ดาราอรุณ บทที่ 35 : ‘ศรี’ มีตำหนิ

ดาราอรุณ บทที่ 35 : ‘ศรี’ มีตำหนิ

โดย : กฤษณา อโศกสิน

Loading

ดาราอรุณ โดย กฤษณา อโศกสิน เรื่องของ ‘ลมเย็น’ หญิงสาวที่เกิดในช่วงเวลาที่ดาวประกายพรึกปรากฏบนฟากฟ้าและ ‘หิ้ง’ ชายหนุ่มที่โชคชะตาพัดพามาให้ได้ใกล้ชิดกัน…เมื่อดาวศุกร์ ดารายามแรกอรุณได้นำทางความรักให้ทุกคนที่เกี่ยวข้อง ดาวศุกร์จึงพาให้ชีวิตของเธอเปล่งประกายไม่ต่างไปจากดาราอรุณและนี่คือนวนิยายที่อ่านเอาภูมิใจนำเสนอ

แต่มิว่าใครจะรอคอยอย่างไร นานแค่ไหนลมโชยก็หาได้กลับบ้านไม่ เนื่องด้วยตั้งใจไว้แล้วว่าจะแกล้งให้คนทั้งหลายรุ่มร้อนนอนไม่หลับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพี่สาวกับผู้รักของหล่อน อีกอย่าง พรุ่งนี้เป็นวันหยุด

เพียงแต่มิทันนึกเลยไปถึงพ่อแม่น้าผู้อยู่ในขบวนนี้ด้วยกัน

นายชัดนั้น ล่วงรู้อยู่แล้วว่าทุกคนกำลังมีทั้งโชคและเคราะห์ เขาไม่ห่วงภรรยาและคุณปรียา ไม่หวงหิ้งและลมเย็นเพราะแลเห็นอยู่แล้วว่า ‘ดาวศุกร์’ มาทับลัคน์หมายความว่ากระไร

ทั้งหิ้งและลูกคนโต ‘ได้’ มากกว่า ‘เสีย’

แต่ลูกคนเล็กนั่นสิที่จะเสียมากกว่าได้

อย่างน้อย ก็ต้องเลิกลากับชายที่ถึงอย่างไรก็ยังดีกว่าชายอื่น ด้วยว่าเหินยังมีงานที่ดีทำ มีโอกาสอันงามรออยู่ คู่ที่ได้พบเจอต่อจากนี้ ก็เป็นคู่ที่ดีด้วย

มีแต่ลูกสาวเขาเท่านั้นที่คงต้องรอคอย เพราะถึงอย่างไร ลมโชยก็ต้องได้คู่ดี…แม้มีปัญหาติดตัวมาบ้างแต่ก็พอปัดเป่าได้…นายชัดคิดพลางกระวนกระวายใจเป็นอย่างยิ่ง

ตั้งแต่เมื่อคืนจนวันนี้ เขาก็ยังคงถูกรบกวนมิเว้นแต่ละนาทีด้วยฤทธิ์จากดาวศุภเคราะห์ที่บกพร่องของหล่อน นั่นก็คือดาวศุกร์เป็น ‘ประ’ อ่อนกำลัง

ดาวเสาร์ 7 คู่ครอง แม้จะเป็น ‘ศรี” แต่ก็มีตำหนิ ‘นิจ’ หมายความว่าต่ำ

แต่โชคก็ยังดีที่มีพฤหัสราชาโชคกุมอยู่

แม้จะเป็นคู่ที่มีปัญหา สามารถบ่อนเบียนอายุขัยได้ก็ตาม

แต่จะทำอย่างไรได้กับชะตากรรมของมนุษย์

เช้าวันนี้ เขาจึงเจอหน้าหิ้งแต่เช้าตรู่

“ผมก็เลยชวนเหินมาด้วยครับอา”

หน้าประตูที่มีลมเย็นยืนรอ

“คงไม่มีใครนอนหลับเลยสักคนค่ะพี่”

“ไม่เป็นไร” ชายหนุ่มก็เลยจูงมือหล่อนเข้าห้องที่มีอาหารเช้าบ้านศัตรูเก่าของพ่อคอยต้อนรับ โดยเหินเดินตามเข้าไปด้วยทีท่าคล้ายเก้อเขิน

“มา…มาเลยเหิน” นางยาใจเรียกเขาอย่างสงสาร เพราะรู้ดีว่าลูกสาวตนนั้นเองคอยก่อเรื่อง “มากินข้าวด้วยกัน”

เหินในวันนี้ยังไม่ฟื้นจากอาการขื่นขมสักเท่าไหร่ ด้วยว่าตนเองก็เพิ่งรู้สึก…ความรักที่คิดว่าไม่สำคัญมากมาย…เมื่อถึงคราวต้องขาดหายไปจริงๆ กับวิ่งมาบอกกล่าวว่า เป็นตายเท่ากัน

ความตื้นลึกของหัวใจเขาบัดนี้…ราวกับซื้อบ้านเงินผ่อนอย่างตั้งใจว่าจะตั้งต้นและตั้งตัว…แต่ครั้นมัวเผลอไผลทำไฟช็อตจนบ้านไหม้ทั้งหลัง จึงเพิ่งตระหนักรู้ถึงความอับปางที่เพียรสรรค์สร้างมายาวนาน

ขณะที่นั่งลงรวมกลุ่มกับทุกคน ณ โต๊ะอาหาร…เขาจึงยังคงนั่งนิ่ง มองดูอาหารเช้าแต่ละจาน มีไข่ดาวสองฟอง ผักกูดต้มเคียงมา พร้อมชามโจ๊กหมูสับ โยเกิร์ตและกาแฟร้อน

ที่โต๊ะนี้ เคยมีลมโชยอยู่ข้างๆ

เสียงกริ่งดังขัดจังหวะ น้าเยี่ยมเยือนจึงทำท่าจะลุกขึ้น แต่เหินห้ามไว้

“เดี๋ยวผมไปดูให้ดีกว่าฮะ”

ทุกคนก็ได้แต่สบตากัน…มองตามเขาไป

เพียงคู่เดียว เปรียวกับสวนสนก็เดินตามกันเข้ามา

นายชัดและลมเย็นจึงต้องรีบออกไปต้อนรับ

“คุณโชยยังไม่ยอมกลับ จะทำยังไงกันดีครับคุณน้า”

หิ้งไม่อยากจะสบตากับหมอนี่เลยจริงๆ หากเมื่อคิดถึงหญิงสูงอายุผู้กำลังรวบรวมหุ้น ก็เลยต้องพลอยพูดด้วยอย่างเสียไม่ได้

“ไม่ยอมกลับก็จะเอาอะไรรับประทาน” ลมเย็นถามอย่างเหนื่อยหน่าย

ทั้งเป็นห่วงและหมั่นไส้น้องสาวที่ชอบทำเรื่อง

สวนสนก็เลยถาม

“หนูตามให้เอาไหมคะ ยังว่างงาน” ว่าพลางหล่อนก็หัวเราะนิดๆ แลเห็นความคมขำปนความสดใหม่ในแววตา “พี่เปรียวกำลังช่วยให้ได้งานล่าม แต่ก็มีคนชวนไปเป็นนักสืบ”

คราวนี้ผู้พูดก็เลยหัวเราะหน้าตาสว่างดวงตาคมงามเงา คล้ายมาช่วยปัดเป่าความร้อนใจของคนในบ้านให้เบาบางลงไป

“แล้วน้องอยากทำอะไรมากที่สุด” หิ้งถาม

“ตอนนี้เป็นนักสืบก่อนก็ดีนะคะ” สาววัยยี่สิบเอ็ดบอกเล่าอย่างไม่จริงจัง

หิ้งจึงได้แต่ยิ้มนิดๆ หากสวนสนก็หันมาถาม

“พี่คนนี้ใช่ไหมที่เป็นแฟนกับคนที่ขับมาชนรถหนู”

“ใช่”

“ท่าทางคอตกไงไม่ทราบ”

เปรียวก็เลยยกนิ้วชี้แตะริมฝีปากพร้อมอมยิ้ม

“หนูก็ช่วยให้เขาคอตั้งขึ้นให้ได้สิ…ได้ไหมล่ะ…ลองเป็นนักสืบสมัครเล่นให้เขาหน่อย”

“เธ่อเอ๊ย…หนูก็พูดไปอย่างนั้นเอง แต่…ไม่เป็นไร…หนูมีเพื่อนเป็นนางแบบคนนึง…เดี๋ยวโทร.ถามเผื่อจะรู้จัก…”

“ถึงตามเจอ…เขาอาจไม่กลับก็ได้”

“ให้มันรู้กันไป” สวนสนบอกกล่าวอย่างไม่ไหวหวั่นเมื่อนึกถึงหน้าตาเกเรของหญิงที่ขับรถมาชนท้าย

เหินแค่นิ่งฟัง หากก็พิจารณาหญิงสาวผู้เพิ่งพบใหม่ไปพร้อมกัน เลยกล้าเอ่ยกับหล่อน

“ช่วยตามโชยให้เจอหน่อยเถอะฮะ ถ้าตามเจอ ผมสัญญา จะพาไปเลี้ยงใหญ่ เอาหรูขนาดไหนก็ได้นะ” คราวนี้ชายหนุ่มผู้น้องผู้ดูเหมือนจะไม่มีส่วนไหนคล้ายชายผู้พี่เริ่มดูอารมณ์ดีขึ้น…ไม่มีมีทีท่าปะเหลาะแกมเอาใจ

“คุณลมโชยเป็นแฟนพี่ใช่ไหมคะ” สวนสนก็เลยถามเพื่อให้ได้ความชัดเจน

“ไม่ใช่แล้วครับ…เป็นแค่เพื่อน…ก็วิ่งเล่นกันมาตั้งแต่เด็กไงฮะ…ตอนนั้นพ่อกับพ่อก็ยังดีกัน…แต่ถึงตอนหลัง พ่อกะพ่อโกรธกันแล้ว เราก็ยังดีกัน…แค่นั้น”

ลมเย็นฟังพลางนึกเอ็นดูเหินผู้บัดนี้ ดูเหมือนจะหมดความโกรธขึ้งลมโชยโดยสิ้นเชิง…เลยคล้ายกับเด็กสองคนเล่นขายข้าวขายของกัน…แลเห็นภาพน้องหล่อนและน้องเขาที่ผ่านวันเวลาตั้งแต่เยาว์วัยมาจนถึงหนุ่มสาว โกรธกันดีกัน วิ่งไล่กันกอดกัน เดี๋ยวหัวเราะเดี๋ยวหน้าบึ้ง หากก็มิได้ขึงโกรธจนสิ้นเยื่อใย

ครั้นลมโชยมาพบชายคนใหม่เท่านั้น ก็บอกออกมาอย่างกล้าแก่นว่า หล่อนรักเขา

แล้วเช่นนี้ ใครจะกล้าไปทำอะไรหล่อนได้

นอกจากคนทั้งหลายจะตะลึงงันไปตามกัน

 

ขณะที่เจ้าตัวผู้เป็นความยุ่งยากของคนทั้งหลายเพิ่งลืมตาตื่นขึ้นในห้องนอนของฟุ้งอย่างมึนงงสงสัยว่านี่คือที่ไหนกัน ถึงได้ผิดสัมผัสผิดกลิ่นถึงเพียงนี้

ครั้นแลเห็นอีกข้างมีทั้งหมอนและผ้าห่มผืนบาง แต่เจ้าของร่างหายวับไปแล้ว จึงรีบผลุนผลันลุกขึ้น ล้วงแปรงสีฟันยาสีฟันที่อยู่ในกระเป๋าเครื่องสำอางออกจากเป้สะพายบ่าที่บรรจุเสื้อผ้าสำหรับผลัดเปลี่ยนมาด้วย พาร่างอันโซเซงัวเงียไปเข้าห้องน้ำที่มีร่องรอยการอาบน้ำเมื่อชั่วโมงที่ผ่านไปของเจ้าของห้อง จนกระทั่งแต่งตัวใหม่เรียบร้อยดี จึงเริ่มหิวละ หากก็ได้ช่วยโยเกิร์ตที่ฟุ้งทิ้งไว้ถ้วยหนึ่งในตู้เย็นปะทังหิว พร้อมกับเสียบปลั๊กหม้อน้ำร้อนชงกาแฟที่เพื่อนวางไว้ให้ซองหนึ่ง…เออ…ฟุ้งเอ้ยฟุ้ง…หล่อนจึงเพิ่งนึกออก ‘ผู้อื่น’ ที่ดีกับตนเอง ทั้งๆ ที่การนึกถึงใครต่อใครนั้น ไม่เคยกรายเข้ามาคั่นความรู้สึกที่เคยมีแต่คำว่า ‘ตนเอง’ นำหน้ามาก่อนเลย

แล้วนี่ฟุ้งหายไปไหน

ก็เลยกดมือถือไถ่ถาม

“เรามารับจ้างช่วยร้านป้าที่เขาขายก๋วยจั๊บตรงข้ามหอพักนี่เอง ได้ค่าแรงวันละ 600 ก็จะเอายังไง ดีกว่าอยู่เปล่าๆ ไหม…พอดีวันนี้ป้าเขาไปต่างจังหวัด ไปสามวัน”

เฮ้อ…หมดเรื่องไป

“แกก็ข้ามมาเซ่…มากินก๋วยจั๊บ ป้าเขาให้ฟรี…อย่าทำเป็นอวดดีไป…ออกมาแล้วล็อคประตูซะด้วย”

ว่าพลางฟุ้งก็รีบปิดมือถือเพราะต้องหันไปช่วยป้าเสิร์ฟก๋วยจั๊บที่นัยว่าสิบโมงก็มีลูกค้าเข้ามา แม้จะยังไม่ถึงกับคับคั่งมือเป็นระวิงเหมือนตอนเที่ยงหรือหลังเที่ยงก็ตาม

ด้วยความหิว…ลมโชยจึงรีบทำตามคำสั่งเจ้าของห้องโดยเร็ว ข้ามถนนไปกินก๋วยจั๊บฟรีที่ร้านนางกิมลี้



Don`t copy text!