไม่ใช่เพราะขยัน อดทน หรือฉลาดที่พลิกวิกฤติเป็นโอกาส เหมือนกับที่ใครต่อใครพากันยกย่อง

เมื่อไม่มีหน้าที่และความรับผิดชอบหรือหัวโขนให้ต้องแบก โตจึงจะไม่มีวันท้อแม้โอจะไม่สามารถช่วยงานอะไรเขาได้ถ้าเขายังสนุกกับมันอยู่ ดังนั้นความเศร้าซึมของโตจะต้องมีบางอย่างที่ซับซ้อนกว่า ลึกซึ้งกว่าการที่โอจะยังไม่สามารถกลับมารับผิดชอบงานในส่วนของที่พักได้

ผมคิดแล้วก็กระโดดผลุงลงจากโต๊ะ วิ่งเหยาะๆ ไปตามทางเดินปูอิฐ ไฟในห้องโตสว่าง ผมเดินไปที่หน้าต่างบานยาว มองเข้าไปเห็นเขานั่งเหม่ออยู่มุมเตียง ผมส่งเสียงร้องเหมียวๆ เขาหันมาแล้วเปิดประตูรับ

“ว่าไงชมา” เขาถาม ยิ้มใจดี

ผมแทรกตัวเข้าไปในห้อง วันนี้ผมตัดสินใจจะนอนกับโต

ผมเป็นนักปลอบใจที่มีประสิทธิภาพนะไม่อยากจะคุย หลังของผมเคยเปื้อนน้ำตาของเป้ ขนข้างตัวเคยเปื้อนน้ำตาของฟ้าใส คืนนี้ผมคาดว่าคงไม่ถึงขนาดเป็นผ้าซับน้ำตาให้โต แต่เขาคงอยากได้อะไรนุ่มนิ่ม เอาไว้ปลอบใจตัวเองบ้างละน่า

 

– 2 –

มนุษย์เป็นสัตว์สังคม ความลับเหมือนของแสลง พวกเขาอาจจะตายได้ถ้าจะต้องเก็บมันเอาไว้กับตัว ดังนั้นเพียงเวลาไม่นานผมจึงรู้เรื่องราวทั้งหมดจากการฟังเป้คุยกับฟ้าใส และการที่ฟ้าใสเล่าอย่างหมดเปลือกให้หลินฟัง

หลินดูเป็นคนที่เก็บความลับไม่อยู่ แต่หลินเป็นผู้อยู่วงนอกและเป็นเพื่อนสนิทที่ฟ้าใสมีอยู่ ฟ้าใสจึงตัดสินใจถ่ายทอดทุกอย่างให้หลิน อย่างที่เธอใช้คำว่า ‘ระบาย’

หลินปลอบใจฟ้าใส บอกเธอว่าอย่าคิดอะไรเกินกว่าเหตุ บางทีโออาจจะหายและทุกอย่างก็จะกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง

“แต่หมอเบญหล่อมากเลยนะ” ฟ้าใสยกมือลูบหน้า สูดหายใจลึกยาว

“แก…อย่าเพิ่งคิดไปไกล คุณโตเขาก็ไม่ได้ขี้เหร่ซะหน่อย” หลินมองอีกมุม

“มันไม่เหมือนกัน แกไม่มาเห็นเอง หมอเบญทั้งหล่อ ทั้ง…” ฟ้าใสเว้นจังหวะ “แพงอะ หล่อแพงๆ” ในที่สุดฟ้าใสก็หาคำอธิบายได้ “ส่วนพี่โอ…อายุจะห้าสิบแล้วยังอย่างน่ารัก ไม่ได้สวยแบบบ้านๆ ด้วย”

“แล้วไง…” หลินไม่เก็ต “มันไม่ใช่การจับคู่เสื้อผ้านะแม่นักจิตวิทยา จะต้องแมชชิ่งให้ดูดี ดูเข้ากัน… อย่างหนังเรื่องที่บอกว่าความรักมันออกแบบไม่ได้ ไม่อย่างนั้นเขาสองคนก็คงเป็นแฟนกัน ไม่เหลือมาถึงคุณโตหรอก”

จริงอย่างที่หลินว่า คราวนี้ผมเห็นด้วยกับหลิน

ในเมื่อทั้งสองคนก้าวข้ามกันและกันมาได้ ทำไมเรื่องครั้งนี้มันจะก้าวข้ามเหมือนที่เคยก้าวไม่ได้ล่ะ

ผมคิดง่ายๆ อย่างแมวๆ แล้วก็จิตนาการตามคำบอกเล่าของฟ้าใสไปถึงเรื่องในห้องพักผู้ป่วยพิเศษ ผมไม่เคยเห็นด้วยตาหรอก ไม่ว่าจะเกิดในชีวิตไหนก็ตาม แต่ผมก็พอจะนึกบรรยากาศนั้นได้เพราะเคยผ่านตามาจากโทรทัศน์ ตั้งแต่มันยังเป็นจอตู้หนาๆ จนตอนนี้บางเฉียบอย่างกับแผ่นขนมปัง

โอนอนเลื่อนลอยอยู่บนเตียง มินิสโตรกทำให้โอเกิดความจำเสื่อมชั่วคราว โออาจจะค่อยๆ จำทุกคนได้ในอีกยี่สิบสี่ชั่วโมงต่อมา แต่หลังจากจำอะไรต่อมิอะไรได้แล้ว โอก็ยังไม่กลับมาเป็นคนเดิม

โอสารภาพว่า เธอรู้ว่าโตคือสามี โอจำโอโตซังฟาร์มสเตย์ได้ แต่ตอนนี้เธอจำเรื่องราวระหว่างเธอและโตได้ไม่ทั้งหมด เธอขอเวลาและขอให้เขาเข้าใจเธอด้วย

แน่นอนคนอย่างโตที่คิดอะไรไม่ซับซ้อนยอมเข้าใจ เขายิ้มรับอย่างมีความหวัง ปลอบโยนไม่ให้โอคิดมาก แล้วก็กลับบ้านมานั่งเหม่อ

ผมรู้ว่าเขากลัว คืนที่เรานอนด้วยกันนั้นเขานอนไม่หลับ และลูบไล้ขนของผมตลอดเวลา

ผมเองนั้นมองเรื่องนี้เป็นปัญหาขี้ปะติ๋ว เหมือนที่โตพูดกับผมเพื่อเป็นการปลอบใจตัวเองไปด้วย…เดี๋ยวโอก็จะกลับมาเหมือนเดิม…เดี๋ยวโอก็หาย เขาพูดกับผมอย่างนี้ทั้งคืน

กระทั่งฟ้าใสเล่าเรื่องให้หลินฟังจนมาถึงตอนที่ว่า ผ่านไปสามวัน โอก็ยังไม่ดีขึ้น เธอมักมีท่าทีแปลกๆ สะดุ้งและหวาดระแวง ฟ้าใสมีวิธีการพูดให้โอไว้ใจ จนในที่สุดโอก็สารภาพให้ฟ้าใสฟังว่า เธอจำได้ทุกอย่าง จำงานในโอโตซังฟาร์มสเตย์ จำหน้าที่ที่เธอต้องทำได้ และจำได้ว่าโตคือสามี แต่สิ่งที่มันทำให้เธอสับสนแทบเป็นบ้า คือเธอจำความรู้สึก ‘รัก’ ที่เธอมีต่อโตไม่ได้ แต่เธอกลับจำความรู้สึกของรักครั้งแรกของตัวเองได้

ตอนนี้โอสับสน โออึดอัด โอไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี

ฟ้าใสปลอบใจ เพราะยังเชื่อว่า ในที่สุดแล้วทุกอย่างจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม เหมือนที่โตเชื่อ

แล้วฟ้าใสก็เริ่มไม่เชื่อเมื่อโอเฉลยว่า…รักครั้งแรกของโอคือหมอเบญจมินทร์

ผมซึ่งรู้เรื่องนี้อยู่แล้ว รู้มานานแล้ว แต่ไม่คาดหวังว่าจะได้ยินเรื่องแบบนี้ในชีวิตที่ 5 ถึงกับต้องก้มเลียตัวแก้เครียด

เพราะเหตุผลนี้หรือเปล่า ที่ทำให้ผมต้องกลับมาเป็นแมวของเป้ เพราะเหตุนี้หรือเปล่าที่ทำให้ผมต้องมาอาศัยในโอโตซังฟาร์มสเตย์

พวกเราถูกบางอย่างดึงดูดให้กลับมาเกี่ยวพันกันหรือเป็นเพียงแต่เหตุบังเอิญกันนะ…

“แต่มันไม่ใช่แค่นั้นนะหลิน” ฟ้าใสพูดเสียงเข้ม

“มีอะไรที่แย่กว่านี้อีกเหรอ” หลินหน้าแหย เหมือนกับว่าเธอกินยาขมมามากพอแล้ว

“ขากลับจากโรงพยาบาลฉันนั่งรถมากับเป้” ฟ้าใสพูดนิ่งๆ หลินชะโงกหน้าเข้ามาใกล้กล้อง ลุ้นคำต่อไปของฟ้าใส

“เป้บอกว่า ตอนที่พี่โอพูดเรื่องนี้กับฉัน เขากับหมอเบญยืนอยู่ที่ระเบียงหลังห้อง และได้ยินทั้งหมด”

หลินอึ้ง ผมก็ด้วย เสียงฟ้าใสย้ำว่า

“ทั้งหมด ทุกคำ แบบชัดแจ๋ว แล้วพยาบาลก็เข้ามาพอดี เป้กับหมอเบญจมินทร์อาศัยจังหวะที่พยาบาลรูดม่านตรวจโน่นนี่นั่นพี่โอ เลี่ยงออกจากห้องไปโดยที่พวกเราไม่รู้”

“ชิ…หายละ”

หลินอุทาน สารภาพ ถ้าผมพูดได้ ผมก็อยากจะอุทานออกมาเป็นคำเดียวกันกับหลินนั่นแหละ

“ฉันก็เลยกลัว” ฟ้าใสพูดต่อ ดวงตาของเธอช้ำ ปากเหยียดเป็นเส้นตรง

“กลัวอะไร” หลินเร่ง

“กลัวว่าพวกเขาน่ะ…” ฟ้าใสเว้นจังหวะ สูดหายใจยาว ผมลุ้นจนลืมหายใจ “หลิน…คนที่อยู่ด้วยกันมายาวนาน ความรู้สึกเหมือนไฟฟ้าชอร์ต หัวใจที่เต้น ตึก ตัก ตึก ตัก มันจะหายไป ที่เหลืออยู่คือหน้าที่และความผูกพัน ยิ่งเวลาผ่านไปสิ่งที่ยังคงยึดติดพวกเขาเอาไว้ด้วยกันก็คือความกลัว กลัวตัวเองจะโดดเดี่ยว กลัวตัวเองจะเหงา กลัวความเปลี่ยนแปลงต่างๆ นานา ถึงจะเบื่อกันจนแยกห้องนอน พวกเขาก็ไม่คิดจะไปจากกันง่ายๆ หรอก แต่ถ้าระหว่างความกลัวและเบื่อหน่ายมีใครบางคนที่ทำให้ใจเต้นเข้ามาแทรกกลางล่ะ ใครบางคนที่ทำให้หัวใจด้านชากลับมาเต้นแรงเหมือนหนุ่มสาวแรกรุ่นอีกครั้งล่ะ…ฉันก็เลยกลัว”

“ตบมือข้างเดียว มันไม่ดังหรอกน่า” หลินเตือนความจริงข้อนี้

ฟ้าใสยิ้มขื่น “ฉันจะไม่กลัวเลยหลิน ฉันจะไม่กังวลถึงเรื่องนี้เลย ถ้าเป้ไม่ได้มีสีหน้าแบบนั้น”

“สีหน้าแบบไหน”

“กังวลและเครียดมากๆ”

ทั้งคู่เงียบไป เงียบ…จนได้ยินเสียงหายใจครอกๆ ของผม พักหนึ่งหลินก็พูดขึ้น

“ฟ้าใส…เราเป็นคนนอก แกอย่าลืมข้อนี้นะ”

“ฉันเข้าใจ แต่ดูละครไม่กี่อีพีเรายังลุ้นพระเอกนางเอกเลยนะหลิน แล้วนี่คนจริงๆ อีกอย่างพวกเขาก็ดีกับฉันมาก แกจะให้ฉันไม่รู้สึกอะไรไม่ได้หรอกนะ”

“เอาเถอะๆ” หลินโบกมือ “ฉันจะไหว้พระให้แกละกัน ไม่รู้จะช่วยยังไงเหมือนกันวุ้ย”

ทั้งคู่วางสายไป ฟ้าใสยิ้มเจื่อนให้ตัวเอง เธอหันมาบอกผมว่า

“ชมาเชื่อไหม คืนนี้หลินมันจะต้องคิดมากจนนอนไม่หลับแน่ๆ เห็นแบบนั้น หลินเป็นคนใจดีนะ”

แล้วเธอก็ลงนอน ถอนใจยาว ราวกับได้ระบายความเครียดอออกไปให้หลินถือเอาไว้แทนแล้ว

 

– 3 –

สองวันหลังจากที่ฟ้าใสเล่าให้หลินฟัง โอก็ได้กลับบ้าน ผมวิ่งไปรับเธอพร้อมคนงานอื่นๆ ต้นกล้าฉวยร่างผมมาอุ้มเอาไว้ในอก ผมไม่ดิ้นหนีเพราะมองเห็นโอได้ถนัดกว่าข้างล่าง เมื่อโอก้าวลงมาจากรถ ทุกคนก็ออกอาการดีใจเพราะเธอสามารถเดินเหินได้ปกติ

โอมีสีหน้าอิดโรยอยู่บ้าง แต่เธอยังคงส่งความแจ่มใสผ่านรอยยิ้มไปถึงทุกคน

“เห็นแบบนี้แล้วค่อยยังชั่วหน่อย” อ้อยแม่ของต้นกล้าเข้าไปช่วยถือของ และพยุงโอทั้งๆ ที่ไม่จำเป็น ให้ขึ้นไปนั่งพักบนโต๊ะยาวของอาคารส่วนกลาง

เสียงถามไถ่ของคนงานดังขรม โอตอบทุกคำถามแล้วบอกขอบใจ ก่อนที่บุญรอจะออกปากไล่ให้ทุกคนกลับไปทำงาน

เมื่อเหลือแต่โตกับโอ โตก็ทรุดตัวลงข้างหน้าโอ จับมือเธอขึ้นมากุมไว้ ถามภรรยาตัวเองว่า ก่อนลงรถโอบอกว่ามีอะไรจะขอพี่ ตอนนี้ไม่มีคนอยู่แล้ว บอกมาเลย พี่จะทำให้ทุกอย่าง

“พี่โต…” เธอเรียกชื่อเขา สีหน้าอึดอัด

“ถ้าเราจะแยกห้องนอนกันไปก่อน พี่โตจะว่าอะไรไหมคะ”

“แยกห้องนอนเหรอ” โตช็อกไปห้าวินาที แต่มันช่างยาวนานเหมือนหนึ่งชีวิตแมว

“ค่ะ” โอว่า ก้มหน้ามองมือตัวเอง ตอนนี้เธอดึงออกจากมือของโตมาบดบี้อยู่บนตัก

“โอเค” โตตอบเสียงดัง หัวเราะร่าเริง “โอยังป่วยอยู่ คงอยากจะพักสบายๆ คนเดียว พี่นอนก็ดึก กรนเสียงก็ดัง ดีเหมือนกัน แยกกันนอน โอจะได้คิดถึงพี่มากๆ”

โธ่…เอ๋ย ผมอยากจะร้องออกมา เมื่อเห็นสีหน้าไม่รู้อีโหน่อีเหน่ของโต ถ้ามันมีรางวัลใสซื่อบริสุทธิ์ รุ่นอายุ 50 ปีขึ้นไป ผมจะเสนอชื่อเขาเข้าประกวดเลยจริงๆ

ผมเมินหน้าจากสองผัวเมีย เพราะทนเห็นความใสซื่อของโตไม่ได้ บางทีแล้วการไล่จับแมลงปอริมบึงอาจจะช่วยเยียวยาจิตใจของผมได้ แต่แล้วสายตาก็ปะทะเข้ากับใบหน้าบู้บี้ของเป้ ที่ยืนอยู่ตรงมุมหนึ่งในเรือนส่วนกลาง

เขาเป็นหลานชายของเบญจมินทร์ และผมรู้ว่าพวกเขาสนิทสนมกันประมาณหนึ่ง แต่ก็รู้ด้วยว่าคนบ้านนั้นไม่ใคร่จะเม้าท์มอยหอยกาบเพราะเป็นผู้ชายกันทั้งบ้าน ผมเดาว่าทั้งเบญจมินทร์และเป้ คงยังไม่ได้ข้อสรุปในเรื่องของโอ การล้วงเข้าไปในหัวใจของกันและกันไม่ใช่เรื่องที่คนในครอบครัวของเป้จะทำกัน พวกเขาชอบพูดกันด้วยข้อมูลทางกายภาพ แต่ไม่ชอบสนทนากันด้วยความรู้สึก

สายตาของเป้ที่มองมานั้นเกือบจะเหมือนความรู้สึกของผม คือเต็มไปด้วยความเวทนา เป้ทนต่อไปไม่ได้ต้องเบือนหน้าหนีไปทางอื่น

เป้ก้าวยาวๆ ลงจากอาคารส่วนกลาง ผมเดินตามเป้ซึ่งกำลังมุ่งตรงไปริมบึงน้ำ

ลมพัดพาระรอกคลื่นเล็กๆ กระทบฝั่งซึ่งอุดมไปด้วยหญ้าแฝก ตอนที่เป้เดินลุยเข้าไป แมลงปอบินฮือขึ้นจากยอดหญ้า บางตัวโฉบไปเกาะยอดผักกะเฉดและยอดผักบุ้ง ที่ถูกกั้นเป็นสัดส่วนในคันไม้ไผ่ บางตัวก็บินว่อนในอากาศไม่ยอมกลับลงมา

เป้นั่งลงกอดเข่า ทอดถอนใจ เขาเหม่อมองข้ามบึงน้ำไปยังบ้านพัก ผมไม่รู้ว่าเขาคิดอะไร ส่วนผมนั้นคิดถึงคำบอกเล่าที่ฟ้าใสบอกกับหลิน

พี่โอบอกว่า…พี่กลับไปรักพี่โตไม่ได้ ฟ้าใส…พี่ยังทำไม่ได้ อย่างน้อยก็ยังไม่ใช่ตอนนี้

 



Don`t copy text!