ดอกฟ้ายาใจ บทที่ 16 : วันแรกในสลัม

ดอกฟ้ายาใจ บทที่ 16 : วันแรกในสลัม

โดย : พงศกร

Loading

ดอกฟ้ายาใจ นวนิยายแนวยั่วล้อที่ พงศกร เขียนเอาไว้เมื่อหลายปีก่อน ได้รับความนิยมทั้งแบบรูปเล่มและนำไปเป็นละครโทรทัศน์ แต่หนังสือขาดหายไปนานและมีเสียงเรียกร้องให้นำกลับมาพิมพ์ใหม่เป็นจำนวนมาก สำนักพิมพ์กรู๊ฟพับลิชชิ่งจึงได้จัดพิมพ์ ‘ดอกฟ้ายาใจ’ อีกครั้ง เพื่อแทนคำขอบคุณแฟนๆ ที่ติดตามเว็บไซต์อ่านเอาและสำนักพิมพ์มาโดยตลอด

แสงอรุณแรกในกระท่อมหลังน้อยเหนือน้ำครำ…บ้านหลังสุดท้ายของตระกูลมรกต มาถึงพร้อมกับเสียงไก่ขันและสายลมอ่อนโยน แผ่วผ่านลูบไล้ผิวกายละเอียดราวแพรเนื้อดีของหญิงสาวที่นอนขดตัวอยู่ในกองผ้าห่มเก่าๆ ราวต้องการจะปลอบประโลม

กรผกามารศรีขยับกายด้วยความเมื่อยขบ ก่อนจะลืมตาขึ้นมองเพดานสังกะสีที่มีหยากไย่ห้อยระโยงระยางราวกับโคมระย้า แมงมุมตัวอ้วนพีห้อยหกหัวระเริงเล่น หนูผอมๆ สองสามตัววิ่งเฉียดหมอนของหล่อนไปด้วยความสนุกสนาน

เมื่อคืนที่ผ่านมานั้น ทุกคนต้องอดทนเข้านอนทั้งๆ ที่ไม่มีแสงไฟ ยังโชคดีที่กรผกามารศรีมีเทียนราคาแพงจากฝรั่งเศสเหลืออยู่ จึงใช้จุดเพื่อให้แสงสว่างเป็นการชั่วคราว

กลิ่นหอมของเทียนจากร้านมาริยาจอันหรูหรายังคงลอยอ้อยอิ่ง อวลอยู่ทั่วไปในห้องสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่ใช้เป็นห้องสารพัดประโยชน์ ตั้งแต่ห้องนั่งเล่น ห้องกินข้าว และห้องนอน

หญิงสาวลุกขึ้นจากเสื่อที่ปูลาดอยู่บนพื้น แล้วก็ต้องขยี้ตาซ้ำแล้วซ้ำเล่า เมื่อเหลียวมองไปโดยรอบกายและพบว่าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นความจริง ไม่ใช่ความฝัน แขนของหล่อนเป็นผื่นแดงเต็มไปหมดเพราะยุงรุมกันกัด แถมยังคันคะเยอเพราะแพ้น้ำในตุ่มที่ใช้อาบเมื่อเย็นวานนี้อีกด้วย

“แม่นิ่มขา แม่นิ่มอยู่ไหน กรผกาหิวแล้วละ” หญิงสาวคนงามร้องเรียกแม่นมด้วยความเคยชิน

แม่นิ่มซึ่งนอนขดอยู่ที่ปลายเท้าของคุณหญิงสายหยุดและกรผกามารศรีผงกหัวขึ้นมามองนายสาว ก่อนจะอ้าปากหาวแล้วดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมหัวอีกครั้งพร้อมกับร้องเสียงอู้อี้บอกว่า

“ไม่มีอะไรจะกินหรอกค่ะคุณหนู…ไม่มีแม้แต่เกลือสักก้อนให้กัด”

“อ้าว” หญิงสาวอ้าปากค้างด้วยความตื่นตะลึง “ตกลงเป็นความจริงใช่ไหมคะ กรผกาไม่ได้ฝันไปใช่ไหม นี่เราอดอยากขนาดนี้เลยเชียวหรือ”

“ก็แหงสิคะคุณหนู” แม่นิ่มลุกขึ้นมองนายสาวด้วยสายตาที่ไม่เข้าใจ “เรากำลังตกระกำลำบากอยู่นะคะ จะให้มีอาหารการกินอุดมสมบูรณ์เหมือนแต่ก่อนได้ยังไง”

“ถ้างั้นกรผกาจะรีบออกไปหางานทำวันนี้เลย” หญิงสาวพึมพำด้วยสายตาเลื่อนลอย “แต่จะทำอะไรดีล่ะ”

“นั่นสิคะ จะทำอะไรดีนะ” แม่นิ่มลุกขึ้นมานั่งกุมขมับช่วยคิด ขณะที่คุณหญิงสายหยุดยังคงนอนกรนเสียงดังอยู่ไม่ห่างนัก

“คุณหนูอยู่บ้านไม่เคยต้องทำอะไรสักอย่างเลย เรียนหนังสือก็ไม่ต้องเรียนเพราะว่าเป็นลูกคนรวย ความรู้ก็ไม่มีสักนิด แล้วอย่างนี้จะไปทำอะไรกินได้นอกจากจะต้องไปเป็นเมียน้อยเขา หรือไม่ก็ไปเต้นกินรำกิน”

“กรผกาผิดด้วยหรือแม่นิ่ม กรผกาผิดด้วยหรือคะ” กรผกามารศรีน้ำตาริน “บอกกรผกาหน่อยสิคะว่ากรผกาผิดตรงไหนที่เกิดมารวย เกิดมาสวย…คุณหนูบ้านไหนๆ เขาก็เรียนฟินิชชิ่งคอร์สแบบกรผกากันทั้งนั้นละค่ะ”

“หยุดทะเลาะกันได้แล้ว” คุณหญิงสายหยุดเลิกผ้าห่ม แล้วส่งเสียงตวาดแหวออกมาดังลั่น “ฉันจะนอน หนวกหู เข้าใจไหม”

“คุณแม่คะ” กรผกามารศรีเบือนหน้าไปมองมารดาด้วยความสะเทือนใจสุดซึ้ง “คุณแม่พูดกับกรผกาแบบนี้ได้อย่างไร กรผกากำลังครุ่นคิดหาทางทำงาน เพื่อจะได้หาเงินมาเลี้ยงชีพ เลี้ยงครอบครัวของเรา และกรผกาก็จะซื้อบ้านกลับคืนมาเป็นของเราอีกด้วย ถ้าคุณหญิงแม่ไม่ช่วยกรผกาคิด ไม่ช่วยกันทำงานแล้วละก็ ขอได้โปรดอย่าซ้ำเติมเลยค่ะ”

“เอ๊ะ ลูกกรผกา” คุณหญิงสายหยุดชักโมโห “ลูกจะว่าแม่เช่นนั้นมิได้นะคะ แม่ก็กำลังทำงานอยู่เหมือนกันนะคะลูก”

“ทำงาน?” กรผกามารศรีและแม่นิ่มส่งเสียงร้องขึ้นพร้อมๆ กันด้วยความประหลาดใจ เพราะเห็นคุณหญิงสายหยุดได้แต่นอนหลับ แล้วจะว่าทำงานได้อย่างไรกัน

“แม่กำลังนอนฝันค่ะ” คุณหญิงแม่ยอมเผยความลับออกมาในที่สุด “แม่ตั้งหน้าตั้งตานอนก็เพราะกำลังหาเลขเด็ดไงคะคุณลูกขา คิดดูสิคะลูกกรผกา…ถ้าหากว่าแม่ฝันเจอเลขเด็ด ถูกหวยขึ้นมาละก็ รับรองว่าต่อไปนี้เราก็สบายกันหมดทุกคน ลูกกรผกาเองก็ไม่ต้องลำบากไปหางานทำ แล้วเราก็จะมีเงินซื้อบ้านซื้อบริษัทกลับคืนมา”

“ตายจริง” แม่นิ่มยกมือขึ้นทาบอก ท่าทางแลดูปลาบปลื้มใจ “อยู่กันมาตั้งนาน เพิ่งเห็นความคิดอันเฉียบขาดของคุณท่านวันนี้ละค่ะ ถ้าเช่นนั้นก็รีบนอนต่อเถอะค่ะ ประเดี๋ยวเลขจะลอยหายไปเสีย”

“แต่ว่า…” หลังจากที่คุณหญิงแม่กลับเข้าสู่นิทรารมณ์ตามเดิมแล้ว กรผกามารศรีก็ยังไม่หยุดครุ่นคิด “กว่าหวยของคุณหญิงแม่จะออกก็ยังอีกตั้งหลายวัน แล้ววันนี้…เราจะเอาอะไรกินกันเข้าไปล่ะคะแม่นิ่ม กรผกาหิวแล้วด้วย”

“วันนี้เรายังพอมีเงินอยู่ค่ะ” แม่นิ่มไม่กล้าบอกความจริงเรื่องที่ทินพันธ์แอบเอาเงินมาให้เมื่อวานนี้ “แม่นิ่มยังพอมีเงินเก็บเหลืออยู่บ้าง เดี๋ยวสายๆ แม่นิ่มจะไปซื้ออาหารมาให้ทุกคนกิน และไปติดต่อเรื่องน้ำประปาและไฟฟ้านะคะ คืนนี้เราจะได้มีไฟฟ้าและมีน้ำประปาใช้กัน แต่ยังไงแม่นิ่มว่าเราต้องหางานทำกันนะคะ เพราะถ้าเราอยู่เฉยๆ ไม่ทำอะไรเลย เงินเราก็จะหมดไปในที่สุด”

“กรผกาก็กำลังคิดนี่ละค่ะว่าจะทำอะไรดี” หญิงสาวมีสีหน้าเด็ดเดี่ยวมั่นคง “ยังไงกรผกาก็จะไม่ยอมแพ้ แต่กรผกาก็คิดไม่ออกอยู่ดีว่าควรจะทำอะไรดีนะคะ”

“ขายพวงมาลัยค่ะ” แม่นิ่มตัดสินใจเด็ดขาด “แม่นิ่มพอจะมีความรู้อยู่บ้าง แม่นิ่มจะร้อยพวงมาลัย ให้คุณหนูออกไปวิ่งขายตามสี่แยก…ดีไหมคะ”

“กรี๊ด ได้ยังไงคะ อี๊ ไม่ดีหรอก” กรผกามารศรีส่ายหน้าดิก “ดูแดดสิคะ ร้อนถึงขนาดนี้ ผิวของกรผกาเสียหมดพอดี กรผกาบอบบางและอ่อนแอนะคะแม่นิ่ม อย่าลืมสิคะ ขืนออกไป รับรองต้องเป็นฝ้าแน่ๆ แล้วทีนี้ค่าขายพวงมาลัยจะพอดีกับค่ายารักษาฝ้าเหรอคะ”

“ถ้างั้น…ขายหนังสือพิมพ์ดีไหมคะ” แม่นิ่มพยายามนึกหางานที่เหมาะกับหญิงสาวผู้เป็นเจ้านาย

“ไม่ดีค่ะ” กรผกามารศรีเบ้ปาก “ขายหนังสือพิมพ์ต้องวิ่งเร่ไปมาตามถนน เกิดรถชนกรผกาเข้าล่ะคะ จะว่ายังไง”

“ถ้างั้นเราทำกับข้าวขายหน้าบ้านดีไหมคะ…ขายข้าวแกงก็ได้ ลงทุนน้อยได้กำไรเยอะดี” หัวสมองของแม่นมแล่นปรูดปราด

“ไม่ดีค่ะ กรผกาทำกับข้าวไม่เป็นค่ะ”

“งั้นไปแบกข้าวสารก็แล้วกันเอ้า” แม่นิ่มชักหงุดหงิด เพราะเสนออะไรไปคุณหนูของเธอก็ไม่เอาสักอย่าง “ล่ำๆ อย่างคุณหนูเนี่ย แบกสบายมาก ทีเดียวห้ากระสอบยังไหว”

“กรี๊ด” กรผกามารศรีแผดเสียงสองร้อยเดซิเบลดังลั่นไปทั่วทั้งคลองเตย สร้างความแตกตื่นให้กับคนทั้งชุมชนที่ต่างพากันวิ่งมาดู เพราะคิดว่ามีคนฆ่ากันตาย “แม่นิ่มพูดแบบนี้ได้ยังไง แม่นิ่มดูถูกกรผกามากนะคะ ทำร้ายจิตใจของกรผกามากถึงมากที่สุด มาหาว่ากรผกาล่ำอีกต่างหาก ได้ยังไงคะ กรผกาออกจะแบบบาง ใสซื่อและน่าทะนุถนอมนะคะ”

“ก็แม่นิ่มชักเหนื่อยแล้วนี่คะ เสนออะไรไปคุณหนูไม่ยอมทำสักอย่าง” แม่นิ่มส่ายหน้าด้วยความเหนื่อยหน่าย “ไอ้โน่นก็เหนื่อย ไอ้นั่นก็หนัก คิดไม่ออกแล้วละ”

“แม่นิ่ม แม่นิ่ม ผมรู้แล้วละว่าจะให้ทำอะไรดี” เสียงของเก่ง ทอมสุดห้าวประจำชุมชนโผล่หน้ามาที่ข้างรั้ว “น้องผกาฮะ พี่เก่งรู้แล้วว่าน้องผกาควรทำงานอะไร”

“งานอะไรคะพี่เก่ง” กรผกามารศรีทำตาโต หันไปมองทอมสุดห้าวด้วยสายตาเปล่งประกายยินดีที่จะได้งานทำสักที

“งานร้านอาหารครับน้องผกา” เก่งรีบอธิบาย “ไม่ใช่ทำอาหารหรือล้างนะฮะ อย่าเข้าใจผิด สาวๆ สวยๆ อย่างน้องผกาแบบนี้ ต้องไปเสิร์ฟอาหารฮะ รับรองได้ทิปดีแน่ๆ เลย”

“เสิร์ฟอาหาร” หญิงสาวทำตาโต นึกในใจว่า ถึงแม้จะไม่เคยทำงานนี้มาก่อน หากดูแล้วไม่น่าจะมีอะไรยาก “ที่ไหนคะ แล้วเขาจะรับกรผกาเหรอ แล้วกรผกาจะต้องทำอะไรมั่ง แล้วได้เงินเดือนละกี่หมื่นคะ”

“โหย…มากไปหน่อยมั้งแก” เสียงของป้าแช่มขาใหญ่ประจำสลัมค่อนขอดหญิงสาวคนงามด้วยความหมั่นไส้ “แค่เสิร์ฟอาหารเนี่ยนะ จะเอาเงินเดือนเป็นหมื่น…มากไปมั้ง”

“แต่กรผกาตั้งใจเอาไว้แล้วว่า ถ้าทำงานอะไรที่เงินเดือนน้อยกว่าหมื่น กรผกาจะไม่ทำเด็ดขาด” หญิงสาวทำหน้าเชิด

“สำคัญตัวผิดหรือเปล่าแก” เสียงของยายจิต เจ้าของร้านกะปิและร้านขายของชำที่ใหญ่ที่สุดในสลัมตะโกนมาจากร้านค้าซึ่งอยู่ฝั่งตรงกันข้ามบ้านของหญิงสาว “ความรู้ก็ไม่มี งานก็กระจอกแค่นี้ จะเอาเงินเป็นหมื่น…หน็อย…แบบนี้ไปเป็นเมียน้อยดีกว่ามั้ง”

“เอ๊ะ นังป้าจิตบ้า” กรผกามารศรีฟังแล้วชักมีอารมณ์โมโห ก็เลยลืมมาดนางเอกไปชั่วขณะ “พูดยังงี้หมายความว่ายังไงยะ มาว่ากรผกาแบบนี้ได้ยังไงกัน เดี๋ยวเหอะ…”

“เอาละ เอาละ” เก่งเห็นว่าเรื่องราวชักจะบานปลายไปกันใหญ่ เลยรีบห้ามทัพ “เอางี้ดีกว่านะฮะ พี่เก่งว่าน้องผกาลองไปทำก่อนดีไหมฮะ ถึงเงินเดือนจะไม่มากนักก็ดีกว่าไม่ทำอะไรเลย ถ้าตกลง เดี๋ยวตอนเย็นๆ พี่เก่งขี่มอเตอร์ไซค์เสร็จแล้วจะพาไปฝากงานกับเจ๊จวงเจ้าของร้าน”

“ก็ได้ค่ะ” กรผกามารศรีตัดสินใจ “ลองดูก็ได้…ตอนนี้ไม่มีทางเลือกแล้วนี่คะ ยังไงก็คงจะดีกว่างอมืองอเท้าไม่ทำอะไรเลยละ”

หลังจากตกลงใจได้แล้วว่าจะลองไปทำงานเสิร์ฟอาหารที่ร้านหน้าปากซอย กรผกามารศรีก็ค่อยสบายใจขึ้นมาบ้าง

ตอนแรกนั้น พอคุณหญิงสายหยุดรู้เข้าก็ได้แต่คัดค้าน เพราะกลัวว่าลูกสาวจะโดนหลอก หรือถูกผู้ชายขี้เมาที่มารับประทานอาหารที่ร้านนั้นลวนลาม แต่หญิงสาวยืนยันเสียงหนักแน่นว่าจะลองทำดู เพราะดูแล้วน่าจะเป็นงานที่ทำได้ง่ายที่สุด ไม่ต้องใช้วิชาความรู้มากนัก

ระหว่างรอเวลาให้เก่งมาพาไปสมัครงานในช่วงเย็นนั้น กรผกามารศรีเลยนั่งจัดบ้านไปเรื่อยๆ เพื่อเป็นการฆ่าเวลา ด้วยความช่างประดิดประดอยและมีหัวทางการตกแต่ง หญิงสาวจึงดัดแปลงให้กระท่อมหลังเล็กดูน่าอยู่ขึ้นมาบ้าง

ส่วนคุณหญิงสายหยุดนั้น ตื่นขึ้นมารับประทานอาหารที่แม่นิ่มออกไปซื้อมาให้แล้ว ก็อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วเดินออกสำรวจชุมชนสลัมเพื่อทำความรู้จักกับเพื่อนบ้านไปด้วยในตัว เดินไปเดินมาก็พบว่ามีบ่อนไพ่เล็กๆ ซุกซ่อนอยู่หลังร้านขายส้มตำของป้าน้อม แหล่งข่าวประจำหมู่บ้าน ก็เลยทดลองเข้าไปเล่นกับเขาดูบ้าง แล้วเลยติดใจอยู่ในบ่อนจนเย็นย่ำไม่ยอมกลับบ้าน ผูกสัมพันธ์ได้เพื่อนใหม่ในสลัมมาอีกหลายคน

แม่นิ่มนั้นเป็นคนที่ไม่ชอบอยู่เฉยๆ ระหว่างที่กรผกามารศรีนั่งจัดบ้านและคุณหญิงสายหยุดออกไปทำความรู้จักกับผู้คนในชุมชนนั้น เธอก็ไปเก็บมะลิในสลัมแล้วมานั่งร้อยพวงมาลัย ก่อนจะออกไปเดินขายตามสี่แยกข้างหน้าชุมชน

แต่ด้วยความที่เป็นแม่ค้ามือใหม่ เธอจึงไม่รู้ว่าที่ถนนนี้เขาห้ามขายพวงมาลัย พอเทศกิจมาก็เลยวิ่งหนีแทบไม่ทัน

แม่นิ่มวิ่งหนีเทศกิจหกล้มหกลุก กลับมาบ้านพร้อมกับรอยฟกช้ำดำเขียวบนเนื้อตัว เป็นที่น่าเวทนาแก่ผู้คนที่พบเห็น เงินที่ขายพวงมาลัยมาได้นั้นแทบไม่พอกับค่ายา

นั่นทำให้กรผกามารศรียิ่งรู้สึกเจ็บใจจนต้องตั้งปณิธานกับตัวเองว่า จะต้องทำงานสาวเสิร์ฟให้ดีที่สุด เพื่อจะได้หาเงินมาช่วยเหลือครอบครัว และซื้อบ้านกับบริษัทมรกตคืนมาจากนายทินพันธ์ เกียรติมหึมามหาเศรษฐี โดยเร็ว



Don`t copy text!