ดาราอรุณ บทที่ 25 : เล่ห์เหลี่ยมง่ายๆ

ดาราอรุณ บทที่ 25 : เล่ห์เหลี่ยมง่ายๆ

โดย : กฤษณา อโศกสิน

Loading

ดาราอรุณ โดย กฤษณา อโศกสิน เรื่องของ ‘ลมเย็น’ หญิงสาวที่เกิดในช่วงเวลาที่ดาวประกายพรึกปรากฏบนฟากฟ้าและ ‘หิ้ง’ ชายหนุ่มที่โชคชะตาพัดพามาให้ได้ใกล้ชิดกัน…เมื่อดาวศุกร์ ดารายามแรกอรุณได้นำทางความรักให้ทุกคนที่เกี่ยวข้อง ดาวศุกร์จึงพาให้ชีวิตของเธอเปล่งประกายไม่ต่างไปจากดาราอรุณและนี่คือนวนิยายที่อ่านเอาภูมิใจนำเสนอ

แต่นายหันเพ่งพิศอากัปกิริยาของหญิงสาวผู้เป็นคู่ควงของลูกชายคนเล็กอย่างถี่ถ้วนความคิดคำนวณในสมองก็แวบขึ้นราวสายฟ้า จึงแปรเปลี่ยนสีหน้าและวาจาได้ทันใด หลังจากลมโชยเล่าถึงอุบัติเหตุรถชนจบสิ้น

“ก็นึกว่าฟาดเคราะห์ไปละกันหนู…เคราะห์นี่ก็เล็กๆ เอง…ดูแต่ลุงซี…เคราะห์ใหญ่ยังค้ำคอจนพูดไม่ออกบอกไม่ถูกกันอยู่นี่ แต่จะตีโพยตีพายไปก็ป่วยการ…” พลางก็มองหน้านางพริ้งอยู่อึดใจ สายตาบอกใบ้ว่า…เอาละนะ…ฉันจะเริ่มละนะ…

แม่ของสองชายจึงเฉยอยู่ ปล่อยให้นายหันเดินเกม

“คืองี้…คือ…วันก่อนลุงให้แหวนเพชรสองกะรัตหนูเย็นไปวงนึง…โชยเห็นละยัง”

ลมโชยฟังแล้วแทบตีปีกพึ่บพั่บด้วยท่วงท่านักพนัน

อะไรจะเร็วพลันขนาดนี้หนอ

“โถ…ทำไมจะไม่เห็นล่ะคะคุณลุง…ก็…พอถึงบ้านเขาก็โชว์แหวนให้แม่น้าพ่อดู…โชยน่ะเห็นเป็นคนสุดท้ายเลยละค่ะ…ยังนึกเลยว่า…ซักวัน…คุณลุงคงมีแหวนสวยอย่างของพี่เย็นมาให้โชยด้วยเหมือนกัน”

นายหันได้ที จึงเริ่มเล่า

“คงยังไม่มีให้หรอกจ้ะ…ก็…ตอนนี้มันมีเรื่องขึ้นไง…คือลุงจะต้องหาเงินสักก้อนไปช่วยลูกค้าคนหนึ่งที่สนิทกับลุงมาก…เคยซื้อเพชรพลอยแพงๆ จากลุงไปค่อนข้างเยอะเชียวโชย” พ่อของเหินบรรยายความ “ลุงก็เลยจะขอแหวนที่ให้เย็นคืนมาก่อน…แต่…เจ้าหิ้งมันไม่ยอมขอคืน…ก็คือมันอายไง…ให้แล้วขอคืน…พูดเท่าไหร่ว่าไม่ใช่คืนเลย แต่คืนมาก่อน…แล้วจะหาวงใหม่มาใช้ให้…ทำไงพูดยังไง มันก็ไม่ยอม…ก็เลย…ทั้งลุงทั้งป้าก็เลยนั่งหน้าเศร้า กินข้าวบูดกันอยู่นี่แหละ” นักเล่าเรื่องทอดเสียงอ่อนระอาเหนื่อยใจ “จะหาทางยังไงถึงจะได้วงนั้นคืนมาก่อน…ทำยังไงเจ้าหิ้งมันจะยอมรู้เรื่องว่า…คืนมาชั่วคราวแล้วจะหาของดีหรือดีกว่าวงเดิมไปแทนให้อย่างแน่นอน ไม่ต้องกลัวว่าพูดแล้วจะไม่ทำ”

“โชยว่าคงยากค่ะ” สาวกร่างเก๋เท่ทุกชั่วโมงค่อยๆ ปริปาก ขณะกำลังนึกไปพร้อมกันถึงวิธีนำแหวนวงนั้นคืนมาจากนิ้วของลมเย็น นั่นก็ด้วยแลเห็นดวงหน้าผู้มอบให้แล้วเกิดโมโหเป็นริ้วๆ ไรๆ ขึ้นในอารมณ์ แม้ว่าโดยจิตใต้สำนึกที่ลึก…ลึกลงไปกว่านั้น จะเพียรข่มอยู่เหมือนกันว่านั่นคือพี่สาวคนเดียวที่ตนมีอยู่ เป็นพี่ที่แม้อยากเชิดชูว่าคือแม่คนที่สองก็ย่อมได้ ด้วยว่านับแต่ลืมตาดูโลกเคียงคู่กันและกันตลอดมา หล่อนไม่เคยถูกลมเย็นรังแกแม้แต่หนึ่งครั้ง โดยมิต้องเอ่ยเลยไปถึงการเอารัดเอาเปรียบที่พี่สาวไม่มีทีท่าว่าเคยรู้จักนั่นอีกด้วย

“โธ่เอ๊ยหนู จะยากอะไรนักหนา” นายหันผู้เอาแต่ใจในบัดนี้ เสมือนถือไพ่ใบสำคัญอยู่ในมือ “ก็ลองขอยืมมาใส่ดูได้ไหม…ง่ายๆ นี่นา…แล้วก็อย่าคืน”

นางพริ้งเอง…แม้กำลังตื่นเต้น ตื่นกลัวหรือตื่นแกมตกใจในคำแนะนำของชายผู้ที่นางรู้จักดีมาช้านาน…ก็ยังอดนึกสงสารผู้ที่จะถูกทำร้ายโดยไม่มีความผิดใดใดมิได้เลย

แลเห็นกระทั่งสีหน้าเผือดซีดของพี่ร่วมสายเลือดของหญิงผู้นี้

แต่นางมิรู้จะคัดค้านอย่างไรดี เดี๋ยวก็ได้ทะเลาะกับสามีผู้ขี้โมโหจนได้นางก็เลยต้องนิ่งอยู่

“หนูขอลองใส่แล้วไม่คืน…ก็ง่ายๆ นี่นา”

แม้กระนั้น ลมโชยก็ยังนิ่งคิด

มิได้คิดถึงใคร นอกจากคิดถึงบิดา

พ่อไม่เคยดุด่าหรือกล่าววาจาเจ็บแสบใส่หล่อนเลยแม้สักครั้ง ไม่ว่าหล่อนจะแผลงฤทธิ์อย่างไร ทำบ่อนแตกแค่ไหน ก็ดูเหมือนพ่อจะใจเย็น เห็นหล่อนเป็นเด็กน้อยที่ชอบต่อยเตะอาละวาดมาแต่ครั้งยังเล็กนิด…ยามเมื่อหล่อนทำผิดรังแกเพื่อน ลามเลยมาถึงทำท่าเถื่อนๆ กับผู้คน พ่อก็แค่เป็นกังวล หากก็พูดดี บอกกับแม่ให้หล่อนได้ยิน

‘เดี๋ยวโตอีกหน่อยก็หายมั้ง’

พ่อคิดหล่อนในทางที่ดีตลอดมา

‘มันไม่ขี้โกงใครก็เอาละน่ะ’

ประโยคนี้เองที่บัดนี้ตามติดมาดังอยู่ในหู

ขนาดที่รู้คิดขึ้นมาทันใดว่า เหตุไฉนพ่อจึงทำท่าเสมือนในชีวิตนี้ จะไม่มีวันกลับมาคืนนี้กับพ่อของพี่หิ้งได้อีกต่อไป

ดังนั้น หล่อนจึงตอบรับ

“โชยจะพยายามเอาแหวนมาให้คุณลุงจนได้แหละนะคะ”

“ขอบใจหนูมาก” นายหันได้แต่ยิ้มกว้างดวงตาคมกริบเป็นประกายเบิกบานขึ้นมาทันใด

‘ในคราวที่ ‘พระจันทร์’ แย่ง ‘นางดารา’ ผู้เป็นชายาของพระพฤหัสบดีไป ก็เกิดสงครามใหญ่บนสวรรค์เช่นกัน…’

นายชัดกำลังกลัดกลุ้มทีท่าของลูกคนเล็กผู้สะบัดร่างเดินกร่างออกไป หลังจากหิ้งและลมเย็นขอตัวเลี่ยงไปยังเตียงใหญ่ที่มีนางยาใจและน้าเยี่ยมเยือนยังคงบรรจุยาแผนโบราณรักษาโรคอื่นลงขวดลงกล่อง วางเรียงๆ กันอยู่ โดยทั้งคู่เข้าไปช่วยอย่างคล่องแคล่วปล่อยให้เจ้าของบ้านอยู่กับอาการกิริยาที่ดูรู้ว่ากำลังเพียรระงับความวิตกสะทกสะเทือนในลูกคนเล็กให้เข้าที่

เฮ้อ…ก็ลองคิดดู ท่านเป็นถึง ‘เทวดา’ ยังกล้ารบพุ่งกันเพราะแย่งหญิงคนเดียวกันได้เลยนี่นา…แล้วจะมากล่าวหาเหล่ามนุษย์ตาดำๆ ผู้ยังหมกมุ่นอยู่กับกิน กาม เกียรติได้ไฉน

‘ในขณะที่พระศุกร์ไปช่วยยักษ์รบกับเทวดานั้น พระวิษณุก็ได้ประหารมารดาของพระองค์เสีย พระศุกร์จึงสาปพระวิษณุให้ต้องมาเกิด 7 ครั้งบนโลกมนุษย์คำสาปของพระศุกร์นั้นศักดิ์สิทธิ์มากเป็นผลให้พระนารายณ์ต้องอวตารลงมาเกิดบนมนุษย์โลกเพื่อปราบยุคเข็ญถึงเจ็ดครั้งเป็นไปตามคำสาป จากนั้นก็ทำพิธีชุบชีวิตมารดาขึ้นมาใหม่ ฝ่ายเทวดาก็ต้องคอยขัดขวางเพื่อมิให้พิธีนั้นประสบความสำเร็จ มิฉะนั้นพระศุกร์จะมีฤทธิ์มากขึ้น พระอินทร์จึงส่งพระธิดาของพระองค์ผู้มีนามว่า ‘ชยันติ’ ไปล่อลวงทำลายตบะพระศุกร์…’

โอย…ดูเอา ขนาดเทวดายังตัดกิเลสมิขาดได้

‘แต่นางชยันติ ชะรอยจะรักพระศุกร์ จึงไปรอจนพระศุกร์สำเร็จการประกอบพิธีภายหลังพระศุกร์ก็ได้นางมาเป็นชายา’

เสียงกริ่งประตูรัวๆ ขัดจังหวะสมาธิการอ่านเอาเรื่อง เรื่องผัวๆ เมียๆ ของนายชัด

“มาละ” เสียงนางยาใจดังกลั้วหัวเราะเพราะบางครั้งก็ไม่อยากถือสาลูกคนเล็ก จึงมักทำให้เรื่องน่ารำคาญกลายเป็นเรื่องขำขัน “ไปไหนมาล่ะโชย”

“ไปบ้านลุงหัน” อีกฝ่ายทำท่าเป็นคนสำคัญขึ้นมาทันที ก้าวตรงไปยังบิดาผู้ยังคงอ่านปกรนัมอันว่าด้วย ‘ดาวพระศุกร์’

เพื่อรวบรวมสมาธิให้เข้าที่จนสามารถสู้กับความสับสนยุ่งเหยิงที่ลูกคนเล็กพามา

เมื่อถึงยามค่ำ เหินกลับจากทำงาน ก็จะมาละ มาแวะรับลมโชยออกไปกินอาหารด้วยกันครั้นแล้วจึงพามาส่งระหว่างสองสามทุ่ม เพราะวันรุ่งขึ้นจะต้องไปทำงานตั้งแต่หกนาฬิกาแต่หลายครั้งก็กินที่บ้านนายชัดนี่เอง

จนกว่าจะถึงเสาร์อาทิตย์จึงจะมาแสดงละครเรื่องรักๆ เลิกๆ ตลอดสองวันเต็ม

กลายเป็นภาพเก่าๆ ซ้ำๆ ที่ผู้ดูสามสี่ชีวิตในบ้านรำคาญเต็มทน แต่ทำอย่างไรเสียก็หนีไม่พ้นไปได้

“อ้อ…ว่าไงลูก” นายชัดก็เลยปิดหนังสือที่ตนเองรักชอบ เนื่องด้วยให้ความเพลิดเพลินเกี่ยวกับความเป็นอยู่และเป็นไปของหมู่เทพเทวาและเทวีบนฟากฟ้าไกลโพ้นโดยไม่ต้องไปค้นหาจากหนังสืออื่นใด รวมทั้งมี ‘เชิงอรรถ’ ให้ได้รู้อย่างบริบูรณ์ว่า เรื่องไหนมาจากดินแดนใด อันมีทั้งกรีก โรมัน อินเดีย ไทยโบราณ

ลมโชยจึงก้าวไปกระแทกตัวลงนั่ง

หล่อนมักจะทำฤทธิ์เปิดเผยกับบิดา ให้เขารู้ว่าเวลาไหนพอใจ ไม่พอใจ

นาทีนี้ หล่อนเลยเสแสร้งแกล้งชูนิ้วนาง

“พ่อว่าเมื่อไหร่โชยจะได้แหวนสักวง”

นายชัดจึงจำใจต้องนิ่งฟัง หากก็อยากถอนหายใจดังๆ ยิ่งนัก

“แหวนหมั้นน่ะเหรอ” ฝ่ายพ่อทอดเสียงยาว ตามด้วยยิ้มแย้มคล้ายแจ่มใส

“ใช่น่ะเซ่”

“ไม่ลองไปถามเหินดูล่ะว่า เขาสะดวกให้เมื่อไหร่”

“โชยเอาสองกะรัต” หล่อนส่งเสียงพอให้คนข้างในได้ยิน

ลมเย็นเพียงแต่ตวัดนัยน์ตาไปทางหิ้ง ฝ่ายนางยาใจหันมาพยักเพยิดมีแววยิ้ม หากก็ไม่ปริปากคล้ายๆ จะบอกว่า ‘เรื่องใหม่มาอีกละ’

เมื่อเห็นว่าไม่มีใครไหลลื่นตาม ก็เลยเดินเลยมาข้างใน ถามพี่สาว

“พี่เย็นมีแหวนใส่ตั้งสองกะรัต พี่หิ้งทำไมไม่ให้โชยมั่ง”

หิ้งก็เลยตอบหน้าตาย

“รอเหินหามาให้ดีกว่านะ พี่น่ะหมดโควต้าแล้ว”

ลมเย็นนึกขำคำว่าโควต้า เลยหัวเราะออกมา

“แหวนหมั้นก็มีโควต้าด้วยเหรอพี่หิ้ง…เพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เอง”

แท้จริงแล้ว หิ้งกำลังระแวงระวังหวาดไหวอยู่ไม่น้อย เนื่องด้วยรู้แน่แก่ใจว่าบิดาเขากำลังคิดและใคร่จะดำเนินเรื่องใดในยามนี้

ครั้นลมโชยเอ่ยถึงแหวน เขาก็วาดภาพได้ทันใดว่า ที่หล่อนหายไปเมื่อสักครู่ คงไปแวะที่บ้านเขา อาจจะทวงถามพ่อถึงแหวนหมั้นที่เหินควรมีและมอบให้หล่อนได้เช่นเดียวกับที่หิ้งให้ลมเย็น

แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ

“ไหน…พี่เย็น…แหวนหมั้นโควต้าพี่หิ้งรูปร่างหน้าตาเป็นยังไง ถอดมาโชว์ให้ดูหน่อย เย็นนี้จะได้ไปขอพี่เหินมั่ง”

หิ้งสบตาแรงกับลมเย็นทันใด

เล่ห์เหลี่ยมง่ายๆ แบบนี้…ชิดซ้ายไปได้ทันทีเลยนะ

พร้อมกันนั้น ทุกคนก็พลันนิ่ง

ใช่แต่หิ้งผู้เดียวเมื่อไรเล่า ทั้งนายชัด นางยาใจ น้าเยี่ยมเยือนก็พร้อมเพรียงกันนึกในใจ

อย่าถอดให้มันดูเป็นอันขาดเลยนะเย็น

มันเอาไปแล้ว อย่าหวังจะได้คืน

ลมเย็นก็เลยแค่ยิ้มๆ พลางชูมือขวาให้ดู…ดูอย่างเดียว…โดยไม่ถอดแหวนออกจากนิ้ว

เป็นคำตอบที่ไม่ต้องเปล่งเสียงให้เข้าเนื้อ

 



Don`t copy text!