ดาราอรุณ บทที่ 37 : มิจฉาชีพกับคนดี

ดาราอรุณ บทที่ 37 : มิจฉาชีพกับคนดี

โดย : กฤษณา อโศกสิน

Loading

ดาราอรุณ โดย กฤษณา อโศกสิน เรื่องของ ‘ลมเย็น’ หญิงสาวที่เกิดในช่วงเวลาที่ดาวประกายพรึกปรากฏบนฟากฟ้าและ ‘หิ้ง’ ชายหนุ่มที่โชคชะตาพัดพามาให้ได้ใกล้ชิดกัน…เมื่อดาวศุกร์ ดารายามแรกอรุณได้นำทางความรักให้ทุกคนที่เกี่ยวข้อง ดาวศุกร์จึงพาให้ชีวิตของเธอเปล่งประกายไม่ต่างไปจากดาราอรุณและนี่คือนวนิยายที่อ่านเอาภูมิใจนำเสนอ

 

ครั้นแล้วลมโชยก็พบร้านกาแฟพออาศัยได้ ไม่ถึงกับเป็นร้านสมัยใหม่ตามที่ผู้คนนิยมนั่ง แต่ก็ไม่เก่าโทรมจนไม่อยากเข้า เนื่องด้วยเป็นร้านที่ตกแต่งไว้อย่างงามทั้งเคาน์เตอร์เก้าอี้ที่นั่งเรียงกันเรื่อยไปจากประตูทางเข้า ขนาดโต๊ะละสองเก้าอี้แต่ต้องบริการตนเอง

หล่อนก็เลยเดินไปซื้อกาแฟและเค้กจากคนขายสตรี แล้วกลับมานั่งบนที่ที่ไม่ไกลจากประตู

น่าแปลกใจพี่ชายผู้นั้นตามเข้ามาด้วย มาซื้อกาแฟ…แล้วนั่งลงบนเก้าอี้ตรงข้าม

“คุณมีทุกข์อะไรถึงกับร้องไห้ บอกได้ไหมฮะ” เขาเอ่ย หลังจากยกถ้วยขึ้นจิบ

คราวนี้ต่างฝ่ายจึงต่างก็เพ่งพิศดวงหน้าอิริยาบถกันและกันอย่างเต็มตา

ชายที่พบในร้านเป็นหนุ่มหน้าตาดี…เห็นได้ชัดว่ามีความกล้าเพียงพอที่จะใช้มารยาทไม่มากไม่น้อยค่อยๆ แนะนำตนเองโดยมิให้อีกฝ่ายเกรงภัยว่าจะเป็นมิจฉาชีพ

“ผมเห็นคุณร้องไห้เมื่อกี้ก็เลยสนใจ…เพราะตัวเองก็กำลังร้องไห้เหมือนกัน” อีกฝ่ายเอ่ยเบาๆ ยิ้มๆ ขณะกะพริบตาถี่…ดวงตาที่ลมโชยเพิ่งสังเกตเห็นว่าเป็นที่รวมของความในใจอันชัดเจนคู่หนึ่งนี้คล้ายหน้าต่างที่มองเข้าไปมีเรื่องราว

“เรื่องอะไรคะ”

“โอย…เรื่องมันยาวมากจนคุณคงฟังไม่ไหวมังอะ” อีกฝ่ายตอบยิ้มๆ อย่างสงวนทีท่า “ว่าแต่ว่า…คุณยังไม่ได้บอกเลยว่าเมื่อกี้คุณร้องไห้เรื่องอะไร…กับผู้หญิงเสิร์ฟในร้านก๋วยจั๊บเป็นอะไรกัน”

“เพื่อนค่ะ…เขามารับจ้างป้าแค่สามวัน”

“ท่าทางไม่น่าจะมาเสิร์ฟที่ร้านนี้เลย…” เขาแค่เปรยๆ เชิงนำทางให้อีกฝ่ายเล่าเอง

“เขากำลังตกงานน่ะค่ะ…พอดีก็รู้จักคุ้นเคยกับป้า เลยชวนมาทำแค่สามวัน รอป้าอีกคนกลับจากต่างจังหวัด”

อีกฝ่ายนิ่งฟังพร้อมมองหน้า

“ตกลงคุณก็อยู่แถวนี้เหมือนกันหรือฮะ”

“ไม่ได้อยู่ค่ะ…เอ้อ…” ลมเชยชักจะเริ่มอึดอัด เพราะไม่แน่ใจว่าคนคนนี้มาไม้ไหน

 

หล่อนเองก็มิได้สิ้นไร้ไหวพริบเอาเสียทีเดียว แม้ว่าชีวิตจะวนเวียนอยู่กับโลกที่ดูเหมือนจะแคบและโง่เขลาของหญิงสาวไม่เอาถ่านก็ตามที

เพราะแท้จริงแล้ว ตนเองก็ได้ความรู้จากโลกบนเครื่องมือสื่อสารประจำตัวเพียงพอที่จะต่อเติมให้สิ่งต่างๆ ผ่านเข้ามาตอบสนองความปรารถนาใดใดก็ได้

‘เพียงแค่ต้องระวังไว้เท่านั้นนะโชย อย่าหลงไปกดอะไรที่จะพาเราไปถูกต้มได้’ พี่สาวคอยเตือนไว้สม่ำเสมอ ‘อะไรที่ไม่เกี่ยวกับเราไม่ต้องเข้าไปยุ่ง ถึงจะเกี่ยว ก็ต้องรู้ที่มาที่ไป…ใครต่อใครก็โดนแฮกกันเยอะแยะเห็นไหม’

ที่จริง พี่เย็นก็แสนหวังดีเอาใจใส่รองไปจากบิดา

แต่พอรู้สึกว่าต่อไปนี้จะต้องมาเป็นคู่แข่งกัน หล่อนก็พลันแหนงหน่ายจนใกล้ๆ จะอิจฉาริษยาเอาทีเดียว

“อยู่ไกลจากนี่พอใช้” ในที่สุดก็เลยเอ่ยออกมา

“ไม่เป็นไรหรอกฮะ…ผมแค่อยากปลอบใจคุณนิดเดียว ไม่อยากเห็นผู้หญิงสาวๆ สวยๆ ร้องไห้” พลางเขาก็แย้มริมฝีปากออกยิ้มนิดๆ เชิงปลุกปลอบใจแถมสัพยอกไปพร้อมกัน “ว่าแต่ว่า…เรามาแลกชื่อกันดีกว่าไหม…ชื่อจริงก็ได้ เล่นก็ได้ ผมชื่อพันศร นามสกุลอะไรยังไม่ต้องทราบดีไหมฮะ”

คราวนี้ ลมโชยก็เลยต้องยิ้มพร้อมพยักหน้า

“ก็ได้ค่ะ…ฉันชื่อลมโชย”

“ชื่อเพราะมาก ยังไม่เคยได้ยินที่ไหนเลยนะ” เขาออกอุทานเบาๆ อย่างจริงใจ “ใครตั้งน่ะครับ”

“พ่อค่ะ…คือย่าฉันชื่อลม…ลมเฉยๆ นะคะ…พ่อก็เลยเอาชื่อย่ามานำหน้าชื่อลูก…ฉันมีพี่สาวคนเดียวชื่อลมเย็น พอดีแม่ชื่อยาใจ พ่อชื่อชัด ก็เลยเป็นลมเย็นกับลมโชย” เมื่อถึงนาทีนี้ หญิงสาวเริ่มหายอึดอัดเพราะความเป็นกันเองของอีกฝ่าย รวมทั้งไม่มีทีท่าว่าเขาจะหาทางหมายตามเรื่องใด การสนทนาเนื่องด้วยได้พบปะโดยบังเอิญคงจะผ่านไปในที่สุด เพราะดูเหมือนเขาเองก็จะลื่นไหลตามไปอย่างง่ายๆ ไม่เจาะจงเรื่องใดเป็นพิเศษ

“อือ…ครอบครัวคุณนี่คงน่ารักมากเลยนะฮะ…ได้ยินแค่ชื่อก็รักละ” คราวนี้เขาหยอดทิ้งท้ายไว้หน่อยหนึ่ง

ดูเอาเถอะ…ในที่สุด ถ้อยคำของเขาก็พาหล่อนเจ้ามาถึงตรงนี้จนได้

ตรงนี้ก็คือ หล่อนอยากให้เขาไปดูดวงกับพ่ออย่างไรล่ะ

ดูซิว่า เขาคือใคร มีอาชีพอันใด

 

แต่แล้วจึงชะงักเมื่อนึกขึ้นมาได้

ชายผู้นี้คือใครก็ยังไม่รู้ ผู้คนสมัยนี้มิใช่สามารถจะไว้ใจกันได้ง่ายๆ ยิ่งบังเอิญมาพบเจอกันริมทางเท้าแล้วพาไปเข้าบ้าน จะเป็นไปได้อย่างไร แม้ว่าจะดูลาดเลาจากการแต่งกาย ก็ไม่บ่งบอกตรงไหนว่าเขามีอาชีพอะไร ด้วยว่าเสื้อผ้าที่สวมใส่ก็คือกางเกงดำ เสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาว ม้วนปลายขึ้นมาเกือบถึงข้อศอก หวีผมเรียบเหมือนคนทั่วไป เพียงแต่ดวงตาค่อนข้างกว้างเท่านั้นที่ดูขึ้นเงายามมีเรื่องให้เขาสดชื่นตื่นเต้น

ฉะนั้น ถ้าจะให้ดี ลองคุยเล่นๆ กับเขาไปพลาง

ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ วันหยุดยาว…นั่นน่ะสินะ…ว่าแต่ว่า…เขาทำงานอะไร

จะถามเดี๋ยวนี้ประสาคนใจร้อน ต้องได้ดังใจทุกนาที ก็จะดูเหมือน…เหมือนอะไร

เหมือนอยากรู้จักเขามากไป หรือไม่ก็เหมือนไม่มีมารยาท ในเมื่อก็เพิ่งพบหน้ากันไม่เกินชั่วโมง

จริง…ลมโชยบอกตนเองเป็นครั้งแรกในรอบ 23 ปี นับแต่มีลมหายใจเป็นต้นมา

ว่าแต่ว่า…อายุเขาจะสักเท่าไหร่นะ…แก่หรืออ่อนกว่าหิ้งหรือเหิน

คงไม่อ่อนกว่า

แต่ก็คงไม่แก่กว่ามาก หล่อนคะเนในใจ

หากทันใดนั้น เขาก็เอ่ยถาม

“จบจากตรงนี้แล้วคุณจะไปไหนไหมฮะ ถ้าไป ผมไปส่ง ผมจอดรถไว้หน้าร้านป้า เห็นใกล้ๆ เลยไม่ย้าย ขืนย้ายมาก็ไม่มีที่จอดอยู่ดี”

จริงของเขา…เมื่อมองออกไปยังบาทวิถีก็แลเห็นพาหนะเรียงราย

เอ…เอายังไงดีนะ…หญิงผู้มีชื่อว่ากล้าแก่นเริ่มลังเล

ฉันเนี่ยเหรอจะนั่งรถไปกับชายแปลกหน้าผู้เพิ่งเจอกันในร้านก๋วยจั๊บ…ขณะที่ฉันกำลังโศกา

เหมือนละครยังไงยังงั้นจริงๆ

ไม่น่าเชื่อว่านี่คือเรื่องราวที่เกิดขึ้นได้บนถนนสายโซเชียลของปัจจุบัน

แต่ถึงอย่างไร มันก็เกิดขึ้นแล้ว…หากก็ช่วยให้ผู้ที่เคยแกล้วกล้าต้องนิ่งคิดหาทางว่า…

จะจัดการกับมันอย่างไร

แต่คงไม่ใช่นั่งลอยหน้าไปกับเขา

เมื่อมาถึงนาทีนี้ ลมโชยหายเหงาแล้วกลายเป็นนึกสนุกกับการผจญภัยใหม่เอี่ยมที่หล่อนไม่เคยคิดว่าตนเองจะพานพบบนเส้นทางสายตามอารมณ์

“ขอบคุณนะคะ…แต่ฉันคงต้องรอเพื่อนก่อนค่ะ”

“คนเสิร์ฟเมื่อกี้ใช่ไหม” ชายหนุ่มผู้ที่หล่อนกะเอาเองเดี๋ยวนี้ว่า อายุคงราวสามสิบหรือมีเศษเล็กน้อยเอ่ยต่อ

“ใช่ค่ะ”

“ดูเหมือนจะชื่อฟุ้ง” อีกฝ่ายพึมพำยิ้มๆ “ท่าทางเอาการเอางาน ผมเห็นแกบ่อย เดินอยู่แถวนี้ แต่ไม่เคยเห็นคุณ รูปร่างแกดีมาก เห็นป้าบอกว่าแกเป็นนางแบบ ผมยิ่งงงใหญ่…เพราะไม่มีกรีดกรายเลย…ยิ่งวันนี้มาเห็นแกเต็มๆ แบกถาด…ก็ยิ่งเลื่อมใส”

ได้คุยกันต่ออีกไม่กี่ประโยคยิ่งแน่ใจว่าเขาคงมิใช่มิจฉาชีพ

เออ…ที่จริงมิจฉาชีพกับคนดีๆ นี่จะดูผิดแปลกๆ ต่างกันตรงไหนบ้าง ก็ยังไม่รู้เลย…เห็นผู้คนต่างก็ส่งไลน์เตือนกันว่า ‘ระวังมิจนะ’ หล่อนก็อ่านไปอย่างนั้น ยิ่งบอกว่าอย่ากดตรงนั้นตรงนี้เพราะมันจะดูดเงินในแบงค์ของเราไปหมด ก็ยิ่งไม่เข้าใจ เพราะเงินนั้นคนอย่างหล่อนไม่เคยมี ไม่ว่าบัญชีไหน ขอแม่ใช้ไปวันๆ ก็พอใจแล้ว

ใช้จนเกลี้ยง เหลือแต่เศษสตางค์ก็ยังไม่เคยตกใจกลัว

จะมี ‘มิจ’ คนไหนสามารถรีดเงินจากกระเป๋าหล่อนได้นอกจากตัวหล่อนเอง

นึกแล้วก็ได้แต่ขำ

ขณะเดียวกันก็ลองเปิดมือถือ เพราะเริ่มอารมณ์ดีพอที่จะอ่านหรือรับสาย

ก็พอดีทีเดียว

“ฮัลโหล” เสียงไม่สู้คุณหูดังขึ้น ครั้นแล้วจึงต่อด้วยคำว่า “นี่หนู…สวนสนนะคะ…พี่อยู่ตรงไหนน่ะ…มีเรื่องด่วนอยากเล่าให้ฟังนิดหน่อย…”

เสียงเด็กคนนั้นนั่นเอง…บอกไม่ถูกว่าเหตุอันไหนจึงรู้สึกหมั่นไส้ชังนำหน้าตั้งแต่เห็นมันเลื่อนหน้าต่างรถชะโงกดูหน้าหม้อราวกับจะอวดใครๆ ว่า…นี่…พี่…เห็นไหม รถฉันสวยไหม…เท่านั้นเอง หล่อนก็เลยชนท้ายมันเข้าให้จะได้สะใจโก๋หน่อยไง

ราวกับ ‘มัน’ รู้งั้นแหละว่าเพิ่งเปิดไลน์

คืออารมณ์ตนเองบัดนี้เริ่มดีแล้ว…ดีพอที่อยากจะได้ยินคนที่บ้านโทร.มาง้อหรืออะไรทำนองนั้น แล้วจะได้บอกเล่าถึงการผจญภัยบนทางเท้าที่พาเอาคนหน้าใหม่เข้ามา จะได้ช่วยกันตัดสินใจว่าจะพาเขามาดูหมอกับพ่อดีหรือไม่

“เรื่องอะไร” ลมโชยมิวายตวัดปลายเสียงอย่างไม่ยอมถูกชะตา

“ไม่เป็นไรนะคะถ้าไม่อยากฟัง” คนทางปลายสายก็เลยตัดบทปิดสายทันใดนั้น

คราวนี้ก็…เอาละซี…

แต่เรื่องอะไรจะโทร.ถึง ‘มัน’ ให้เสียศักดิ์ศรี ก็เลยโทรเข้ามือถือพ่อ

“มีเรื่องด่วนอะไรหรือพ่อ ถึงต้องวางยัยนั่นส่งเสียงไป”

“มี” นายชัดได้แต่ยิ้มกับโทรศัพท์

ในที่สุดก็จบลงจนได้หลังจากลมโชยหายไปทั้งคืน รวมทั้งวันนี้ที่ทำท่าจะลามไปเป็นคืนที่สอง

คนทั้งบ้านต่างก็กินไม่ได้นอนไม่หลับ รวมทั้งหิ้งและเหิน

“อะไรจะตามใจกันยังกะเทวดานางฟ้าขนาดนี้” หิ้งออกปากถึงลมเย็น เพราะทนความแล้งน้ำใจของน้องสาวหล่อนไม่ไหว “ถ้าไม่เห็นแก่ใคร ก็ต้องเห็นแก่พ่อแม่ที่เขาเป็นห่วงตัวจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ”

 



Don`t copy text!