ดาราอรุณ บทที่ 36 : ตกอับ

ดาราอรุณ บทที่ 36 : ตกอับ

โดย : กฤษณา อโศกสิน

Loading

ดาราอรุณ โดย กฤษณา อโศกสิน เรื่องของ ‘ลมเย็น’ หญิงสาวที่เกิดในช่วงเวลาที่ดาวประกายพรึกปรากฏบนฟากฟ้าและ ‘หิ้ง’ ชายหนุ่มที่โชคชะตาพัดพามาให้ได้ใกล้ชิดกัน…เมื่อดาวศุกร์ ดารายามแรกอรุณได้นำทางความรักให้ทุกคนที่เกี่ยวข้อง ดาวศุกร์จึงพาให้ชีวิตของเธอเปล่งประกายไม่ต่างไปจากดาราอรุณและนี่คือนวนิยายที่อ่านเอาภูมิใจนำเสนอ

ขณะกำลังกินก๋วยจั๊บนั้น พลันลมโชยก็นึกถึงความ ‘ตกอับ’ ของตนเองขึ้นมาได้

มิน่า…พ่อถึงมีท่าทางสงสารหล่อนไม่เคยคลาย

พ่อนะพ่อ…พ่อ…คิดถึงพ่อขึ้นมาจับหัวใจจนกินได้ครึ่งชามก็พักช้อน ซ่อนน้ำตาไว้มิได้เมื่อนึกถึงความรักความอาทรของบิดา จึงรีบป้ายมันออก น้ำตาที่เพิ่งบอกความจนมุม น้ำตาที่ไม่เคยไหลรินลงมาด้วยว่าเจ้าของดวงตาและดวงใจเคยแต่เริงเล่นกับความทะนง โดยเชื่อเอาเองว่าชีวิตนี้จะไม่มีวันตกต่ำหากยังมีพ่อคอยดูแลคุ้มครอง

แม้วันนี้…พ่อจะยังอยู่ หากแต่ตนเองสิกลับคล้ายไม่อยู่แล้ว

ไม่อยู่เพราะเหตุใด

ก็เพราะใจอันทะนงของตนเองพามาหลังจากบอกเลิกกับน้องเขาโดยเด็ดขาด หันไปก็หมายมาดพี่ชายเนื่องด้วยนึกว่า ความรักนั้นย้ายที่ได้เหมือนย้ายบ้าน

ถ้ามันง่ายขนาดนั้นคง ไม่เกิดการฆ่าฟันกันเพราะหึงสา พาเลยไปสู่ความพยาบาทจนถึงพิฆาตกันให้ตายดับไปข้างหนึ่งละกระมัง

ลมโชยนึกพลางน้ำตาก็ยิ่งพรูพร่างลงมาราวสายน้ำ จึงเวียนใช้กระดาษเช็ดหน้าซับแล้วซับเล่า เฝ้าแต่หันข้างให้คนที่เริ่มทยอยกันเข้ามานั่ง ส่วนฟุ้งยังคงสาละวนช่วยป้าอยู่หน้าเตา ถือถาดเข้ามาวางให้ลูกค้าคนแล้วคนเล่า เพื่อแลกกับค่าแรงวันละหกร้อยบาทแทนวันละแปดพันถึงหมื่นสองพันบาท อันเป็นราคานางแบบระดับกลางผู้ไม่มีชื่อเสียงที่คนถามหาซึ่งหล่อนเองก็เคยเข้าไปทำ แต่ไม่พอใจราคา จึงมักเกี่ยงงานเพราะถือตนว่าไม่จำเป็นต้องง้องาน

ด้วยเหตุนี้ ระยะหลังๆ จึงดูคล้ายหล่อนถูกตัดออกจากความระลึกถึงของวงการนั้น

มีเพียงฟุ้งและเพื่อนบางคนเท่านั้นที่ยังอยู่ ยังดูว่าสามารถพอใจราคาซึ่งอาจต่ำไปบ้างในบางงาน แต่…

มีงานทำยังดีกว่าว่างงาน

นิสัยหนักเอาเบาสู้ดูเหมือนจะมีอยู่ในตัวฟุ้งเต็มร้อย

มีคนเคยมาชวนไปเป็น ‘สาวเอ็น’ คือ เอนเทอร์เทน เฟรนด์ พาชายไปกิน ดื่ม เที่ยว หรืออาจถึงกับนอนด้วยก็ได้แล้วแต่จะตกลง แต่ฟุ้งไม่ยอมรับ

หล่อนเคยบอกกับลมโชยว่า

‘เราไม่เอาละ…เอ็นแอ่นแอ้น…กูทำไม่เป็น’

ก็เลยต้องมาเป็นเด็กเสิร์ฟวันละหกร้อยบาท อันนับว่าคือราคาพิเศษอย่างยิ่งแล้วสำหรับแรงงานรายวัน

ฟุ้งนี่ก็แปลกดีเหมือนกัน

แปลกแต่ดี…หญิงเจ้าอารมณ์นึกขึ้นมาได้ ขณะดึงกระดาษชิ้นเล็กๆ จากกล่องพลาสติกตรงหน้าขึ้นเช็ดน้ำตาที่ยังไม่หยุดไหลริน แม้บัดนี้คนจะทยอยกันเข้ามาจนโต๊ะเต็มทุกที่นั่ง

เหลือเพียงเก้าอี้ตรงกันข้ามที่โต๊ะหล่อน

ครั้นแล้ว…ชายคนหนึ่งก็เดินเข้ามา…

“ที่ว่างนี่นั่งได้ไหมฮะ” เขาเอ่ยถามพร้อมกับเลื่อนม้ากลมลากให้ห่างออกไปจนหมิ่นปลายโต๊ะ พลางสบต ครั้นแลเห็นถนัดว่าอีกฝ่ายมีน้ำตาที่เวียนซับทั้งๆ ยังกินไปได้ครึ่งชาม ก็เลยพึมพำ “ต้องขอโทษด้วยนะคุณ”

“ไม่เป็นไร” หล่อนพยักหน้าพลางเช็ดนัยน์ตาก้มหน้ากินต่อเพราะยังไม่รู้ว่าชั่วโมงถัดไปควรจะทำอย่างไรกับตนเองดี เนื่องด้วยฟุ้งจะยังไม่ว่างอีกนาน เพราะจะต้องช่วยป้ากิมลี้ตลอดทั้งวันจนกว่างานขายจะสิ้นสุดลงราวๆ บ่ายสามหรือสี่ ต่อจากนั้นก็จะต้องตามป้าไปจ่ายของที่ต้องเตรียมไว้ขายพรุ่งนี้

ชายผู้เพิ่งมานั่งสั่งก๋วยจั๊บเรียบร้อยแล้วแค่นั่งรอ เพียงแต่พยายามเบนสายตาไปจากดวงหน้าหญิงผู้ที่นั่งอยู่ก่อน

หล่อนสวยพอใช้เหมือนกัน ใบหน้ากลมขาวสว่าง ท่าทางมีระดับ หากก็คงมีคนจับจองหรือมีคู่ครองเรียบร้อยแล้ว เห็นได้จากแหวนเพชรไม่เล็กนักบนนิ้วนางข้างซ้าย

แต่น้ำตาที่เพิ่งหยุดไหลก็บ่งบอกความในใจชัดเด่น

อย่างน้อยในยามนี้ หล่อนก็คงมีทุกข์จนถึงกับนั่งร้องไห้ในร้านอาหาร

เออ…หล่อนเป็นใครนะ…ชายหนุ่มได้แต่นึกขณะรอ เพียงไม่กี่นาที ฟุ้งก็ถือชามมาวางลงตรงหน้าลูกค้าชาย

เขาจึงเงยขึ้นสบตา พลางเหลือบไปทางลมโชย คล้ายถาม

‘คุณเห็นไหม…มีเรื่องอะไรกันหรือเปล่า’

ฟุ้งก็เลยพยักหน้านิดหนึ่ง แล้วเมินไปเชิงไม่สนใจกับอะไรนัก หันไปรับชามใหม่ที่ป้าเพิ่งทำเสร็จใส่ถาดรวมกันอีกสามชาม เดินมาวางไว้ตรงหน้าเขา ครั้นแล้วจึงนำอีกสองชามไปวางตรงหน้าลูกค้าโต๊ะถัดไป

ต่างก็ก้มหน้าก้มตากินแป้งแผ่นใหญ่กับเครื่องในแกมหมูกรอบในชามที่มีน้ำใสแต่ปรุงแล้วอร่อยลิ้นราคาไม่แพง เหมาะเป็นอาหารกลางวันของผู้คนทุกระดับ

ชายหนุ่มกินช้าๆ…ช้ากว่าเคย…เนื่องด้วยอยากนั่งอยู่อย่างนี้ไปพลาง ไม่คิดจะรีบกินรีบลุกหนีไปไหนเพราะใคร่จะรู้ว่าสาวค่อนข้างสวยด้วยเสื้อผ้ากับแหวนหมั้น มีเรื่องราวในใจมหัศจรรย์เรื่องใดจึงถึงกลับมานั่งร้องไห้เช่นนี้

 

พอดีฟุ้งเริ่มว่างจึงเดินมาถาม

“เอาอีกไหม”

ลมโชยเลยสั่นหน้า ขณะเพียรตัดก๋วยจั๊บเข้าปากเพื่อให้หมดชาม เพราะเริ่มนึกถึงความ ‘ไม่มี’ ขึ้นมาได้ ‘มี’ เมื่อไหร่ ต้องรีบกินให้อิ่มให้หมด ไม่ทิ้งขว้างให้เหลือไว้ครึ่งชามอย่างที่ชอบทำจนเคยตัว

“คุณล่ะคะ” ฟุ้งถามชายหนุ่ม

“ขอแห้งละกันฮะ” เขาก็เลยสั่งเพิ่ม เพราะอยากรอดูน้ำตาหล่อนสืบไป…ว่าจะหยุดไหลเมื่อไหร่…มีเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจใดจนต้องมานั่งร่ำไห้ในร้านโทรมๆ ริมทางเท้าเช่นนี้

ป้ากิมลี้ก็เลยแถมเครื่องในให้เขามากกว่าชามแรกเพราะจำได้ว่าเขาก็เป็นคน ‘แถวนี้’ แหละแต่จะอยู่ตรงไหน เป็นใคร นางไม่รู้

ฟุ้งนำก๋วยจั๊บแห้งมาวางตรงหน้าเขาพลางก็ล้วงหยิบกุญแจห้องแอบส่งให้เพื่อนหญิง ซึ่งเขาเองก็เหลือบมอง หากก็ไม่มีทีท่าว่าอยากจะเข้ามาสอดรู้สอดเห็นเรื่องราวของทั้งคู่ เพียงแต่ชำเลืองดูนิดหนึ่ง ถึงเช่นนั้นก็ได้ยินคนเสิร์ฟกระซิบ

“แกก็กลับไปนอนซะเซ่ เรายังมีงานอีกนาน”

ท่าทางเพื่อนดูจะตั้งหน้าตั้งตาเสิร์ฟอาหารอย่างเอาจริงเอาจัง เพื่อให้นางกิมลี้พอใจว่าเงินค่าจ้างวันละหกร้อยบาทก็คุ้มแสนคุ้มเหมือนกันถ้าได้ลูกจ้างขยันขันแข็งเช่นนี้

ฟุ้งคนนี้ด้วยหรือที่เคยเดินแบบครั้งแรกด้วยกัน

ครั้งนั้น ได้แค่วันละหกพันบาทเท่านั้น

ส่วนการถ่ายแฟชั่นย่อมเยากว่า แต่ก็มีหลายราคาเช่นกัน รวมทั้งต้องระวังถูกหลอกใช้ฟรีคือหนีเรื่องจ่ายเงิน

เรื่องอะไรลมโชยจะต้องลำบากถึงปานนั้น

เงินได้มาประเดี๋ยวเดียวก็หมดแล้ว

แต่ฟุ้งไม่มีผู้อุปถัมภ์รายการ จึงจำเป็นเรื่องกัดฟันสู้ ต้องพยายามรอบรู้ทุกรูปแบบ มิว่าจะแยบยลระดับไหน เพราะโกงใครก็ไม่สาหัสเท่าโกงคนไม่มีทางไป

ไม่มีครอบครัว พ่อแม่พี่น้องคอยค้ำจุน

ไม่เหมือนลมโชยที่แสนจะมีแต่ความอบอุ่นแวดล้อม

ลุงโพย สามีป้าเป็นแคชเชียร์อยู่ที่เคาเตอร์กับลูกชายล้างจานชาม แต่กำลังสำคัญก็ยังได้แก่นางเน้ย น้องสาวผู้ขอตัวไปเยี่ยมเพื่อนเจ็บหนักที่นครสวรรค์อยู่ดี เนื่องด้วยนางเป็นคนจ่ายกับข้าว ทำเครื่องเคราก๋วยจั๊บไว้เตรียมรับรองลูกค้าแต่ละวัน

ในที่สุด ลมโชยก็ต้องวางช้อนเพราะมิอาจฝืนกินจนหมดชาม แต่ในชามของฝ่ายชายผู้นั่งเยื้องอยู่ตรงหน้าไม่มีเหลือแม้แต่เศษแป้ง เขาก้มหน้ากินอย่างเอร็ดอร่อยจนหมดภายในมินาน ดูมีความสุขสำราญในการกินอย่างน่าอิจฉา

เหตุไฉน ท่าทางเขาจึงไม่รำคาญกับความเป็นบ้านๆ ข้างทางบาทวิถีเอาเสียเลย ลมโชยนึกในใจขณะที่กำลังลังเลว่าจะวางช้อน เช็ดปาก ชำระเงินแล้วเดินดุ่มๆ ข้ามถนนไปสู่คอนโดหรือหอพักตกยุคที่ตนเองแข็งใจมาขอเอาหัวเกยหมอนพอให้นอนหลับผ่านข้ามคืนดีหรือไม่ หรือจะหาทางเตร็ดเตร่เดินไปเดินมาสำรวจร้านค้าว่ามีร้านขายอะไรบ้าง เป็นต้นว่าร้านกาแฟทันสมัยหรือพ้นสมัยซักหนึ่งร้าน จะได้พอมีที่นั่งคิดว่าจะไปต่อไปอย่างไรดี

แม้นจะแลเห็นไลน์ของลมเย็นขึ้นไวๆ เมื่อสักครู่

“ถ้างั้นเราไปกินกาแฟนะ” พลางก็กระซิบเบาๆ กับเพื่อนยามยาก ฟุ้งก็เลยปุ้ยใบ้ไปทางขวามือ “ไม่แน่ บางทีเราก็จะนั่งอยู่ที่นั่นล่ะ…แกเสร็จงานก็ไปหาละกัน…ยังไม่กลับห้องละนะ”

ฟุ้งพยักหน้าอย่างคนไม่มีเวลาแม้แต่หนึ่งนาที

คนไม่มีจะกินไม่มีที่พึ่งกับคนมีอันจะกินมีที่พึ่งนี่มันผิดกัน

ทันทีที่ลมโชยออกจากร้าน ใครคนหนึ่งก็เดินตามไป 

 



Don`t copy text!