ดาราอรุณ บทที่ 24 : ของของเขา ไม่ใช่ของของเรา

ดาราอรุณ บทที่ 24 : ของของเขา ไม่ใช่ของของเรา

โดย : กฤษณา อโศกสิน

Loading

ดาราอรุณ โดย กฤษณา อโศกสิน เรื่องของ ‘ลมเย็น’ หญิงสาวที่เกิดในช่วงเวลาที่ดาวประกายพรึกปรากฏบนฟากฟ้าและ ‘หิ้ง’ ชายหนุ่มที่โชคชะตาพัดพามาให้ได้ใกล้ชิดกัน…เมื่อดาวศุกร์ ดารายามแรกอรุณได้นำทางความรักให้ทุกคนที่เกี่ยวข้อง ดาวศุกร์จึงพาให้ชีวิตของเธอเปล่งประกายไม่ต่างไปจากดาราอรุณและนี่คือนวนิยายที่อ่านเอาภูมิใจนำเสนอ

แต่นายชัดผู้ปกติเป็นคนอารมณ์สม่ำเสมอไม่ขึ้นไม่ลงปรูดปราดดังเช่นลูกคนเล็กของตนเอง ก็เริ่มได้สติรู้ตัวขึ้นมาพลันว่า เขาควรจะทำฉันใด จึงบอกสวนสนอย่างง่ายๆ

“เอางี้ดีกว่า คุณกลับไปก่อนเพราะอีกสักครู่ผมมีลูกค้ามานวด…เอาไว้วันหลัง ถ้าอยากรู้เรื่องต่อจากนี้ค่อยมาคุยกันอีกที ดีกว่าไหมฮะ”

สวนสนมองหน้าสบตาเขาอย่างพอจะรู้ความนัย ดังนั้นจึงลุกขึ้นจากที่นั่ง พลางหันไปทางหิ้งและลมเย็น

“แล้วเราค่อยพบกันใหม่นะคะพี่…พี่ด้วย”

อีกฝ่ายทำท่าไม่รู้ไม่ชี้ในอาการบึ้งตึงราวกับลวดที่ขึงอยู่ตรงหน้า พนมมือไหว้ทุกคนพลางก้าวออกมา มีหิ้งและลมเย็นตามออกไปส่ง โดยพี่สาวของคู่กรณีกระซิบบอกสวนสนเบาๆ

“ต้องขอโทษหนูแทนน้องสาวพี่ด้วยนะคะ เขาเองก็คงอารมณ์ไม่ดีตั้งแต่เมื่อวาน”

“ไม่เป็นไรค่ะพี่” อีกฝ่ายพยายามอารมณ์ดีเข้าสู้ “พี่สองคนดีกับหนูแล้วก็พอแล้ว คุณลุงด้วย”

“พี่ไปส่งหนูดีกว่า” หิ้งก็เลยรับอาสา “ขอรถอายาใจขับไป”

ในที่สุด ทั้งสามก็ได้มานั่งด้วยกันภายในรถคันยาวที่ใช้จ่ายตลาด พาสวนสนข้ามฟากไปส่งจนถึงบ้านที่อยู่เยื้องไปบนถนนตรงกันข้ามอีกราวหนึ่งกิโลเมตร

เป็นตึกค่อนข้างใหม่สองชั้น มีสองปีก

“ตอนนี้ไม่มีใครอยู่บ้านเลยค่ะ พ่อแม่พี่ชายไปทำงานกันหมด พี่แวะลงทานน้ำสักนิดหน่อยดีไหมคะ”

“อย่าเพิ่งดีกว่าหนู” ลมเย็นก็เลยชิงตัดบท เนื่องจากระแวงระวัง มิอยากให้ความสัมพันธ์โยงใยไปถึงทั้งครอบครัว เพราะมิรู้จะเกิดเรื่องใดขึ้นอีกหรือไม่

อันว่า ‘เรื่อง’ ทั้งดีและร้ายดูราวจะกำลังพ่นละไอผะผ่าวออกมาให้หล่อนได้สัมผัสทุกเวลานาทีนับตั้งแต่พบรถสีแดงขลิบดำนั่นแล้ว

“เอาไว้ให้ปลอดโปร่งกว่านี้อีกหน่อยดีกว่านะฮะ” หิ้งเห็นสีหน้าลมเย็น จึงพลอยปฎิเสธ

“มีเวลาอีกนาน…คุณสวนสนควรต้องนึกถึงเรื่องงานก่อนจริงไหม…เพราะนี่คือเวลาที่คุณต้องเลือกแล้วละฮะ…จะได้ทราบว่า จริงๆ แล้วคุณอยากทำงานแบบไหน”

อีกฝ่ายก็เลยรับคำ

“จริงของพี่ค่ะ…หนูควรติดต่อเรื่องงานให้จบก่อน”

หิ้งและลมเย็นจึงนั่งรถกลับมาด้วยกันอย่างโล่งอก

“แล้วนี่เราก็จะต้องไปเจอโชยลมเสียไม่เลิกอีกไหมพี่” หญิงสาวพึมพำอย่างรำคาญใจ

“คงเจอ” หิ้งตอบอ่อนๆ อย่างมิรู้จะทำอย่างไรได้

 

ฝ่ายนายชัดผู้บิดา เมื่อต้องนั่งเผชิญหน้ากับลูกสาวคนเล็ก จึงจำเป็นต้องเรียกความเห็นใจให้คงคืน

“โชย…เราก็อย่าไปเอานิยายกะไอ้เรื่องรถมากเกินไป…คนเราอารมณ์เสียบ่อยนี่มันจะดีอะไรล่ะลูก” เขาจึงเริ่มอารัมภบทเมื่อเห็นลมโชยยังคงนั่งนิ่ง สีหน้าเคียดขึ้งมิหายได้ เนื่องด้วยไม่ถูกชะตากับสวนสนเอาเสียเลย แม้แกล้งชนท้ายรถเด็กคนนั้นแล้วก็ยังไม่หายหมั่นไส้ชิงชัง พาลโกรธเกรี้ยวหุนหันกับทุกคน แต่ผลลัพธ์ก็เช่นเดิม คือมีแต่เขาเหล่านั้นหลบลี้หนีหน้าไปเพราะคร้านจะสู้รบกับความพาลไม่เข้าเรื่องของหล่อน “นี่นะ พ่อก็กำลังดูดวงโชยให้ด้วยไงว่า…ต่อไปจะเป็นยังไงมั่ง”

“โชยจะได้แต่งงานกับพี่หิ้งไหมล่ะพ่อ โชยรักพี่หิ้งแล้วนะ บอกให้รู้ จู่ๆ พี่เย็นจะมาเอาไปกิน ก็เห็นจะต้องสู้กันยิบตาละ”

คราวนี้ผู้เป็นพ่อก็สุดจะยับยั้งความขำขันทันใดที่ลูกคนเล็กระบายอารมณ์เด็กยังไม่เติบโตออกมาราวกับไร้เดียงสาเสียเหลือเกินขนาดนี้ จึงหัวเราะก๊ากเสียงดัง…พลอยให้นางยาใจ น้าเยี่ยมเยือนรวมทั้งเจ้าตัวผู้พูดพลอยยิ้มหัวออกมาพร้อมหน้ากัน

“เออ…ให้มันได้อย่างนั้นซีน่า…ว่าแต่ว่า มันจะไม่ดูท็อกซิกไปหน่อยละเหรอ”

“พ่อเก่งนี่ พูดคำนี้ก็เป็น”

“ก็ใช่ไหมล่ะ ระวังนา เดี๋ยวจะถูกใครๆ นินทาว่าน้ำเน่าละก็…” บิดายังคงระบายยิ้มอย่างนึกสนุกมิถือสา ส่วนมือก็พลิกสมุดจดดวงชะตาไปยังหน้าที่มีดวงลมโชย จึงไล่ดูดวงอย่างถ้วนถี่มิรู้ว่าครั้งที่เท่าไร ด้วยว่าใคร่จะเสกเป่าให้ดวงชะตาเช่นนี้หายวับไป หาตัวเลขใหม่เอี่ยมที่เยี่ยมยอด ทั้งตำแหน่งฐานะและลาภผลมาบันดาลดลเป็นดวงใหญ่

“เน่าก็ช่างปะไร อยากเน่า” อีกฝ่ายตอบอย่างหัวรั้น

ใครว่าเช่นนี้ ฉันจะว่าอีกอย่าง ใครจะทำไม

“โชย…ลูก…หิ้งน่ะ…เขารักเราเหรอ ถามหน่อยเถอะ”

“รัก ทำไมจะไม่รัก เดี๋ยวโชยจะไปหาพ่อพี่หิ้ง ไปขอแหวน”

“แกจะบ้าไปแล้วหรือโชย” นายชัดร้องอย่างตกใจสุดขีด เมื่อนึกถึงแหวนเพชรในนิ้วนางข้างขวาของลมเย็น

ลมโชยเห็นแล้วอิจฉาจนทั้งเนื้อทั้งตัวแทบลุกเป็นไฟ

“โชยจะไป” ดูเหมือนยิ่งว่าจะยิ่งยุพร้อมด้วยรอยยิ้มสะใจ

“โชย…พ่อจะเล่าอะไรให้ฟังอย่าง อยากฟังไหม” บิดาเพียงแต่ขัดจังหวะเพื่อมิให้เรื่องราวบานปลาย

แต่ลูกคนเล็กทำท่าเอาชนะอย่างออกนอกหน้า คล้ายกับว่า ถ้าวันนี้ฉันไม่ทำอะไรสักอย่างเพื่อให้ผู้คนทั้งหลายแลเห็นว่าฉันก็เด่น ฉันก็แน่เหมือนกัน ฉันก็คงอกแตกตาย

ดังนั้น ลมโชยจึงหันหลังให้บิดาพลางออกเดินไปยังบันได ขณะที่หันมาถามเหมือนเย้ยเหมือนเยาะพ่อผู้ก็ผุดลุกขึ้นเช่นกัน พลางเอ่ยอีกประโยค

“ที่ว่าจะไปน่ะ ไปไหน”

“ไปหาพ่อพี่หิ้ง…ไปขอแหวนเขาอีกวง”

“โชย” คราวนี้นายชัดรีบก้าวเร็วออกมา ตัวเนื้อสั่นด้วยความกริ่งเกรงว่าลูกสาวคนเล็กจะถูกเพื่อนเก่าหยามซ้ำ

“ขอทีได้ไหมลูก แกก็รู้นี่นาว่าพ่อกะมันไม่คุยกันนานแค่ไหน”

“ก็แล้วทำไมเขาให้แหวนพี่เย็น…ให้พี่เย็นก็ต้องให้โชยด้วยเซ่…”

นางยาใจแลเห็นฤทธิ์เดชของหล่อน ก็เผลอเอ็ดออกมาเนื่องจากเข้าข้างสามี

“โชย…ทำอย่างนี้มันขายขี้หน้าเขานะ เขาอยากให้ใคร เขาก็ให้ ก็ของของเขา เราไม่มีสิทธิ์ไปทวงเขานะโชยนะ”

“โชยจะทวง”

ครั้นแล้ว เสียงที่แสดงตนยิ่งว่ายิ่งยุของลูกสาวคนเล็กก็เลือนไปจากบันไดและประตูบ้านเชิงให้รู้เสียบ้างว่า ทำจริง

นายหันกินอาหารกลางวันแล้วยังคงกลุ้มใจ จึงนอนเอนอิงอยู่กับเก้าอี้โยกตัวโปรด พลางโยกไปโยกมาขณะนั่งคิดถึงลู่ทางที่จะนำเงินหรือของมีค่าไปสลายค่าใช้จ่ายบางส่วนของบิดาลูกเขยคุณหญิงระวีฉาย

แหวนเพชรสองกะรัตที่ยกให้ลูกไอ้ชัดไปเพราะหวังจะได้ประโยชน์หลายอย่างก็ยังทวงคืนไม่สำเร็จ ทำให้เขายังนึกด่าลูกชายไม่เสร็จจนบัดนี้

ก็พอดีได้ยินเสียงกริ่ง คนสนิทหญิงคนเดียวในบ้านจึงออกไปถามตรงช่องประตู ก็ได้รับคำตอบว่า

“บอกคุณลุงว่าหนูลมโชยมา”

นางเอี่ยมจึงกลับมารายงานนายจ้าง

นายหันจำชื่อได้จึงพยักหน้า สักไม่กี่อึดใจ เขาก็ได้ต้อนรับหญิงสาวกระโปรงแดงลายดำแต่งหน้าเพียบ เดินเข้ามาคุกเข่าอยู่ตรงหน้า

“หนูเป็นน้องของพี่เย็นไงคะ”

“อ้อ…ที่เป็นแฟนเจ้าเหินใช่ไหม” นายหันมิค่อยจะได้เห็นหน้าลูกคนเล็กของอีกฝ่าย เนื่องด้วยเหินมิสู้จะวางใจว่าพ่อและแม่จะชื่นชมชอบใจในหญิงสาวขาวสว่าง แต่เก่งกร่างแบบคนที่เขากำลังควงอยู่หรือไม่ ก็เลยมักจะไม่เต็มใจพามา หรือมิฉะนั้นก็มาแค่เห็นหน้าประตู แม้นางพริ้งผู้อยากรู้ให้แน่ว่า…ลูกชายสุดที่รักจักเลือกคนไหน เหินก็แค่บอกกล่าวกับมารดา

‘เอาน่ะ…คนไหน…แล้วแม่ก็รู้เอง’

“คุณลุงว่างั้นหรือคะ” ลมโชยไม่พอใจจึงเก็บอาการไว้มิได้

“อ้าว…จะไม่ว่าได้ไงหนู” ผู้เป็นพ่อของฝ่ายชายจึงย้อนตอบอย่างแปลกใจ “ก็เจ้าเหินน่ะมันไม่ใช่หายใจเป็นหนูหรอกเหรอ…คำก็โชย สองคำก็โชย…โชยทั้งวันทั้งคืน”

ครั้นแล้วผู้พูดก็หัวเราะ…หากก็ค่อนข้างแค่น เนื่องด้วยนึกถึงสุ้มเสียงของภรรยา

‘เหินมันจะเอาแน่เร้อพ่อ’

ท่าทางของนางพริ้งมิสู้จะปลาบปลื้มสักเท่าใด ยิ่งเมื่อได้พบปะหญิงผู้พี่ ผู้มีมารยาทละเมียดละไมวันก่อน แม่ของสองชายก็ยิ่งจับใจลูกคนโตของนายชัด ลืมเอ่ยถึงลูกคนเล็กของเพื่อนเก่าไปอีกหลายวัน

เอาแต่พร่ำเอ่ยไม่ขาดปากถึงแหวนสองกะรัตวงนั้น

‘ไม่เสียดายเลย ทำไมไม่เสียดายก็ไม่รู้’

ครั้นเขาคิดจะขอคืนมาก่อน แต่หิ้งไม่ยอมให้เขาถอนคำพูด เขาก็เลยเกิดอาการบ่นบ้าทั้งวันไม่เป็นอันกินอันนอนจนถึงชั่วโมงนี้

นางพริ้งก็เลยต้องง่วนอยู่กับการเลือกเพชรพลอยวงใหม่ชิ้นใหม่เพื่อให้สามีนำไป ‘สังเวย’ คุณหญิงระวีฉายตามภาษาที่นางบัญญัติให้

ขณะที่กำลังเสียดายความรู้สึกของลมเย็น ลมโชยก็เผ่นโผนเข้ามา

แค่เห็นหน้าตาท่าทาง นางก็แสนจะกังขาเป็นอันมาก

เกิดสงสัยรสนิยมของลูกชายขึ้นมาครามครัน เมื่อนายหันเรียกนางให้ออกมาร่วมคุย

“หนูมีธุระอะไรเหรอจ๊ะวันนี้” นางพริ้งเอ่ยถาม “เมื่อก่อนไม่ค่อยเห็นหน้า”

ลมโชยไม่มีเหตุผลใดนำมาอ้าง จึงเล่าเรื่อยเปื่อยถึงอุบัติเหตุเมื่อวานที่ทำให้ทุกคนทุกข์ใจ

 



Don`t copy text!