ดาราอรุณ บทที่ 38 : สีเข้มกับสีอ่อน

ดาราอรุณ บทที่ 38 : สีเข้มกับสีอ่อน

โดย : กฤษณา อโศกสิน

Loading

ดาราอรุณ โดย กฤษณา อโศกสิน เรื่องของ ‘ลมเย็น’ หญิงสาวที่เกิดในช่วงเวลาที่ดาวประกายพรึกปรากฏบนฟากฟ้าและ ‘หิ้ง’ ชายหนุ่มที่โชคชะตาพัดพามาให้ได้ใกล้ชิดกัน…เมื่อดาวศุกร์ ดารายามแรกอรุณได้นำทางความรักให้ทุกคนที่เกี่ยวข้อง ดาวศุกร์จึงพาให้ชีวิตของเธอเปล่งประกายไม่ต่างไปจากดาราอรุณและนี่คือนวนิยายที่อ่านเอาภูมิใจนำเสนอ

 

“พ่อให้คนโทรตามแล้วค่ะ” ลมโชยก็เลยต้องตัดสินใจบอกเขา “เดี๋ยว…ถ้างั้น…ฉันขอตัวกลับไปก่อนดีกว่า…เผื่อที่บ้านมีธุระด่วน”

“ขอผมไปด้วยคุณจะว่าอะไรไหม” พันศรผู้บัดนี้ดูเหมือนจะละลายความเป็นชายแปลกหน้าผู้ที่หญิงสาวมิควรจะวางใจได้หมดสิ้นภายในเวลามินานถามเรียบๆ ซ่อนความยินดีไว้ไม่มิด เห็นได้จากแสงตาของเขา

เป็นแสงตาที่ทั้งหิ้ง เหินและเปรียวไม่มี…ด้วยว่า ทั้งขี้เล่นและจริงจัง…รวมทั้ง…เออ…รวมทั้งอะไรอีก ลมโชยนึกในใจ

รวมทั้งมิใช่คนโง่

แต่จะมีความคดเคี้ยวเลี้ยวลดอยู่ด้วยหรือไม่ หล่อนยังดูไม่ออก บอกได้แต่ว่า ท้ายที่สุดก็ต้องตัดสินใจ

“คงไม่ว่าหรอกค่ะ” แต่ก็ยังคงอ้อมแอ้มหน่อยหนึ่ง

“ถ้างั้น คุณรออยู่นี่ ไม่ต้องเดินไป ขอผมไปเอารถก่อน…จะได้สะดวก…” ดูเขาเป็นสุภาพบุรุษเลยละทีนี้

ลมโชยก็เลยขอบคุณ

สักครู่ รถแบรนด์ดังก็แล่นเข้ามาเทียบทางเท้า แล้วหล่อนก็ก้าวขึ้นไป นั่งคู่กับเขา

หากก็ยังสงสัยว่า ที่ตรงนี้เคยมีใครอื่นนั่งเคียงคู่อยู่หรือไม่

ถึงอย่างไรก็ต้องมี

แต่จะมีหรือไม่ หญิงสาวก็เริ่มระวังระไวตนเอง จึงไม่คิดจะโพล่งถาม

อีกประเดี๋ยว…ถ้าเขากับพ่อได้พบกัน

อาชีพของพ่อที่ประดุจแว่นขยาย ก็คงบรรยายรายละเอียดตัวเขาจากวัน เดือน ปี เวลาตกฟากออกมาได้ทั้งเบื้องหน้าเบื้องหลัง ทั้งพื้นเพ พื้นฐานและพื้นภูมิ

วิชาการใดเล่าจะสามารถเล่าชีวิตคนได้ถ้วนถี่เท่าวิชาโหรที่พ่อมีอยู่

เขาพารถตรงไปตามถนนใหญ่อีกราวกิโลเมตรเศษแล้วต้องย้อนกลับใต้สะพานทางด่วนเพื่อไปเข้าซอยของหมู่บ้าน

อีกฝ่ายก็เลยครางเบาๆ

“อ๋อ…หมู่บ้านนี่เอง ผมผ่านบ่อย”

“แล้วบ้านคุณล่ะคะ อยู่ไกลไหม”

“ไม่ไกลฮะ…ก็อยู่ฝั่งเดียวกับร้านป้านั่นแหละ เพียงแต่ห่างกันหัวเลี้ยวเดียว” เขาบอกเล่าอย่างเห็นได้ชัดว่าไม่คิดจะปิดบังใดใด

แต่ลมโชยก็ไม่ถึงกับโพล่งถามว่าเขามีครอบครัวแล้วหรือยัง

ทำไมวันหยุดเช่นนี้ เขาจึงมาเพียงลำพัง ไม่พาใครต่อใครที่ควรพามาด้วย

ก็ช่างเถอะ…ไม่จำเป็นต้องถามทั้งๆ อึดอัดขัดข้องแทบแย่ เพราะไม่เคยต้องสะกดกลั้นการตามใจตนเองมาก่อนมิว่าเรื่องใด

ในที่สุดก็ถึงบ้าน

ลมโชยกดกริ่งรัวๆ อันเป็นสัญญาณประจำตัว เพื่อให้คนทางบ้านรู้ว่า มาแล้วนะ ลูกสาวคนเล็กที่หายไปทั้งคืน…มาแล้ว

อือ…มีคนโผล่มาต้อนรับสลับสลอนเลยทีเดียวเมื่อประตูเลื่อนออกพอให้ก้าวเข้าไปได้

“เดี๋ยวจะแนะนำให้รู้จักพ่อแม่พี่สาวค่ะ ป่านนี้คงกลุ้มใจแย่แล้ว”

พันศรได้แต่ยิ้มๆ เดินตามเข้าไปจนถึงคนทั้งกลุ่มที่ยังคงยืนออเต็มหน้าประตู

 

และเห็นชัดว่าทุกคนยังงงงันอั้นอึ้งเมื่อหล่อนพาเขาเดินไปถึงพลางแนะนำ นี่พ่อ นี่แม่ นี่พี่สาว นี่เพื่อนพี่…พร้อมกับบอกกล่าว

“พ่อเป็นหมอดู หมอนวด หมอยานะคะ…เชิญคุณพันศรได้ที่โต๊ะนั่นเลยค่ะ ถ้าอยากดูหมอ พ่อก็ดูได้เลย” ลมโชยบอกเขาอย่างคล่องแคล่วด้วยทีท่าเหมือนไม่เคยขวางโลกมาก่อน แม้แต่เหินผู้ที่วันนี้ตามพี่ชายมาด้วยเช่นกัน พลันก็มองหล่อนนิ่งอยู่…หากก็ไม่รู้จะแปลกใจที่ลมโชยหายไปคืนหนึ่งกับอีกครึ่งวัน ครั้นแล้วจึงกลับมาพร้อมชายหนุ่มท่าทางดีที่อาจเคยเป็นนายแบบรู้จักกันก็เป็นได้

“เชิญนั่งค่ะคุณพันศร” น้องคนเล็กจัดแจงเรื่องเก้าอี้ให้เขานั่งลงตรงหน้าบิดา “บอกวัน เดือน ปี เวลาตกฟากเลยซีคะ…เดี๋ยวพ่อดูให้..”

นายชัดอดขำแกมกังขาท่าทีวาจาลูกคนเล็กมิได้

ใครจะนึกว่า ‘ดาวพระศุกร์’ ที่ต่างกันจะพาเอาบุคลิกลักษณะ รสนิยม กิริยาท่าที ความสำเร็จและความล้มเหลว ความสุขสวัสดี ความทุกข์แสนทวี ความมั่งมีและยากจนมาปรากฏในวงกลมที่เรียกว่า ‘ดวง’ ได้ชัดเจนเห็นปานฉะนี้

ดังนั้น จึงพยักหน้า

“เอ้า…คุณบอกมา เกิด วัน เดือน ปี เวลาอะไร”

ชายหนุ่มนิ่งไปอึดใจเต็ม…พลางหันไปมองผู้คนที่เมื่อครู่คล้ายพรูตามกันมา แต่บัดนี้ต่างก็ค่อยๆ หลบเข้าไปข้างใน เหลือไว้แค่ลมโชยคอยกำกับ

ผูกดวงเสร็จสรรพแล้ว หมอดูจึงเงยหน้าขึ้นถามเขาว่า

“นี่คุณเป็นพ่อม่ายใช่ไหม”

“ครับ…ผมหย่ามาหลายปีแล้ว…” อีกฝ่ายตอบเรียบๆ ด้วยสีหน้าปราศจากความรู้สึกใดๆ

“มีลูกชายคนนึงนะฮะ”

“ใช่ครับ…ผมกับลูกยังอยู่กับคุณแม่กับพี่สาว”

ว้า…ลมเย็นได้แต่ร้องในใจ

“แต่คุณก็เป็นคนเก่งนะ…เงินน่ะไม่ค่อยมี…แต่ปัญญามีมาก”

“อยากมีเงินกับเขามั่งไงฮะ”

หมอดูก็ได้แต่ยิ้มๆ

“พอมี…แต่ไม่มาก…”

โธ่เอ๊ย…หิ้วมาทั้งทีไหงจนขนาดนี้ หญิงแก่นแก้วสุดแสนผิดหวัง

 

ฝ่ายคนข้างในอันมีหิ้ง เหิน ลมเย็น ต่างก็นั่งอยู่ด้วยกันที่โต๊ะกินข้าว นางยาใจกับน้าเยี่ยมเยือนยังคงบรรจุยาลงกล่องลงขวดตามเคยที่มีคนทยอยสั่งเข้ามาทุกวัน เพียงแต่ในสมองของสองนาง ณ บัดนี้เริ่มมีการริเริ่มที่หิ้งและสวนสนนำมาโปรยปรายไว้ แม้จะยังไม่มีรูปกายปรากฏเป็นตัวตน แต่ก็มีคำขวัญประโยคหนึ่งซึ่งเพิ่งรับรู้ พรูเข้ามาบรรจุเต็มทีละน้อย

นั่นก็คือ การพัฒนาสมุนไพรอย่างครบวงจร ควบคู่ไปกับธุรกิจครอบครัว

หลังจากหิ้งไปทำงานในบริษัทพลังงานใหญ่เรียบร้อยแล้ว ก็จะไม่ทิ้งครอบครัวของหญิงสาวสุดที่รักให้ผจญกับความไม่สันทัดในการสืบสานสร้างสรรค์ธุรกิจทั้งสองสายให้กลายเป็นเนื้อเดียวกัน

เนื่องด้วย ‘ธุรกิจครอบครัว’ ก็มีส่วนบุกเบิกจากงานเล็กสู่งานใหญ่ได้ราบรื่น หากสามารถนำพาคนในครัวเรือนให้พร้อมใจกันดำเนินงานอย่างมีคุณภาพ เพื่อเข้าสู่ระบบมืออาชีพให้จงได้

ความสำเร็จทั้งหลายทั้งปวงย่อมไม่มีวันหายไป

เงินยี่สิบกว่าล้านที่นางยาใจจะได้รับ…ย่อมสามารถนำมาต่อยอดงานใหญ่เพื่อให้ทั้งงานและเงินหลากหลายคล่องตัวกว่าที่เคยเป็นมา

ลมเย็นเองก็กำลังช่วยเขาคิด…ครั้นแลเห็นน้องสาวพาชายคนใหม่มาแนะนำ คล้ายมารายงานตัว ก็ได้แต่กลัวจะเกิดเรื่อง

หล่อนก็เลยลุกไปนั่งข้างเหินพลางถามเบาๆ

“พี่ไม่โมโหใช่ไหม”
“โมโหเรื่องอะไร” อีกฝ่ายย้อนอย่างเห็นได้ชัดว่าหมดอาการเยื่อใย

“ก็เรื่อง…คนข้างนอกไง…”

“ไม่เลยเย็น…ไม่รู้สึกอะไรเลย…เพียงแต่…เป็นห่วงนิดหน่อยแค่นั้นที่น้องเธอ…เฮ้อ…” เหินก็ได้แต่ถอนใจดัง “ไม่มีวันแก้หาย…”

“ไม่รู้ใคร” ลมเย็นส่ายหน้า “คงนายแบบเพื่อนเขาก็ได้…เออ…อย่าไปเดือดร้อนอะไรให้มากดีกว่า”

“คุยกันเรื่องมีสาระดีกว่า” หิ้งก็เลยตัดบท เนื่องด้วยกำลังหงุดหงิดที่มีเปรียวกับสวนสนมานั่งอยู่บนเก้าอี้รับแขกด้วยจนได้ในบ่ายนี้

เมื่อกี้ หล่อนจึงทักทายในฐานะผู้ตามหา

‘สวัสดีค่ะพี่’ หล่อนเอยกับลมโชยด้วยสีหน้าแจ่มใสเหมือนไม่มีเรื่องใดขึ้น “ดีใจจังที่เจอพี่ หนูเองก็มัวไปนัดพบกับพี่เปรียว พี่เขาพาไปแนะนำให้รู้จักคนที่จะมาจ้างไปทำงานวันจันทร์”

พลางเจ้าตัวก็เหลือบไปทางชายผู้ยังคงนั่งฟังคำพยากรณ์พร้อมยิ้มๆ

ลูกสาวบ้านนี้นิสัยห่างกันราวสีเข้มกับสีอ่อน

คนสีอ่อนก็อ่อนโยนอารมณ์ดี เพราะตั้งแต่ได้รู้จักกันไม่กี่วัน คนสีอ่อนก็มีแต่พูดจาเป็นเรื่องราวเอาอกเอาใจ ตั้งแต่พ่อแม่ น้า ชายคนรัก

แต่คนสีเข้ม…ข้นแข็งแทบทุกวันทุกชั่วโมง มิรู้เหน็ดเหนื่อย ท่าทางเหมือนคอยหาเรื่องกับคนนั้นคนนี้ตลอดมา…ก็นับแต่วันที่หาทางชนท้ายรถคันงามของเรานั่นแหละ ส่วนส่วนนึกในใจ

แม้วันนี้ รถก็ยังซ่อมไม่เสร็จต้องเกาะท้ายจักรยานยนต์ของพี่เปรียวมาอีกตามเคย

‘ได้ยินเสียงพี่ตอบมา หนูเหมือนคนทำงานเสร็จเลยล่ะค่ะ เพราะสัญญากันไว้ว่าจะช่วยตามพี่ให้…ขอบคุณมากเลยค่ะ…เมื่อคืนพี่ค้างที่ไหนคะ’

แต่ลมโชยทำหน้าบึ้ง ไม่ตอบคำ นอกจากทำตาเขียวเข้าใส่ เหมือนจะถามว่า

‘แล้วแกเผือกอะไรด้วย’

“ไอ้หมอนั่นมาอีกละ” หิ้งงึมงำในลำคอพอได้ยินกันสามคน

“ใครน่ะพี่” เหินได้แต่สงสัย

หิ้งก็เลยพยักหน้า

“ลองถามคนนี้ดูได้”

เหินจึงเดินออกมาที่ห้องรับแขก ก็พอดีสวนสนเหลียวมามอง

ดวงตาสองคู่จึงสบกัน

ตรงกันข้ามกับลมโชยกลับสะบัดหน้า

แต่เหินก็ทักทาย จี้ใจ

“หายไปไหนมาทั้งคืนกับค่อนวัน คนเดือดร้อนกันทั้งบ้าน”

เขาก็เลยแกล้งประจานเสียดื้อๆ จนชายที่โต๊ะพยากรณ์หันมา



Don`t copy text!